"เื่เมิ่งเฉิงเจ๋อให้ผู้ดูแลหม่าไปจัดการ เ้าไม่ต้องกังวลใดๆ" หลังจากฟังนางพล่ามจนจบแล้ว เหลียนเซวียนก็ตอบกลับไปอย่างเอ้อระเหย
"อ้อ ได้" เซวียเสี่ยวหรั่นกลอกตาวนไปรอบหนึ่ง เขาชอบใช้สายตาแบบนี้มองเธออยู่เรื่อย ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงเหมือนมีกระต่ายน้อยะโโลดเต้นอยู่ในอก
"อ้อ นี่คือเงินที่ติดค้างท่านไว้"
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบตั๋วเงินซึ่งพับไว้เป็ระเบียบเรียบร้อยออกมาจากกระเป๋าสะพาย เป็ค่าเครื่องเรือนกับค่าตัวของบ่าวที่มาเพิ่มที่เตรียมเอาไว้นานแล้ว
เหลียนเซวียนมองตั๋วเงินบนโต๊ะอย่างไม่นำพา เมื่อนางดึงดันจะจ่ายก็สุดแล้วแต่เถอะ
เขาหยิบถุงเหอเปาออกมาจากอกเสื้อ แล้วเก็บตั๋วเงินใส่เข้าไป
"ท่านไม่ดูเลยหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นทักท้วงอย่างอดไม่ได้
"เ้าแอบหักไว้หรือ?" เหลียนเซวียนมองนางอย่างผ่อนคลาย
เซวียเสี่ยวหรั่นค้อนใส่หนึ่งวง "จะเป็ไปได้อย่างไร"
"เช่นนั้นก็ถูกแล้วนี่" เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นอับจนถ้อยคำ
ดวงจันทร์ในค่ำคืนฤดูร้อนสุกสกาวเป็พิเศษ แสงจันทร์สีนวลผุดผ่องสาดส่องผ่านกรอบหน้าต่างเข้ามาในห้อง แมลงไม่ทราบชื่อตามกอหญ้าร้องประสานเสียงเป็บทเพลงขับกล่อมราตรี
ทั้งสองสนทนากันจนดึกดื่น
เหลียนเซวียนลุกขึ้น เซวียเสี่ยวหรั่นมาส่งเขาที่หน้าประตูก่อนที่จะเอ่ยถามออกมาอย่างลังเล
"เสด็จพ่อของท่านกับหวงกุ้ยเฟยจะยอมแน่หรือ?"
นับั้แ่ที่รู้สถานะของเหลียนเซวียน เซวียเสี่ยวหรั่นก็สับสนเกี่ยวกับอนาคตระหว่างเขาและเธอมาโดยตลอด
เคยคิดกระทั่งว่าถ้าเขาเป็เพียงจอมยุทธ์ธรรมดาคนหนึ่งก็คงจะดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์มากมายมาขวางกั้นตรงหน้า
ระหว่างเขาและเธอต้องมีอุปสรรคขวากหนามมากมายรอคอยอยู่แน่ ราชวงศ์ไม่มีทางอนุญาตให้องค์ชายตบแต่งชายาเอกที่เป็สามัญชนไร้คนหนุนหลัง
หากบอกว่าเธอไม่กดดันเลยก็เป็การโป้ปดมดเท็จ
เหลียนเซวียนก้มลงมามอง สาวน้อยภายใต้แสงโคม แต่ความวิตกกังวลในแววตากลับฉายชัด
เขาเอื้อมมือมารั้งตัวนางเข้าไปโอบกอดหลวมๆ ในวงแขน
"ข้าคิดว่าเ้าควรเข้าใจข้ากว่าผู้ใด"
"หืม?" เซวียเสี่ยวหรั่นอึ้งไปชั่วขณะ เื่นี้มันเกี่ยวกับความเข้าใจตรงไหน?
"หากไร้ความมั่นใจ เ้าคิดว่าจะบีบให้เ้าแสดงจุดยืนรึ?" เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ
แม้ถ้อยคำของเขาจะคุยโวไปเสียหน่อย แต่กลับปลอบประโลมหัวใจว้าวุ่นของเซวียเสี่ยวหรั่นได้
"เช่นนั้นจะทำอย่างไร?"
เธอผละออกจากวงแขนออกมาด้านหลังเล็กน้อย ก่อนเบิกตากว้างมองเขา
"เหลียนเซวียนก้มลงมา ช่วยเก็บลูกผมทัดไว้หลังหูให้นาง "ตอนนี้ยังไม่รีบร้อน ถึงเวลาข้าจะบอกเ้าเอง"
อุบไว้อีกแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นถลึงตาใส่
เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ ก่อนก้มลงมาจุมพิตหน้าผากขาวนวลทีหนึ่ง "ข้าไปก่อนล่ะ"
จากนั้นก็หมุนตัวก้าวใหญ่ๆ ออกไป ไม่ช้าเราร่างสูงใหญ่ก็เลือนหายไปจากประตูลานสวน
สายลมราตรีรำเพยผ่านเข้ามาใต้ชายคา กวาดเอาความอบอ้าวของยามทิวาออกไปจนหมดสิ้น
เซวียเสี่ยวหรั่นยังยืนอยู่ที่เดิม จดจ้องไปตามทางที่เขาหายไปอย่างโมโหโทโส
คนน่าเบื่อ ทีอย่างนี้ล่ะเดินตัวปลิวเชียว
แต่คำกล่าวสองสามประโยคนั้นของเขา ก็ทำให้หินก้อนใหญ่ในหัวใจของเซวียเสี่ยวหรั่นวางลงได้ในที่สุด
อย่างไรเสีย ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีคนสูงกว่าคอยแบกรับ เซวียเสี่ยวหรั่นมองในแง่บวก
หนทางข้างหน้าจะลำบากแค่ไหน มีเขาอยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
เซวียเสี่ยวหรั่นคิดตกแล้วก็กลับห้องอย่างสบายใจ
เช้าวันต่อมา เซวียเสี่ยวหรั่นก็ให้ตู้ซานช่วยวิ่งไปส่งข่าวให้เมิ่งหว่านเหนียง
ถึงยามบ่าย เมิ่งหว่านเหนียงก็ส่งของขวัญมาอีก
เซวียเสี่ยวหรั่นมองของขวัญกองโตบนโต๊ะ ด้วยความรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก "หว่านเหนียง คราวหน้าถ้ายังเป็อย่างนี้อีก ข้าจะไม่ให้เ้าเข้าบ้านแล้วนะ"
เมิ่งหว่านเหนียงกลับยิ้มหน้าบาน ดึงเซวียเสี่ยวหรั่นมาพูดคุยอย่างสนิทสนม "ของเหล่านี้คือชุดกระโปรงแบบใหม่ล่าสุดของอวิ๋นเสี่ยงเก๋อ พวกเราหาทำเลเปิดร้านได้แล้ว รอให้พี่ชายข้ามาถึง ร้านใหม่ก็เปิดกิจการได้เลย ดังนั้นท่านต้องช่วยเป็กระบอกเสียงให้ร้านอวิ๋นเสี่ยงเก๋อของเราด้วยล่ะ"
"นายน้องเมิ่งจะมาเองเลยหรือ?" เซวียเสี่ยวหรั่นใเล็กน้อย
"ใช่สิ เขาเตรียมการไว้แล้วั้แ่สองวันก่อนแล้ว วันนี้ส่งข่าวมาบอกว่าจะออกเดินทางใน่วันสองวันนี้อย่างแน่นอน" เนตรหงส์คู่งามของเมิ่งหว่านเหนียงหรี่ลงน้อยๆ
เมื่อเช้าหลังจากเซวียเสี่ยวหรั่นส่งคนไปแจ้งข่าว เมิ่งหว่านเหนียงก็รีบส่งข่าวด่วนไปถึงพี่ชายทันที
นางให้คนไปสืบถามมาแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นสองพี่น้องกับจวนผูหยางที่อยู่ติดกันมีความเกี่ยวดองกันเป็ญาติห่างๆ กัน
ผูหยางชิงหลันนายแห่งจวนผูหยางเป็บุคคลที่มีชื่อเสียงกว้างขวางในเมืองหลวง เป็ศิษย์เอกของหมอเทวดาเผย ส่วนตัวเขาเองก็เป็อดีตซื่อจื่อของสกุลผูหยาง แม้ไม่ทราบสาเหตุว่าเพราะเหตุใดเขาถึงปฏิเสธสถานะซื่อจื่อ แต่ผูหยางชิงหลันก็ยังคงเป็หนึ่งในบุตรหลานที่โดดเด่นที่สุดของสกุลผูหยางอยู่ดี
ปรกติแล้วบุคคลระดับนี้ใช่ว่าตระกูลพ่อค้าวาณิชอย่างสกุลเมิ่งจะเข้าหากันได้ง่ายๆ
"ข้าจำได้ว่างานแต่งของเ้าดูเหมือนจะเป็เดือนสิบ อย่างนั้นพี่ชายเ้ามิต้องอยู่จิงเฉิงถึงเดือนสิบเลยหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงเื่งานแต่งงานของอีกฝ่าย
พวงแก้มของเมิ่งหว่านเหนียงแดงระเรื่อ ขับเสริมให้ดวงหน้ารูปไข่ยิ่งงามพิลาส "อื้อ วันที่สิบสองเดือนสิบ ถึงเวลานั้น พี่หญิงเซวียต้องมาร่วมงานด้วยเล่า"
"ได้สิ ข้าต้องไปแน่นอน" เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มพลางพยักหน้า
เธอมาอยู่ที่นี่ยังไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไร สกุลเมิ่งกับเธอก็เป็หุ้นส่วนกัน จำเป็ต้องรักษาความสัมพันธ์ให้มั่นคงยืนยาว
เมิ่งหว่านเหนียงลากเซวียเสี่ยวหรั่นไปดูอาภรณ์
นางเอาเสื้อผ้าแบบใหม่ของอวิ๋นเสี่ยวเก๋อมามากมาย เซวียเสี่ยวหรั่นกับนางรูปร่างใกล้เคียงกัน อาภรณ์เหล่านี้ย่อมจะสวมใส่ได้พอดี ดังนั้นเมิ่งหว่านเหนียงจึงไม่คิดอะไรมาก เลือกชุดกระโปรงที่เพิ่งตัดใหม่ส่วนหนึ่งมาให้ทันที
"อาภรณ์ร้านอวิ๋นเสี่ยวเก๋อขายดิบขายดี สามารถผลักดันยอดขายกระเป๋าแบบต่างๆ ได้ ดังนั้นพี่หญิงเซวียต้องช่วยบอกต่อด้วยเล่า หลังจากอวิ๋นเสี่ยงเก๋อเปิดกิจการแล้ว คุณูปการนี้ย่อมจะเป็ของท่านไม่น้อยทีเดียว"
เมิ่งหว่านเหนียงหยิบชุดกระโปรงไหมรากบัวสีดอกเฉียงเวย [1] ออกมาจากกล่องของขวัญ ชายกระโปรงยังปักลายปักลายบงกชอันประณีตงดงาม
ชุดกระโปรงผ้าไหมสีม่วงแกมชมพูสีสันแลดูฉูดฉาดมาก
"สีนี้ฉูดฉาดไปหน่อย" เซวียเสี่ยวหรั่นลูบไปบนเนื้อผ้า ทั้งเรียบลื่นเงางามและนุ่มมาก สวมใส่แล้วจะต้องฟูฟ่องเป็แน่
"พี่หญิงเซวียผิวขาว สีสดใสเช่นนี้จะยิ่งช่วยขับผิวให้ผุดผ่อง" เมิ่งหว่านเหนียงหยิบชุดกระโปรงมาทาบตัวนาง
"คุณหนู ท่านสวมสีนี้แล้วงามมากเ้าค่ะ" อูหลันฮวาพยักหน้าคล้อยตาม เนื้อผ้ามันวาวเช่นนี้ ดูก็รู้ว่าเป็ของมีราคา
"ใช่ๆ เห็นไหม หลันฮวาก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน" เมิ่งหว่านเหนียงส่งชุดกระโปรงให้ชิวอวี่ที่อยู่ด้านข้าง แล้วหันไปหยิบเสื้อแพรโปร่งสีขาวจากในกล่องออกมาอีกตัว "เข้าชุดกับเสื้อแพรสีหมอกจางตัวนี้พอดีเลย"
"โอ้โห เนื้อผ้านุ่มมากเลยเ้าค่ะ สีก็สวยมาก คุณหนูสวมใส่จะต้องงามมากอย่างแน่นอน" อูหลันฮวาลูบเนื้อผ้าอย่างระมัดระวัง ก็ต้องตกตะลึงกับในความนุ่มและบางเบาเป็พิเศษของมัน
"นี่เป็เสื้อแพรหร่วนเยียนหลัวแบบใหม่ล่าสุดของปีนี้ เหมาะที่จะสวมเข้ากับชุดกระโปรงฤดูร้อนมากที่สุด เนื้อทั้งเบาบางและให้ัันุ่มละมุน สวมแล้วเย็นสบายด้วย"
เมิ่งหว่านเหนียงเป็ดั่งผู้เชี่ยวชาญรอบรู้เกี่ยวกับแพรพรรณทุกชนิด
"เสื้อผ้าเหล่านี้ล้ำค่าเกินไป" เซวียเสี่ยวหรั่นลังเลใจ ชุดกระโปรงมากมายขนาดนี้ดูก็รู้ว่าราคาไม่เบา
"โธ่ พี่หญิงเซวีย ข้าก็บอกแล้วมิใช่หรือ เสื้อผ้าเหล่านี้ใช้เป็ปากเป็เสียงแทนร้านอวิ๋นเสี่ยงเก๋อของเรา" เมิ่งหว่านเหนียงพูดพลางหัวเราะ "ท่านก็เป็ส่วนหนึ่งของอวิ๋นเสี่ยงเก๋อนะเ้าคะ"
"ข้าขายกระเป๋า มิได้ขายเสื้อผ้าสักหน่อย" เซวียเสี่ยวหรั่นพึมพำเสียงเบา
"ก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ วันก่อนข้ายังเอากระเป๋าที่ตัดเย็บใหม่ของท่านไปเป็กอง ของเหล่านี้ล้วนมีความหมายเดียวกันเ้าค่ะ" เมิ่งหว่านเหนียงยิ้มพราย
ในที่สุดเซวียเสี่ยวหรั่นก็สู้คารมของเมิ่งหว่านเหนียงไม่ได้ ต้องรับอาภรณ์กองใหญ่ไว้ทั้งหมด
...
[1] สีดอกเฉียงเวย คือสีบานเย็น
