แม้ใบหน้าเหยี่ยนถิงยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม ระหว่างสนทนาตอบรับกับคุณหนูหลี่ แต่หัวใจของนางกลับกำลังเต้นตามจังหวะการเคาะนิ้วเรียวลงบนโต๊ะของร่างหนาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนาง
"หลังจากกลับจากทัพเหนือก็เพิ่งได้พบเสี่ยวถิง ได้พบครั้งนี้งดงามขึ้นจนข้าจำแทบไม่ได้"
"จริงเ้าค่ะ น้องถิงยิ่งโตยิ่งงดงาม สมแล้วที่พี่หยางไม่ยอมพาออกมาให้พวกเราเจอ" หลี่ซูเจียวเอ่ยสบทบคำพี่ชาย ทั้งยังไม่ลืมเอ่ยหยอกเย้าบุรุษหน้าตายที่นั่งอยู่ด้านข้าง
"ท่านแม่ทัพหลี่กับคุณหนูหลี่กล่าวชมถิงเอ๋อร์เกินไปแล้วเ้าค่ะ" เหยี่ยนถิงตอบรับด้วยท่าทีเขินอาย เลี่ยงไม่สบสายตากับั์ตาคมกริบที่จับจ้องมายังนาง
หลังจากสองพี่น้องเอ่ยชมนางอยู่พักใหญ่ พวกเขาทั้งสามคนก็กลับไปสนทนาในเื่ที่นางฟังไม่เข้าใจ ส่วนใหญ่แล้วเป็เื่ที่เกิดขึ้นในกองทัพ
เพราะคุณหนูหลี่ได้มีโอกาสเข้ารวมทัพจับศึกด้วย จึงได้มีส่วนร่วมในบทสนทนานั้น ต่างจากนางที่นั่งฟังเพียงเงียบ ๆ ทำให้เหยี่ยนถิงอดนึกสงสัยไม่ได้ ว่าเหตุใดพวกเขาไม่ไปคุยกันในห้องรับรอง หรือไปนั่งกันที่โต๊ะอื่นเล่า จะมานั่งโต๊ะเดียวกับนางทำไมกัน
"อาถิงงงง"
เหยี่ยนถิงมองตามเสียงเรียก ถึงเห็นว่าเป็โจวหงซวนกำลังโบกมือเรียกอยู่ชั้นล่าง นางทำท่าจุ๊ปากให้เขาเงียบเสียงลง เพราะเสียงเรียกของเขากำลังทำให้คนทั้งร้านให้ความสนใจมาทางนางหมดแล้ว
"ท่านแม่ทัพหลี่ ท่านอา คุณหนูหลี่ ถิงเอ๋อร์คงต้องขอตัวก่อนนะเ้าคะ" เหยี่ยนถิงลุกขึ้นย่อกายเคารพบุคคลทั้งสาม เพื่อปลีกตัวไปหาบุคคลที่กำลังเรียกหาอยู่ด้านล่าง โดยไม่รอให้พวกเขาเอ่ยอนุญาต
ใบหน้าหวานดูผ่อนคลายขึ้นในทันที หลังถอยห่างจากโต๊ะที่นั่งอยู่ สองเท้าเล็กรีบเร่งก้าวเดินจนแทบกลายเป็วิ่งลงไปหาสหาย ด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังโผบินเป็อิสระ
"มิอยากให้ไป เหตุใดไม่เอ่ยห้ามเล่า" หลี่หย่วนเจ๋อเอ่ยกับสหาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องมองหลานสาวด้วยสายตาน่ากลัว
ยิ่งกับเด็กหนุ่มที่เรียกหาเหยี่ยนถิงยิ่งแล้วใหญ่ หากสายตาตงหยางเป็คมดาบ เกรงว่าศีรษะของเด็กนั่นคงหลุดกลิ้งหลุน ๆ ลงกับพื้นไปแล้ว
"ช่างนาง เรามาคุยกันต่อ" ตงหยางดึงสายตากลับมาจากเรือนร่างบาง ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเห็นเขา นางทำท่าเหมือนอมทุกข์ สงบคำพูดคำจาเลี่ยงไม่ยอมสบสายตา แต่เมื่อครู่พอเด็กนั่นมาเรียกเท่านั้น กลับรีบวิ่งลงไปหาจนเสียกิริยาที่สตรีพึงมี
เมื่อคืนเขาคงใจอ่อนมากเกินไป นางถึงไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งห้ามออกจากเรือนหากไม่มีเขา ซ้ำยังหนีออกมานัดพบกับบุรุษด้านนอกเช่นนี้
"เด็กคนนั้นคงเป็สหายกับถิงเอ๋อร์เท่านั้น พี่หยางก็อย่าใส่ใจเลย"
"ข้าไม่ใส่ใจ พวกเ้าก็เลิกใส่ใจนางได้แล้ว"
สองพี่น้องมองดูอาการของท่านกุนซือคนเก่งด้วยแววตารู้ทัน เมื่อคนที่พูดว่าไม่ใส่ใจ กลับกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจนขึ้นสันกรามอย่างเห็นได้ชัด
แต่ในเมื่อเ้าตัวไม่พูด พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็น แค่รอดูผลว่าต่อไปจะเป็อย่างไรเท่านั้น
เหยี่ยนถิงเห็นหงซวนเป็เหมือนเทพเซียนมาโปรดในทันที หากเขาไม่มาเรียก ป่านนี้นางคงยังนั่งทำตัวไม่ถูกระหว่างสามคนนั้นอยู่
"เ้ามิได้ต้องอยู่เฝ้าร้านหรือ ประเดี๋ยวท่านป้าก็ดุเอาอีกหรอก"
"เฝ้าสิ แต่ข้าอยากกินขนมเลยออกไปซื้อ ไม่คิดว่าจะเจอเ้าที่นั้น เมื่อครู่คนที่นั่งอยู่ด้วย มิใช่กุนซือจางท่านอาเ้าหรือ แล้วเหมือนจะเห็นท่านแม่ทัพหลี่ด้วย เหตุใดเ้าถึงไปนั่งอยู่ตรงนั้นได้"
"เื่มันยาว เอาไว้วันหลังข้าจะเล่าให้ฟังแล้วกัน ตอนนี้ข้าคงต้องกลับจวนแล้ว" ถ้าขืนนางกลับไปช้า ปล่อยให้ท่านอากลับถึงจวนก่อน มีหวังนางได้ถูกลงโทษจนไม่ได้พักหายใจเป็แน่
"อ้าว เพิ่งเจอกันแท้ ๆ ท่านแม่ฝากบอกเ้าว่าชุดที่สั่งตัดไว้ ไม่เกินสามวันคงเสร็จ เ้าอย่าลืมไปลองเล่า"
"อืมข้ารู้แล้ว ไปก่อนนะ" แม้เหยี่ยนถิงจะเห็นสหายเป็เทพเซียนผู้ช่วยชีวิต แต่นางก็ไม่สามารถอยู่กับเขาได้นาน
หญิงสาวนึกเสียใจนัก นางน่าจะนั่งรถม้ามาแทนการเดิน เพราะไม่ว่าตอนนี้นางจะเดินด้วยความรีบเร่งอย่างไร แต่ด้วย่ขาที่สั้น ความเร็วจึงไม่ได้เร็วเท่าใจนางคิดอยู่ดี
สองร่างเ้านายกับสาวใช้คนสนิท ต่างมีอาการเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด พวกนางจำต้องยืนสูดลมหายใจเข้าออกอยู่พักใหญ่ กว่าจังหวะการเต้นหัวใจและการหายใจจะกลับมาคงที่
"คะ คุณหนู บ่าวหายใจไม่ทันแล้วเ้าค่ะ รู้สึกเหมือนกำลังจะตายเลย"
"เ้าแค่เหมือน แต่ข้าเนี่ยสิ ตายแน่ ๆ"
เจียอินไม่เข้าใจว่าคุณหนูของนางจะตายได้อย่างไร ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าคุณหนูปรับตัวได้เร็วกว่านาง แต่เมื่อนางเห็นรถม้าที่จอดนิ่งอยู่ด้านข้างจวน จึงเข้าใจคำพูดของคุณหนูในทันที
"ท่านย่ากลับมาหรือยัง" เหยี่ยนถิงถามบ่าวชายผู้เฝ้าหน้าประตู ก่อนจะได้รับคำตอบว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้คนมาแจ้งว่าคืนนี้จะไม่กลับจวน คำตอบที่ได้รับถึงกลับทำให้เหยี่ยนถิงซวนเซถอยไปด้านหลังหนึ่งจังหวะอย่างอ่อนแรง
ท่านย่าไม่อยู่เช่นนี้ ท่านอาคงไม่ปล่อยนางไปง่าย ๆ เป็แน่
เหยี่ยนถิงยังไม่ทันเข้าเรือนเปลี่ยนเสื้อผ้า บ่าวจากเรือนใหญ่ก็เข้ามาแจ้งว่าท่านอาเรียกให้ไปพบ หญิงสาวจำต้องพบเขาโดยที่ยังสวมใส่ชุดเดิม แม้แต่เสื้อคลุมขนสุนัชจิ้งจอกก็ยังไม่มีเวลาถอดออก เพราะกลัวว่าจะทำให้เขารอนาน แล้วจะยิ่งกลายเป็เพิ่มความโกรธเข้าไปอีก
"ท่านอาเรียกหาถิงเอ๋อร์หรือเ้าคะ" เหยี่ยนถิงทำได้แต่ยืนหลังตรงนิ่ง เมื่อผู้เป็อาเงยขึ้นมองหน้านางชั่วครู่ แล้วก้มหน้าลงไปอ่านตำราอีกครั้ง โดยไม่เอ่ยคำใดกับนางสักคำ
ตงหยางปล่อยให้ร่างบางยืนสำนึกผิดอยู่เกือบเค่อ ถึงอนุญาตให้นางนั่งลงได้ ั์ตาคมกริบมองสำรวจเรือนร่างบาง ตอนอยู่โรงน้ำชานางไม่ได้สวมเสื้อคลุม จึงไม่เห็นว่าวันนี้นางสวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกที่เขานำกลับมาให้
ตอนนั้นเพราะมีเวลาว่างจากข้าศึกถอยร้น เลยได้ออกไปล่าสัตว์ในป่าบริเวณที่ตั้งกองทัพ จึงได้มีโอกาสล่าสุนัขจิ้งจอกที่มีขนสีขาวบริสุทธิ์มาได้ ทำให้เขานึกถึงนางที่อยู่ยังเมืองหลวงในทันที หากร่างบางได้สวมเสื้อคลุมจากขนสุนัขจิ้งจอกขาวนี้ คงงดงามและเหมาะสมยิ่งนัก
และนางก็เป็อย่างที่เขาคาดหวังไว้จริง ๆ
ชายหนุ่มยังเหลือบเห็นปิ่นหยกที่ถูกปักอยู่บนเส้นผมสีน้ำตาล ปิ่นนั่นเป็ปิ่นที่เขามอบให้ในพิธีปักปิ่นของนางเมื่อปีก่อน ทำให้ชายหนุ่มคลี่รอยยิ้มออกมาชั่วครู่ด้วยความพึงใจ เมื่อนางสวมใส่สิ่งของที่เขามอบให้ ก่อนรอยยิ้มนั้นจะจางหายไปอย่างเช่นทุกครั้ง
"ข้าบอกแล้วมิใช่หรือ หากจะออกนอกจวน ต้องมีข้าไปด้วยทุกครั้ง"
"บอกแล้วเ้าค่ะ"
"แล้วเหตุใดถึงไม่เชื่อฟัง"
"ถิงเอ๋อร์ผิดไปแล้วเ้าค่ะ" เหยี่ยนถิงไม่อยากหาคำแก้ตัวอันใดให้มากความ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ผิดอยู่แล้วที่ไม่ฟังคำสั่งเขา
"ได้ทานอะไรหรือยัง"
"จะ เ้าคะ อ่อ ได้ทานข้าวก่อนออกไปเท่านั้นเ้าค่ะ"
"ดี งั้นเข้าไปในห้อง ก่อนทานข้าวมื้อเย็น ข้าคงต้องทำโทษเ้าสักรอบ หลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที" ใบหน้าหล่อเหลาปรากฎรอยยิ้มเ้าเล่ห์ขึ้นมาอีกครั้ง โดยไม่ให้หญิงสาวได้ทันสังเกตเห็น ก่อนจะเดินนำหน้านางเข้าห้องนอนไป
หย่าเสียนได้ยินคำเ้านายจากทางหน้าประตูก็ทราบหน้าที่ในทันที เขาจัดการกันบ่าวไพร่รอบเรือนใหญ่ออกไปจนหมด ไม่ให้เสียงลงโทษหลานสาวของนายท่านได้หลุดรอดออกมาให้ผู้อื่นได้ยิน
*****************************
นิยายเื่นี้มีจัดทำเป็ E book แล้วนะคะ
สามารถเสิร์จหาจากชื่อนิยายหรือชื่อนักเขียน Hawthorn ใน meb ได้เลยค่า