ม่อหลิงหานยิ้มน้อยๆ ดึงเยว่เฟิงเกอเข้ามาโอบไว้ในอ้อมแขน กล่าวเบาๆ ข้างหูนาง “ที่แท้ชายารักของเปิ่นหวางก็เป็เช่นนี้เอง ไม่สนใจบุรุษหน้าไหนง่ายๆ ”
เยว่เฟิงเกอฟังคำของม่อหลิงหานก็อดมุมปากกระตุกไม่ได้
เหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าั้แ่ที่ม่อหลิงหานไม่เอาแต่ทำสีหน้าเ็าใส่นาง ก็กลับกลายเป็บุรุษตัวใหญ่ที่ทำนิสัยเหมือนเด็กๆ
นี่ยังใช่จั้นอ๋องผู้สูงส่งคนนั้นอยู่อีกหรือไม่?
เขาไม่เพียงชอบกินน้ำส้มสายชู แต่ยังกินไปทั่ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็ใคร ขอแค่เป็เพศผู้ แม้แต่กับแมวตัวหนึ่งก็ยังกินน้ำส้มสายชูได้
ยิ่งกว่านั้น เขายังเป็คนดื้อดึงไร้เหตุผลอย่างที่สุด แค่เห็นนางเป็สตรีของเขาก็มักคิดห้ามไม่ให้สนทนากับบุรุษอื่นอีก คนทำราวกับว่าแค่นางสนทนากับชายอื่นสองสามประโยคก็ถือเป็การหักหลังเขาแล้ว
ตอนนี้ เขาฝึกฝนตนเองจนบรรลุแล้วหรือ? ไม่หึงหวงนางกับชายอื่นไปทั่วอีกแล้ว?
รถม้ายังคงมุ่งหน้าต่อไป ส่วนซ่างกวานม่อินั้น เมื่อเห็นว่าเยว่เฟิงเกอไม่สนใจเขา เขาก็ได้แต่ลูบจมูกเบาๆ แล้วสงบปากสงบคำ
ถึงแม้ระยะทางจะแสนไกล แต่เยว่เฟิงเกอกลับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
นางชอบมองสองข้างทางที่มีดอกไม้ใบหญ้าเขียวขจีด้วยรู้สึกว่าสบายตายิ่ง
อาจเป็เพราะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่มานานเกินไป เมื่อได้มาเห็นธรรมชาติดั้งเดิมในยุคโบราณเช่นนี้ จึงทำให้เยว่เฟิงเกออดไม่ได้ให้สนอกสนใจไปหมด
เมื่อรถม้ากำลังจะเคลื่อนผ่านต้นไม้ใหญ่ที่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง เยว่เฟิงเกอก็รีบให้เฉียวเฟยหยุดทันที
นางะโลงจากรถม้า วิ่งไปตรงหน้าต้นไม้ใหญ่แล้วทำท่ากางแขนราวกับจะโอบกอดมันไว้ แต่เพราะต้นไม้ต้นนั้นใหญ่เกินไป อย่าว่าแต่ตัวนางคนเดียวเลย ต่อให้จะเป็พวกนางทั้งคณะมากางแขนโอบต้นไม้นี้ก็ยังไม่แน่ว่าจะโอบได้ครบรอบ
ม่อหลิงหานเห็นว่าเยว่เฟิงเกอดูจะสนใจต้นไม้ต้นนี้มาก จึงลงมาจากรถม้าเช่นกัน
“ชายารักชอบต้นไม้ต้นนี้หรือ? ” ม่อหลิงหานเดินไปหยุดอยู่ข้างเยว่เฟิงเกอ ยกมือขึ้นลูบลำต้นหยาบของต้นไม้นั้น
เมื่อก่อนเยว่เฟิงเกอเพียงเคยเห็นต้นไม้โบราณเช่นนี้ผ่านทางโทรทัศน์ ปกติล้วนเป็ต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านมานานนับร้อยปี หรือบางทีอาจจะเป็พันๆ ปีก็ได้ ถึงได้อวบหนาเพียงนี้
วันนี้นางได้มาเห็นเองกับตา แน่นอนว่าต้องชอบอยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าเยว่เฟิงเกอชอบต้นไม้โบราณต้นนี้มาก ม่อหลิงหานก็เกิดความรู้สึกที่อยากจะย้ายต้นไม้ต้นนี้ไปเลี้ยงไว้ที่จวนอ๋อง
“ในเมื่อชายารักชอบต้นไม้นี่เพียงนี้ เช่นนั้นเรายกไปเลี้ยงไว้ที่จวนอ๋องของเราเป็อย่างไร” ม่อหลิงหานพูดพลางเรียกเฉียวเฟยและถานอี้เข้ามา
เยว่เฟิงเกอรีบส่งเสียงห้าม “ท่านอ๋อง นี่คือต้นไม้โบราณนะเพคะ จะเคลื่อนย้ายมั่วซั่วไม่ได้ ปล่อยให้มันเติบโตอยู่ที่นี่น่ะดีแล้ว วันหน้าหากหม่อมฉันคิดถึงมัน ก็ค่อยมาเยี่ยมมันใหม่ก็ได้แล้วนี่เพคะ”
ม่อหลิงหานเห็นว่าเยว่เฟิงเกอรักและถนอมต้นไม้โบราณนี้ยิ่ง ก็เผลอลูบดวงหน้าน้อยๆ ของนางเบาๆ ด้วยความรักใคร่
และในตอนนี้เอง ม่อหลิงหานสังเกตเห็นซ่างกวานม่อิกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ เขายกยิ้มมุมปาก
วินาทีถัดมาเยว่เฟิงเกอเป็ต้องเบิกตากว้างด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าม่อหลิงหานจะจุมพิตนางต่อหน้าคนมากมาย
เยว่เฟิงเกอรีบร้อนดันม่อหลิงหานออก พึมพำเสียงเบา “ม่อหลิงหาน ท่านทำอะไรของท่าน ที่นี่มีคนมองอยู่ตั้งมากมาย”
ม่อหลิงหานไม่ได้โกรธที่นางเรียกชื่อเขาตรงๆ ซ้ำยังคงฉีกยิ้มกว้าง กล่าวว่า “กลัวอะไร พวกเขาไม่ได้เพิ่งเคยเห็นเปิ่นหวางจุมพิตเ้าเป็ครั้งแรกเสียหน่อย”
เยว่เฟิงเกอมุมปากกระตุก นางหันหน้าหนีอย่างปลงๆ ไม่อยากให้ม่อหลิงหานจุมพิตนางอีก
พวกเขาเหล่านี้ล้วนเคยเห็นม่อหลิงหานจุมพิตนางมาก่อนแล้วก็จริง กระทั่งซ่างกวานม่อิก็ยังเคยเห็น
แต่ต่อให้จะเป็เช่นนี้ การที่พวกนางมาจุมพิตกันไปมาต่อหน้าสาธารณชนบ่อยๆ ก็ยังไม่ใช่เื่ที่สมควรทำนี่
ถึงแม้เยว่เฟิงเกอจะมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แต่ตัวนางค่อนข้างจะมีแิแบบดั้งเดิม จึงไม่ใช่คนที่เปิดเผยถึงขั้นสามารถจุมพิตกับม่อหลิงหานต่อหน้าคนมากมายได้
นางยังคงเชื่อว่าเื่ส่วนตัวเช่นนี้ควรจะทำในที่ลับตาคนมากกว่า
เมื่อเยว่เฟิงเกอกลับไปที่รถม้าก็เหลือบเห็นแววตาที่ซ่างกวานม่อิส่งมา สายตาเขาเหมือนจะแฝงไว้ด้วยความโกรธเคือง
เยว่เฟิงเกอถลึงตาเชิดหน้ามองเขา กล่าวว่า “มองอะไรของเ้า ไม่เคยเห็นคนสวยหรือ”
ซ่างกวานม่อิอ้าปากคล้ายมีอะไรจะพูด แต่สุดท้ายกลับต้องกลืนคำที่จะพูดลงไป
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเยว่เฟิงเกอและม่อหลิงหานเป็สามีภรรยากัน แต่ก็ยังอดอยากเรียกร้องความยุติธรรมแทนมู่เหยียนเฉินไม่ได้
เยว่เฟิงเกอกล้ามาแสดงละครสองสามีภรรยารักลึกซึ้งต่อหน้าเขาได้อย่างไร ทั้งยังให้เขาได้เห็นนางกับสามีจุมพิตกันมากกว่าสองครั้งแล้วด้วย
ตอนที่เยว่เฟิงเกอจุมพิตม่อหลิงหาน นางไม่คิดถึงมู่เหยียนเฉินบ้างเลยหรือ?
ซ่างกวานม่อิคิดเช่นนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ มิเช่นนั้นคงไม่อาจติดตามพวกเยว่เฟิงเกอไปยังแคว้นเฟิงหลันได้
เขาจะไม่ยอมถูกไล่กลับแคว้นเสวี่ยอวี้อีก เขาจะไม่ยอมกลับไปแต่งงานกับคุณหนูรองจวนราชครูคนนั้นแน่
เมื่อเยว่เฟิงเกอขึ้นไปบนรถม้าแล้วก็ไม่สนใจซ่างกวานม่อิอีก
ม่อหลิงหานเดินก้าวยาวๆ เข้าไปหาซ่างกวานม่อิ หรี่สายตาเ็ามองไปทีหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเ็ายิ่ง “หากอยากตามมาด้วยก็ทำตัวดีๆ หน่อย”
เมื่อพูดจบ เขาก็เดินขึ้นรถม้าและดึงม่านลงมาปิด
รถม้าดำเนินต่อไป ขณะที่เยว่เฟิงเกอยังคงมีสีหน้าตื่นเต้นแช่มชื่น เฝ้ารอชมทัศนียภาพของแคว้นเฟิงหลัน
รถม้าเดินทางมาได้หนึ่งวันเต็ม พวกเขาเริ่มรู้สึกหิวแล้วจึงหยิบอาหารที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา ซึ่งมีทั้งหมูผัดน้ำแดงแสนอร่อย และปีกไก่ทอดที่เยว่เฟิงเกอชอบกิน
เยว่เฟิงเกอไม่รู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทางเลยสักนิด
ในที่สุดรถม้าก็ดำเนินมาถึงเมืองแห่งหนึ่งในตอนที่ท้องฟ้าหม่นแสงลงแล้ว
เมืองแห่งนี้เป็เมืองกันชนระหว่างแคว้นเป่ยชวนและแคว้นเฟิงหลัน แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่กลับมีคนอาศัยอยู่เยอะ
บ้านเรือนในเมืองแห่งนี้ต่างปลูกเรียงรายติดๆ กันจนแน่นขนัด และเนื่องจากอากาศร้อนอบอ้าว ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่จึงออกมารับลมอยู่ภายนอกอาคารกัน
ทันทีที่พวกเขาเห็นรถม้าเคลื่อนตัวเข้ามาในหมู่บ้านพวกตนก็พากันตื่นเต้นเป็อย่างมาก เพราะเมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ค่อนข้างห่างไกล จึงยากจะมีคนแวะเวียนมา
ครั้งก่อนที่มีคณะเดินทางผ่านมาทางนี้ก็เมื่อสองสามปีก่อนนู้น
เยว่เฟิงเกอนั่งอยู่ในรถม้าเฝ้าฟังเสียงเอะอะด้านนอก
“รถม้านี่มาจากที่ใดกันนะ ดูหรูหรามากเลย”
“พวกเ้าดูสิ หลังรถม้าสองคันนั้นยังมีคนขี่ม้าตามมาด้วย”
“พวกเ้าว่า พวกเขาจะใช่คนของราชสำนักหรือไม่ จะเป็เพราะฮ่องเต้ทรงทราบว่าเมืองของเราล้าหลัง จึงส่งขุนนางมาสำรวจเมืองของเรา เพื่อหาหนทางบุกเบิกหรือไม่? ”
เยว่เฟิงเกอได้ยินเสียงเอะอะที่ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็เลิกม่านขึ้นแล้วมองออกไปด้านนอก
เมื่อบรรดาชาวบ้านเห็นเยว่เฟิงเกอยื่นหน้าออกมา ก็พร้อมใจกันตกตะลึง
“สตรีที่นั่งอยู่บนรถม้าผู้นั้นช่างงดงามเหลือเกิน”
เยว่เฟิงเกอปล่อยม่านลง หันศีรษะไปมองม่อหลิงหาน “ที่นี่คือที่ใด ดูแล้วค่อนข้างอยู่ห่างไกลความเจริญ”
ม่อหลิงหานกล่าวเบาๆ “ที่แห่งนี้คือเมืองสือเยี่ยน เป็เมืองกันชนระหว่างเป่ยชวนและเฟิงหลัน ที่นี่ค่อนข้างทุรกันดาร สิ่งที่มีมากคือก้อนหิน จึงถูกเรียกว่าสือเยี่ยน [1] ”
เยว่เฟิงเกอส่งเสียง “อ้อ” ออกมาแล้วพยักหน้า
ชาวบ้านต่างยืนชิดสองข้างทาง แหวกเป็เส้นทางให้ขบวนจวนจั้นอ๋องได้เคลื่อนผ่านอย่างรู้งาน และยังมีเด็กน้อยจำนวนหนึ่งที่พากันวิ่งตามรถม้าด้วยความตื่นเต้น ขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังคงดังไล่หลังรถม้าไม่หยุด
เยว่เฟิงเกอฟังเสียงชาวบ้านด้านนอกแล้วหันไปมองม่อหลิงหานทีหนึ่ง
สิ่งที่นางเห็นกลับเป็เพียงม่อหลิงหานที่นั่งนิ่งไม่แสดงสีหน้าราวกับสิ่งที่คนเ่าั้พูดไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
เยว่เฟิงเกอขบคิดดูแล้วก็เห็นว่าเหมือนจะเป็เช่นนั้น ม่อหลิงหานเป็อ๋องแห่งา หน้าที่ของเขาคือเข้าสู่สนามรบเพื่อสังหารศัตรู ปกป้องแผ่นดินเป่ยชวนไม่ให้ผู้ใดรุกราน ให้ราษฎรเป่ยชวนได้อยู่อย่างสงบสุข
ส่วนเื่ที่ชาวบ้านพวกนี้พูดถึงว่าเมืองของพวกตนล้าหลังห่างไกลความเจริญ เหล่านี้ล้วนเป็หน้าที่ของขุนนางฝ่ายบุ๋นในราชสำนักที่ต้องเข้ามาจัดการ
เยว่เฟิงเกอกำลังคิดอยู่ก็ได้ยินม่อหลิงหานพูดขึ้นว่า “เฉียวเฟย หยุดรถ”
เยว่เฟิงเกอมองม่อหลิงหานด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะเห็นเพียงว่าหลังจากเขาส่งสายตาบอกให้นางวางใจแล้วก็เลิกม่านขึ้น จากนั้นเดินลงจากรถม้าไป
เมื่อม่อหลิงหานลงมาจากรถม้า บรรดาราษฎรก็พากันล้อมวงเข้ามา
พวกเขาเห็นชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาลงมาจากรถม้า แต่กลับมีสีหน้าเ็า ท่าทางดูไว้ตัวอย่างเข้าถึงยาก
การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของม่อหลิงหานทำให้บรรดาชาวบ้านชะงักกันไปครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ยิ่งกว่าเดิม
“ท่านคงเป็ขุนนางที่ราชสำนักส่งมากระมัง? ”
“ท่านมาสำรวจเมืองสือเยี่ยนของเราใช่หรือไม่? ”
“ท่านขุนนาง ท่านถูกส่งมาจากเมืองหลวงใช่หรือไม่? ”
คนพวกนี้ต่างคนต่างส่งเสียงถามจนทั่วบริเวณมีแต่เสียงพูดคุยดังอื้ออึง กระนั้นม่อหลิงหานก็ยังคงแสดงสีหน้าเ็าเช่นเดิม
เยว่เฟิงเกอเลิกม่านขึ้น ก็เห็นว่ายามนี้ม่อหลิงหานถูกราษฎรล้อมไว้ตรงกลางวงเสียแล้ว
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] สือเยี่ยน(石堰)石 อ่านว่า สือ แปลว่าหิน ส่วน 堰 อ่านว่า เยี่ยน แปลว่าเขื่อนกั้นน้ำ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้