ในยุคสมัยเช่นนี้หากสตรีมีรูปโฉมงดงาม มีฝีมือทำครัวยอดเยี่ยมและทำงานฝีมือได้ดี ยามหาคู่ก็จะถูกนำมาพูดเป็ข้อดี
หลี่หรูอี้มีรูปโฉมงดงาม ทั้งยังมีฝีมือทำครัวยอดเยี่ยม เพียงสองส่วนนี้ภายภาคหน้าจะต้องมีคนมาสู่ขอมากมายแน่นอน
หม่าซื่ออยากให้จางอวิ๋นเรียนรู้การทำอาหารกับหลี่หรูอี้ เพียงแต่สิ่งที่หลี่หรูอี้ทำเป็ต่างก็เป็ความลับของบ้านหลี่ที่ไม่อาจเผยแพร่สู่ภายนอก จึงต้องหยุดความคิดนี้ไป
“ครอบครัวหลี่ของพวกเ้าทำการค้าได้ดีจริงๆ เต้าหู้สองพันชั่งจะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไม่น้อย ทำสัญญาซื้อขายระหว่างกันย่อมดีต่อสองฝ่าย” เมื่อจางซิ่วไฉกลับมาถึงบ้านก็รีบพูดคุยเนื้อหาสัญญากับสองพ่อลูกอย่างละเอียด
หลี่ซานฟังหลี่หรูอี้ทุกเื่ จึงให้นางเป็คนเจรจากับจางซิ่วไฉ
หลี่หรูอี้พูดขึ้นว่า “ครอบครัวข้าขายส่งเต้าหู้ในราคาชั่งละสามทองแดงครึ่ง สองพันชั่งรวมทั้งหมดเป็ราคาเจ็ดตำลึง วางเงินมัดจำสองตำลึง อีกห้าตำลึงจ่ายตอนรับสินค้า”
เมื่อจางซิ่วไฉทราบว่า เมื่อก่อนราคาเต้าหู้อยู่ที่ชั่งละสี่ทองแดง ตอนนี้ราคาถูกลงครึ่งทองแดง รวมทั้งหมดสองพันชั่งก็ถูกลงอีกหนึ่งตำลึงแล้ว เช่นนี้ย่อมรู้สึกยินดียิ่ง “ได้ เขียนสัญญาตามที่เ้าว่า”
สัญญาถูกแบ่งเป็สองฉบับ เมื่อเขียนเรียบร้อยแล้วจางซิ่วไฉก็ลงชื่อตนเองและประทับรอยนิ้วมือ ส่วนทางบ้านหลี่ก็ให้หลี่ซานเป็ผู้ลงชื่อและประทับรอยนิ้วมือ
จางซิ่วไฉเห็นหลี่ซานเขียนตัวอักษรเป็จึงปรายตามองไปทางหลี่หรูอี้ที่มีรูปโฉมงดงามแล้วถามว่า “เ้าเขียนอักษรได้หรือไม่”
หลี่หรูอี้ยิ้มบางๆ “เขียนได้เ้าค่ะ” ทั้งยังไม่ได้บอกด้วยว่าตนเขียนไม่ดี
จางซิ่วไฉเอ่ยกับหลี่ซานว่า “แม่นางน้อยของบ้านเ้าฉลาดเฉลียวจริงๆ ทั้งยังมีไหวพริบและความสามารถมากด้วย ปีนี้นางอายุกี่ขวบแล้ว”
หลี่ซานกล่าวอย่างภูมิใจว่า “ผ่านปีนี้ไปก็อายุสิบขวบแล้วขอรับ”
“บุตรสาวคนโตของข้าอายุสิบสอง บุตรชายคนรองอายุเจ็ดขวบ อายุพอๆ กับนาง” สายตาที่จางซิ่วไฉมองหลี่หรูอี้เจือไปด้วยความเมตตา
เมื่อหม่าซื่อทราบว่าบ้านหลี่ลดราคาเต้าหู้ให้ชั่งละครึ่งทองแดง ก็คิดไปถึงอาหารต่างๆ ของตระกูลหลี่อีกครั้ง สุดท้ายก็มอบหูหมูครึ่งชั่งและน้ำตาลสองชั่งให้สองพ่อลูกนำกลับบ้านไปด้วย
สองพ่อลูกนึกไม่ถึงว่าหม่าซื่อจะให้ของขวัญตอบแทน จึงรับไว้อย่างเป็มิตรก่อนกล่าวขอบคุณแล้วพากันกลับหมู่บ้านไป
เมื่อจางซิ่วไฉกลับมาถึงสำนักศึกษา ก็รอจนถึง่พักและเรียกเด็กชายสี่คนของตระกูลหลี่มาพูดคุย “วันนี้ข้ากับภรรยาพบน้องสาวคนดีของพวกเ้าแล้ว นางเป็เด็กดีทีเดียว ต่อไปหากพวกเ้ามีเวลาว่างก็สอนหนังสือนางให้มากหน่อย”
เด็กชายทั้งสี่พากันพยักหน้า
เมื่อถึงยามสนธยา จางซิ่วไฉกลับมาจากสำนักศึกษาแล้ว หม่าซื่อก็กล่าวกับเขาพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านทราบหรือไม่ว่า หมอเทวดาน้อยที่ญาติผู้พี่ของท่านกล่าวถึงบ่อยๆ คือผู้ใด?”
ญาติผู้พี่ของจางซิ่วไฉก็คือ คนขายเนื้อแซ่จาง ทั้งสองเป็คนตระกูลจางเช่นเดียวกัน ปู่ของทั้งสองเป็พี่น้องแท้ๆ
“ผู้ใด!?”
“เป็แม่นางน้อยหลี่หรูอี้ที่ท่านเพิ่งพบเมื่อตอนบ่ายอย่างไรเล่า”
จางซิ่วไฉกระจ่างแจ้งขึ้นมาโดยพลัน “ที่แท้หมอเทวดาน้อยก็คือน้องสาวแท้ๆ ของนักเรียนของข้านี่เอง อายุเพียงเท่านี้ ยังเด็กเกินไปจริงๆ”
“ใช่แล้ว ข้าเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน” หม่าซื่อยกน้ำชาที่มีกลิ่นหอมของสาลี่โชยออกมาจางๆ มาวางลงเบื้องหน้าของจางซิ่วไฉ “แยมสาลี่ที่หมอเทวดาน้อยทำเข้มข้นจริงๆ ข้านำไปชงกับน้ำโดยใช้เพียงช้อนเดียว ท่านลองชิมดูเถิด ข้าคิดว่าเข้มข้นกว่าที่ร้านยาในอำเภอเสียอีก”
ส่วนหมอเทวดาน้อยหลี่หรูอี้ที่ถูกหม่าซื่อเยินยอ ตอนนี้กำลังตรวจโรคให้สตรีที่เดินทางมาจากเมืองซา ซึ่งอยู่ไกลออกไปสองร้อยลี้
สตรีนางนั้นคือ ฟางซื่อ ก่อนแต่งงานนางเป็คนของหมู่บ้านตระกูลฟาง เอ้อร์หนิวจื่อที่ขายลาให้นางก็คือญาติผู้พี่ของฟางซื่อ
สิบปีก่อนฟางซื่อออกจากหมู่บ้านตระกูลฟางไปแต่งงานยังอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองซา ปีที่แล้วเกิดป่วยหนัก หมอของเมืองซากล่าวว่ารักษาไม่ได้ นางได้แต่รอความตายอยู่ที่บ้านแล้ว
เฒ่าฟางเป็ลุงของเอ้อร์หนิวจื่อเห็นหลี่หรูอี้เคยช่วยชีวิตบุตรชายของเอ้อร์หนิวจื่อไว้ได้ ทั้งยังรักษาหูให้ภรรยาของ เอ้อร์หนิวจื่ออีกด้วย จึงรับฟางซื่อกลับมาจากเมืองซาเพื่อมาให้หลี่หรูอี้ตรวจให้
ระหว่างเดินทางฟางซื่อกลับมีอาการแย่ลงจนเกือบตาย นางร้องห่มร้องไห้อยากกลับเมืองซา ต่อให้ต้องตายก็อยากกลับไปตายที่บ้านของตนเอง ไม่อาจตายอยู่ข้างนอกได้ เฒ่าฟางจึงทำได้เพียงส่งนางกลับเมืองซา
เมื่อฟางซื่อกลับไปถึงเมืองซาแล้วก็รอดชีวิตไปได้ เฒ่าฟางรอให้นางร่างกายแข็งแรงขึ้นเล็กน้อยแล้วพานางกลับมาบ้านเดิมอีก
ตู้เลี่ยงเป็สามีของฟางซื่อ มีอาชีพเป็พ่อค้า ฟางซื่อคลอดบุตรชายให้เขาสองคนและบุตรสาวอีกหนึ่งคน เขาจึงปฏิบัติต่อฟางซื่ออย่างดี คราวนี้จึงกลับมาด้วยกัน คิดว่าหากหลี่หรูอี้รักษาไม่หายก็จะพาฟางซื่อไปรักษาที่เมืองเยี่ยน
เอ้อร์หนิวจื่อแนะนำเฒ่าฟาง ฟางซื่อ และตู้เลี่ยง ให้หลี่หรูอี้รู้จัก จากนั้นก็ขอร้องให้นางช่วยตรวจฟางซื่อสักหน่อย
ฟางซื่อมีผมบาง ผอมแห้งจนแทบจะเหลือแต่กระดูก ใบหน้าขาวซีด สภาพราวกับโครงกระดูกสวมเสื้อผ้าก็มิปาน ไม่มีแรงพูดจาแม้แต่น้อย ตู้เลี่ยงประคองนางไปนั่งลงบนเก้าอี้
ตู้เลี่ยงมองสำรวจหลี่หรูอี้พานให้เกิดความสงสัยต่อวิชาแพทย์ของเด็กน้อยผู้นี้ แต่ในเมื่อมาแล้วก็ให้นางตรวจดูก่อนเถิด หากตรวจไม่ได้ความก็จะพาไปเมืองเยี่ยนทันที
เฒ่าฟางยังอายุไม่ถึงหกสิบปี ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นดูแล้วแก่กว่าบิดาของเอ้อร์หนิวจื่อมาก เขากล่าวกับคนบ้านหลี่ว่า “ปีนี้ลูกสาวข้าเพิ่งจะอายุยี่สิบเจ็ด หากตายไปเช่นนี้ข้าคงกลายเป็คนผมขาวส่งคนผมดำแล้ว ลูกเขยข้า หลานชายทั้งสองของข้า และหลานสาวข้าจะต้องทนทุกข์ทรมาน”
โบราณว่า ความทรมานในชีวิตมีด้วยกันสามประการก็คือ วัยชราเสียบุตร วัยกลางคนเสียคู่ชีวิต วัยเด็กเสียบุพการี
หากฟางซื่อตายไป เฒ่าฟาง ตู้เลี่ยง และลูกอีกสามคนก็จะทรมานครบทั้งสามประการ
คนบ้านหลี่ล้วนเป็คนดีโดยเฉพาะจ้าวซื่อ นางอายุมากกว่าฟางซื่อไม่กี่ปี ทั้งยังอยู่ใน่ตั้งครรภ์ สายตาที่มองฟางซื่อจึงเต็มไปด้วยความเห็นใจและสงสาร
“ก่อนหน้านี้พวกท่านไปหาหมอมากี่คนแล้วเ้าคะ” หลี่หรูอี้จับชีพจรให้ฟางซื่อ จากนั้นจึงพลิกดูเปลือกตา วินิจฉัยอาการของฟางซื่อในใจ
ตู้เลี่ยงตอบว่า “เพียงที่เมืองซาก็หาหมอมาเจ็ดคนแล้ว”
หลี่หรูอี้ปรายตามองตู้เลี่ยงและเฒ่าฟาง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าขอบอกพวกท่านไว้ก่อน ข้าเพียงจะลองรักษาให้ผู้ป่วยเท่านั้น หากรักษาไม่หายพวกท่านห้ามตำหนิข้าเป็อันขาด”
ตู้เลี่ยงและเฒ่าฟางสบตากัน หมอเทวดาน้อยผู้นี้ไม่ได้ถามลักษณะอาการป่วยของฟางซื่อ ก็ทราบแล้วหรือว่าฟางซื่อป่วยเป็โรคอะไร เช่นนี้จะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
เอ้อร์หนิวจื่อกล่าวกับตู้เลี่ยงและเฒ่าฟางด้วยท่าทีตื่นเต้นว่า “ความหมายของหมอเทวดาน้อยก็คือ รู้แล้วว่านางป่วยเป็โรคอะไรและมีวิธีรักษาแล้ว”
คิดเสียว่ารักษาม้าตายดุจม้าเป็แล้วกัน ตู้เลี่ยงพยักหน้าให้เฒ่าฟาง แล้วกล่าวกับหลี่หรูอี้ว่า “หมอเทวดาน้อยยอมช่วยรักษาภรรยาข้า ข้าก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว ย่อมไม่มีใจคิดตำหนิเป็อันขาด”
หลี่หรูอี้กล่าวว่า “แรกเริ่มเดิมทีผู้ป่วยเป็โรคไตอักเสบเฉียบพลัน อาการหลักๆ ก็คือ ไม่มีเรี่ยวแรง ปวดเอว ปวดท้อง ปัสสาวะน้อย และปัสสาวะเป็เื ต่อมาก็กลายเป็โรคไตอักเสบเรื้อรัง ความสามารถในการได้ยินลดลง ผมร่วง ซูบผอม ผิวแห้ง กระทั่งสูญเสียการมองเห็น”
ตู้เลี่ยงมีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด รีบกล่าวว่า “ใช่แล้ว หมอเทวดาน้อยกล่าวได้ถูกต้องทั้งหมด”
หลี่หรูอี้มองหน้าตู้เลี่ยง กล่าวเน้นทีละคำว่า “โรคนี้เกิดจากความเหนื่อยล้า”
ตู้เลี่ยงกล่าวเสียงแ่ “เหนื่อยล้า?” ในใจคิดว่า ตอนที่ฟางซื่ออยู่บ้านก็ทำเพียงปรนนิบัติบิดามารดา เลี้ยงลูก ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า ทำอาหาร จะป่วยเพราะเหนื่อยได้อย่างไร สตรีทุกคนก็ต้องทำเื่เหล่านี้มิใช่หรือ
คนครอบครัวหลี่มองดูการแต่งกายของตู้เลี่ยง เขาสวมชุดผ้าไหมที่มีสภาพค่อนข้างใหม่และรองเท้าพื้นหนา แต่งกายเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าครอบครัวของอีกฝ่ายค่อนข้างร่ำรวย ที่บ้านมีเงินมากเช่นนี้ฟางซื่อจะป่วยเพราะเหนื่อยจนกลายเป็เช่นนี้ได้อย่างไร
เฒ่าฟางทอดสายตามองตู้เลี่ยงอย่างครุ่นคิด กล่าวถามด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “ลูกสาวข้า ตอนเ้าอยู่บ้านตู้ได้รับความอยุติธรรมอันใดหรือไม่ เ้าบอกข้ามา ข้าจะจัดการให้เ้าเอง”
ฟางซื่อไม่มีแรงแม้แต่จะหายใจให้เป็ปกติ ทำได้เพียงมองเฒ่าฟางผ่านม่านน้ำตา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้ายิ่งนัก เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว พูดกับคนบ้านเดิมไปจะได้อะไรขึ้นมา จะอย่างไรก็ต้องตาย เสียดายก็แต่ลูกทั้งสามที่ยังไม่เติบโต
“ข้าจะนำยาสำหรับสามวันมาให้ผู้ป่วยก่อน และจะเขียนรายการอาหารที่ต้องกินให้ด้วย พวกท่านกลับไปก็ดูแลให้ดี อีกสามวันค่อยพานางมาหาข้าใหม่” หลี่หรูอี้ไปนำยาที่ปรุงเรียบร้อยแล้วเข้ามา จากนั้นจึงใช้กระดาษมันห่อให้ดีแล้วเขียนรายการอาหารให้อีกฉบับหนึ่ง
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้