เล่มที่ 8 บทที่ 237 เบาะแส
“แต่ว่าที่นี่ดูไม่เหมาะแก่การเจรจาเท่าไรนัก หลังจากออกไปจากที่นี่ เ้าค่อยไปหาข้าที่ร้านหลอมอาวุธฟานซื่อก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นเราค่อยมาเจรจากัน หากเ้ามีวาสนา ข้ารับรองว่าภายในหนึ่งปีนี้เ้าจะต้องเปิดแท่นบูชาบริเวณที่รกร้างแดนใต้ได้เป็แน่!”
“จริงหรือ?” นักพรตเฮยซานได้ยินดังนั้นก็ตาเป็ประกายขึ้นทันที ทว่าเพียงครู่เดียวก็หม่นแสงลงเสียก่อน จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่นาน ท้ายที่สุดจึงถอนหายใจออกมาแทน
“แต่น่าเสียดายที่ออกไปไม่ได้แล้ว…”
“หืม?” หลินเฟยได้ยินเช่นนั้นก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ หากผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันคิดจะจากไป ย่อมไม่มีใครรั้งไว้ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
“ก็เพราะสามสำนักใหญ่นั่นแหละ!” นักพรตเฮยซานแค่นหัวเราะเยือกเย็นออกมา จากนั้นก็เอ่ยอารมณ์ด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ตามมา
“แต่เดิม ที่นี่เป็เมืองโบราณทั่วๆไป แม้จะอันตราย แต่ก็ถือว่าสงบเป็ปกติ แต่เมื่อหลายวันก่อนสามสำนักใหญ่ได้ย่างกรายเข้ามา ไม่รู้ว่าพวกนั้นได้ทำอะไรลงไป จึงทำให้ทั้งเมืองกลายเป็ซากปรักหักพังเช่นนี้ แถมยังมีมารปีศาจออกอาละวาดหนัก จนที่แห่งนี้เปลี่ยนไปราวกับนรกบนดิน แถมทางออกเดียวที่มีก็ถูกพลังกล้าแกร่งบางอย่างปิดตายไป ทำให้เข้าได้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่อาจหาทางออกได้อีก…”
“มีเื่เช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ…” หลินเฟยยิ่งฟังก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ ‘สามสำนักใหญ่ทำอะไรลงไปกันแน่ ถึงได้เกิดผลกระทบใหญ่หลวงขนาดนี้ได้ ขนาดทำให้ที่นี่เข้าได้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถออกไปได้ งั้นก็แปลว่าทุกจะต้องถูกขังอยู่ที่นี่งั้นหรือ?’
‘สงสัยคงต้องหาชิ้นส่วนประตูมิติให้เจอเสียก่อน แล้วค่อยคิดหาวิธี…’
“แย่แล้ว ดูเหมือนอสุรกายกุ่ยหวังตนนั้นจะไล่ตามมาถึงที่นี่แล้ว ข้าต้องรีบไปก่อนล่ะ…” ในขณะที่หลินเฟยกำลังจมอยู่ในภวังค์ ใบหน้าของนักพรตเฮยซานก็พลันถอดสีลง หลังจากเอ่ยอย่างเร่งรีบแล้ว เขาก็สลายตัวกลายเป็ลำแสงสีเืและหายวับไปอย่างรวดเร็ว…
หลินเฟยเองก็ไม่ได้สนใจนักพรตเฮยซานอีก เขาทำเพียงส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะจมอยู่ในภวังค์ต่อ เกาะแห่งนี้นับว่าลึกลับเป็อย่างมาก เหมือนกับว่ามีมือั์ล่องหนกำลังบงการทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ก็ว่าได้…
และในเวลานี้เอง ใบหน้าเวินโหวก็นิ่งลงราวกับแข็งค้าง เพราะเื่ที่เกิดขึ้นทุกอย่างสำหรับเขาซึ่งเป็ศิษย์พี่ใหญ่ของหุบเขาหมื่นอสูรนั้น เหมือนกับฝันไปจริงๆ ตอนแรกก็เจอนักพรตเฮยซานที่ปรากฏกายขึ้นกลางท้องฟ้า ต่อมาก็มีมือั์มาจับสัตว์อสูรคู่กายไป แถมยังคิดจะจับมันไปกินง่ายๆอีก…
นักพรตเฮยซานผู้นั้นได้ชื่อว่าโเี้อำมหิตมาก ต่อให้เป็สามสำนักใหญ่ก็ยังต้องให้ความยำเกรง จึงไม่ได้สนใจศิษย์สายตรงของหุบเขาหมื่นอสูรเช่นเขาแม้แต่น้อย เพราะในสายตาของนักพรตเฮยซาน ตนเองก็คงจะเป็เพียงมดตัวหนึ่งเท่านั้น ตอนนั้นเวินโหวคิดว่าทุกอย่างคงจะจบสิ้นลงแล้ว หากสัตว์อสูรตายไป เส้นทางบำเพ็ญของตนเองก็ถือว่าถูกทำลายไปโดยสิ้นเชิง ชั่วชีวิตนี้อย่าหวังจะได้ฟื้นกลับมาอีก…
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ในตอนนั้นหลินเฟยจะก้าวออกมาพอดี
หลังจากนั้นเื่ทุกอย่างก็แทบจะเรียกได้ว่าเหลือเชื่อ เพราะนักพรตเฮยซานที่มีชื่อเสียงคนนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเฟยแล้วก็มีท่าทีหวาดกลัวราวกับหนูเจอแมว กลับสงบเสงี่ยมเป็อย่างมาก ไม่กล้าเล่นตุกติกหรือว่างตนอย่างโอหังแม้แต่นิดเดียว…
และที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือเวินโหวได้ยินสิ่งที่หลินเฟยพูดกับนักพรตเฮยซานเต็มสองหูว่า หากคิดจะฆ่าก็คงฆ่าไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้มีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้หรอก ‘จะต้องร้ายกาจขนาดไหนกันนะ?’
ยิ่งคิดเวินโหวก็ยิ่งกลัว…
คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เวินโหวตั้งแง่มาตลอดทาง จะเป็คนระดับนี้!
คนระดับที่สามารถตัดสินความเป็ตายของนักพรตเฮยซานได้ในคำเดียว!
‘ก่อนหน้านี้ยังระแวงว่าเขาจะมีใจคิดโลภกับเ้าหนูทองของศิษย์น้องเว่ยอยู่เลยด้วยซ้ำ…’
‘จริงสิ ศิษย์น้องเว่ยบอกว่าก่อนหน้านี้ได้ถูกศาสตราวุธชิ้นหนึ่งกักขังไว้ โชคดีที่ตอนนั้นได้ศิษย์พี่หลินช่วยเอาไว้ และที่น่าขันก็คือตอนนั้นตนเองยังคิดดูแคลน เข้าใจว่าศิษย์น้องเว่ยพูดจาเกินจริง เป็เพียงผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สอง จะมีปัญญาที่ไหนไปสู้กับศาสตราวุธได้ แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าสิ่งที่ศิษย์น้องพูดนั้นจะเป็ความจริง คนผู้นี้สามารถช่วยศิษย์น้องเว่ยออกมาจากเงื้อมมือของศาสตราวุธได้เชียว…’
‘บ้าจริง ทำไมตอนนั้นถึงไม่รู้จักถามก่อนนะ’ พวกเขาทั้งสามเดินทางมาด้วยกันั้แ่ตอนอยู่เมืองวั่งไห่ เช่นนั้นจะต้องสนิทสนมกันมาก รายละเอียดเบื้องลึกเป็เช่นไร เพียงแค่ถามศิษย์น้องเว่ยก็น่าจะรู้เื่แล้ว
คิดได้ดังนั้นเวินโหวก็รีบเรียกเว่ยฟงให้มาหาทันที
“ศิษย์น้องเว่ย ไหนลองเล่ามาสิ ว่าเ้าไปรู้จักกับศิษย์พี่หลินเฟยคนนี้ได้อย่างไร…”
“ก็รู้จักกันตอนอยู่บนเรือ ตอนนั้นยังมีศิษย์พี่เกาชิวจากสำนักหลิงเจี้ยนอีกคน แต่ว่าตอนหลัง…”
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังพักผ่อน เว่ยฟงก็เล่าเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เวินโหวฟัง…
ยิ่งฟังเหงื่อเย็นก็ยิ่งผุดพรายขึ้นที่แผ่นหลังของเวินโหวเรื่อยๆ…
หากไม่เห็นท่าทางของนักพรตเฮยซานกับตา เวินโหวคงไม่เชื่อว่าเื่ที่ศิษย์น้องพูดจะเป็ความจริง…
เป็เพียงผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สอง แต่กลับบีบคั้นจนศาสตราวุธคุกเข่าอ้อนวอนได้ แถมนักพรตเฮยซานที่มีขั้นบำเพ็ญระดับจิงตันยังต้องหวาดกลัวจนแทบจะต้องเดินอ้อม เพราะไม่กล้าเผชิญหน้าตรงๆ ‘นี่มันชักจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว…’
หลังจากพักผ่อนได้พอประมาณ กลุ่มคนนับสิบก็มุ่งหน้าออกจากที่รกร้างซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพังไปทางตะวันออก
จะว่าไประยะทางหลายร้อยลี้สำหรับผู้บำเพ็ญแล้วนับว่าไกลเลย เพียงครู่เดียวก็สามารถไปกลับได้แล้ว ทว่าเบื้องหน้ากลับเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ดังนั้นระยะทางหลายร้อยลี้ จึงยาวไกลราวกับระยะทางจากพื้นดินถึงแดนเซียนก็ว่าได้ ทุกที่เต็มไปด้วยมารปีศาจ ต่อให้เดินหน้าเพียงสิบกว่าลี้ ก็ยังต้องแวะประมือกับเหล่ามารปีศาจอยู่หลายครั้ง…
‘ว่าอย่างไรนะ เหาะกระบี่อย่างนั้นหรือ?’
‘อย่ามาล้อเล่นหน่อยเลย เพราะอาจจะมีปีศาจขั้นเยาหวังหรือไม่ก็อสุรกายขั้นกุ่ยหวังปรากฏตัวที่นี่ได้ทุกเมื่อ และการเหาะกระบี่ก็จะทำให้ไอิญญาแปรปรวน เช่นนั้นก็อาจจะทำให้เหล่ามารปีศาจที่หลับใหลอยู่ตื่นขึ้นมา จึงไม่ต่างอะไรกับเอาตัวเข้าไปประเคนให้พวกมันกิน ดีไม่ดีบินๆอยู่ก็อาจลอยเข้าปากไปก็ได้…’
ดังนั้นกลุ่มคนนับสิบจึงใช้เวลาเกือบหนึ่งวัน ถึงจะเดินทางได้ร้อยลี้ ซึ่งถือว่ายังห่างไกลจากจุดที่อาจารย์อาหยางถูกมารปีศาจปิดล้อมมากทีเดียว แต่ยังดีเพราะ่ค่ำที่ผ่านมา เวินโหวได้รับสาส์นของอาจารย์อาหยางอีกครั้ง ความว่า ถึงแม้จะถูกปิดล้อม แต่ก็ยังไม่อันตรายถึงชีวิต อีกทั้งยังเอ่ยเตือนพวกเวินโหวที่กำลังเดินทางมาให้ระมัดระวังตัวให้ดี เพราะดูเหมือนที่จุดใกล้กับค่ายกลที่กักขังพวกเขานั้น จะมีปีศาจขั้นเยาหวังอาศัยอยู่ด้วย…
และในคืนนั้นเอง ทุกคนก็เตรียมกระโจมเอาไว้สำหรับพักผ่อน จากนั้นค่อยเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น…
หลินเฟยกินอาหารง่ายๆเพียงสองถึงสามอย่างเท่านั้น จากนั้นก็เตรียมตัวบำเพ็ญประจำวัน่เย็น ทว่าตอนนั้นเองก็เห็นเวินโหวกำลังเดินเข้ามาพอดี…
“ได้ยินศิษย์น้องเว่ยบอกว่าศิษย์พี่หลินกำลังตามหาของที่มีสายฟ้าสว่างวาบอย่างนั้นหรือ?”
“อื้อ มันเป็ทรงเหลี่ยมกว้างประมาณหนึ่งฉื่อ นอกจากมีสายฟ้าสว่างเป็ระยะแล้วมันยังมีความรวดเร็วเป็อย่างมาก เมื่อ่บ่าย ข้าเห็นมันอยู่ครั้งหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ผีดิบร่างเงินดันปรากฏตัวขึ้นมาเสียก่อน ทำให้เ้าสิ่งนั้นใจนเตลิดไป…” หลินเฟยเองก็ไม่คิดจะปิดบัง หลังจากพูดเจบ ก็หันไปจ้องมองเวินโหวด้วยความสงสัย
“เ้าเคยเห็นอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเองก็ไม่เคยเห็นหรอก แต่เมื่อครู่ได้ยินศิษย์น้องที่ลาดตระเวนบอกว่าทางตอนเหนือมีสายฟ้าสว่างวาบขึ้น ยังคิดอยู่เลยว่าเป็สมบัติล้ำค่าถือกำเนิดหรือเปล่า เช่นนั้นข้าจึงมาถามก่อนว่าศิษย์พี่หลินสนใจจะไปสำรวจไหม?…”
------------------------------------------------------------------------------------------------------