เขาเป็ถึงเซวียนอ๋อง องค์ชายแปดผู้มีฐานะสูงส่งเชียวนะ!
โม่เสวี่ยถงพร่ำบ่นอยู่ในใจ เพียงแต่ไม่อาจระบายออกมา ได้แต่เก็บความโมโหและอึดอัดใจที่ไม่ได้รับความเป็ธรรมไว้ในดวงตา จ้องเขม็งใส่เฟิงเจวี๋ยหร่าน
“อืม... ก็นับว่าใช้ได้อยู่” เฟิงเจวี๋ยหร่านรู้สึกพึงพอใจ ยิ่งเห็นดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ แววยิ้มขบขันก็ทอวูบผ่านก้นบึ้งดวงตา ยกถ้วยชาขึ้นดื่มด้วยความสบายใจ “วันนี้เปิ่นหวางก็ทำดีกับเ้าอีกเื่ ด้วยการพาขึ้นมาชมป่าเหมยที่นี่ ต่อไปก็จดจำไว้ด้วยว่าเปิ่นหวางมีบุญคุณกับเ้าเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง...”
“เพคะ” โม่เสวี่ยถงหมดวาจาแล้วจริงๆ เส้นเืที่ขมับเต้นไม่หยุด สะบัดหน้าไปทางอื่นด้วยความอดทน หากมองสีหน้ายิ้มย่องของเฟิงเจวี๋ยหร่านต่อไป นางคงควบคุมตนเองไม่อยู่ได้ลงไม้ลงมือกับบุรุษจอมกวนประสาทผู้นี้แน่
โม่เสวี่ยถงหันหน้ามองไปทางป่าเหมยด้วยสีหน้าเดือดจัด หลีกเลี่ยงการมองใบหน้าเย้ายวนชวนให้อารมณ์เสียของเฟิงเจวี๋ยหร่าน แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อยืนชมป่าเหมยจากบนนี้จะให้ความรู้สึกแตกต่างจากด้านล่างโดยสิ้นเชิง ยามอยู่ที่นี่มองลงไปให้ความรู้สึกงดงามไปอีกแบบ
ตำแหน่งนี้คือจุดชมทิวทัศน์ที่ดีที่สุด ดอกเหมยแต่ละช่อผงาดง้ำอยู่บนกิ่งก้านที่แผ่ออก ทับซ้อนเชื่อมโยงเป็ผืนเดียวกัน บ้างก็เพิ่งแตกหน่อ บ้างก็ผลิบานสะพรั่ง ทั้งยังมีบางส่วนที่แฝงอยู่กับกิ่งก้านแย้มออกมาให้เห็นรางๆ เกร็ดหิมะสีขาวเกาะพราวอยู่บนกิ่งก้านของต้นเหมยแต่ละกิ่ง ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกว่าเสื่อมโทรมลงไป ดอกเหมยเหล่านี้กลับยิ่งดูมีเสน่ห์ ส่งกลิ่นหอมระรวยอยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลน
ผู้คนประปรายปรากฏขึ้นในป่าเหมยเป็ระยะ บ้างก็มาเป็กลุ่มสามถึงห้าคน ยืนพักผ่อนหาความสำราญอยู่ทั่วไป อาภรณ์หรูซึ่งอยู่บนเรือนร่างของแต่ละคนล้วนงดงามสดใส ช่วยแต่งแต้มสีสันให้ป่าเหมยแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวา ภาพเหล่านี้หากเดินอยู่ในป่าเหมยก็จะมองไม่เห็น ทำให้มิได้ััความงามของดอกเหมยทั้งผืนป่าอย่างแท้จริง
ป่าเหมยที่เห็นในยามนี้นอกจากจะให้ความรู้สึกกร้าวแกร่ง แต่ยังระบายไปด้วยมนตร์เสน่ห์อย่างน่าประหลาด เสมือนหนึ่งดรุณีน้อยรูปโฉมงามเพริศพริ้งปานบุปผา ขาวกระจ่างราวกับหิมะอันพิสุทธิ์ ซึ่งเดิมทีควรจะเหาะเหินอยู่บนแดน์ ทว่ากลับต้องลงมาจุติยังแดนมนุษย์
“งดงามมากใช่ไหมเล่า” น้ำเสียงเรียบของเฟิงเจวี๋ยหร่านลอยมาจากด้านหลัง ทว่าโม่เสวียถงกลับััถึงได้ความโศกเศร้าอันน่าประหลาดที่เจืออยู่ในวาจา
“งดงามมากจริงๆ” นางไม่ใช้อารมณ์ต่อต้านเขาอีก สายตาทอดมองความงดงามของทิวทัศน์ด้านล่าง หลากอารมณ์ที่สุมอยู่ในอกค่อยจืดจางลงมามากแล้ว รู้สึกราวกับว่ามีเพียงป่าท้อผืนนี้เท่านั้นที่มีอยู่จริงในโลกมนุษย์
“แต่งดงามแล้วอย่างไร จวนจิ้นอ๋องที่เคยงดงามที่สุดในอดีตบัดนี้ก็ไม่มีอีกแล้ว มีเพียงป่าเหมยแห่งนี้ที่ยังคงรักษาสภาพไว้ได้อย่างครบถ้วน ก็เหมือนกับคนเรา เมื่อตัวคนไม่อยู่แล้ว ได้เพียงแค่คะนึงหาจะมีประโยชน์อันใด” น้ำเสียงเสียดสีประชดประชันเข้มข้นในวาจา กลิ่นอายที่กำจายจากทั่วร่างผันเปลี่ยนเป็หนาวเหน็บ
“ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว แม้ว่าตัวคนจะจากไป แต่เมื่อยามคิดถึง คนผู้นั้นก็เสมือนได้กลับมาเกิดใหม่ในหัวใจของเรา หากผู้ซึ่งอยู่ในปรโลกผู้นั้นล่วงรู้ได้ ย่อมรู้สึกยินดีและมีความสุขเป็แน่แท้ ก็เหมือนกับป่าเหมยผืนนี้ กล่าวกันว่าชายาจิ้นอ๋องทรงรักพวกมันมากที่สุด แม้ว่านางไม่อยู่แล้ว แต่เมื่อมีผู้เอ่ยถึงป่าเหมยผืนนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องรำลึกถึงว่าที่นี่เคยเป็สถานที่ที่ยอดพธูงามล้ำผู้หนึ่งเคยมาเดินเล่นท่ามกลางบุปผาโปรยปราย สิ่งนี้จะยังคงตราตรึงอยู่ชั่วกาลนิรันดร์มิใช่หรือ” โม่เสวี่ยถงหันกลับไปมองเฟิงเจวี๋ยหร่านซึ่งบัดนี้ใบหน้าคล้ายฉาบด้วยน้ำแข็ง ทั้งเยือกเย็นและน่ากลัว
“หากคงอยู่ชั่วนิรันดร์เยี่ยงนี้ สู้ไม่อยู่เสียจะดีกว่า” เฟิงเจวี๋ยหร่านหันหลังไปอีกด้าน จากตำแหน่งที่โม่เสวี่ยถงยืนอยู่มองไปไม่เห็นว่าเขาแสดงสีหน้าอย่างไร แต่โม่เสวี่ยถงกลับรับรู้ได้ว่าเฟิงเจวี๋ยหร่านในยามนี้ดูว้าเหว่ เดียวดาย
เขาหมายถึงใคร พระมารดาของเขาหรือ? ได้ยินมาว่าสตรีผู้นั้นเคยเป็พระสนมที่จักรพรรดิจงเหวินตี้ทรงโปรดปรานสูงสุด เหมือนเช่นเขาในยามนี้ ที่เป็พระโอรสที่ฝ่าาทรงรักและโปรดปรานเป็ที่สุด แล้วยังมีสิ่งใดไม่พึงพอใจอีกเล่า?
“ชั่วนิรันดร์แบบนี้จึงจะคงอยู่ตลอดกาล เป็นิรันดร์ยิ่งกว่าการมีชีวิตอยู่ทั้งชีวิตแล้วตายจากไปเสียอีก คนเรามีชีวิตอยู่ค่อยๆ แก่ตัวลง มีแต่ความเสื่อมถอย แต่ความเป็นิรันดร์ที่ตราตรึงในหัวใจกลับเป็ความสุขที่คงอยู่ไปชั่วกาล ของเพียงแค่คิดถึงคนผู้นั้นก็จะไม่ตายจากไปไหน แต่จะมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ในใจเรา หรือองค์ชายทรงคิดว่าชั่วนิรันดร์เยี่ยงนี้หาใช่ความเป็นิรันดร์ที่แท้จริง”
โม่เสวี่ยถงพลันรู้สึกว่าตนเองไม่ปรารถนาเห็นเฟิงเจวี๋ยหร่านที่เป็เช่นนี้ เขาควรจะเป็เซวียนอ๋องผู้สดใสสง่างาม เป็ัที่เหาะทะยานลงมาจากสรวง์มิใช่หรือ
เฟิงเจวี๋ยหร่างนิ่งอึ้งราวกับถูกสะกด เหลียวไปมองนางด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง จับจ้องจนนางรู้สึกอึดอัด ไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิดไป หรือคำพูดไหนทำให้เซวียนอ๋องผู้นี้ไม่สบอารมณ์ เฟิงเจวี๋ยหร่านที่เงียบขรึมจนน่ากลัวซึ่งอยู่เบื้องหน้านางตอนนี้ คือโฉมหน้าที่แท้จริงของเขายามกางเขี้ยวเล็บออกมาใช่หรือไม่
“ทำไมอยู่ดีๆ จึงหันมาพูดปลอบใจ ท่าทางของเปิ่นหวางดูโศกเศร้ามากเยี่ยงนั้นเชียวหรือ” เฟิงเจวี๋ยหร่านพลันเปลี่ยนเป็ยิ้มร้าย หางตายกสูงอย่างวางท่า มุมปากหยักยกคล้ายกำลังหยอกเย้านาง ราศีกลางหว่างคิ้วที่เย็นะเืสลายไปกับสายลมนานแล้ว อารมณ์ด้านมืดที่แผ่ออกมาเมื่อครู่ไฉนเลยจะมีให้เห็นอีก ดูๆ ไปก็เป็เพียงอารมณ์แปรปรวนของคนหนุ่มเท่านั้น
“มิกล้า หม่อมฉันก็เพียงวิเคราะห์ไปตามหลักธรรมชาติเท่านั้น” โม่เสวี่ยถงตอบอย่างระมัดระวัง เซวียนอ๋องที่เป็แบบนี้ทั้งสง่างามและร้ายกาจยิ่ง แต่ก็แอบยิ้มโล่งใจโดยไม่รู้ตัว เซวียนอ๋องผู้นี้จะมีอารมณ์ขมขื่นโศกเศร้าเยี่ยงนั้นได้อย่างไร ริมฝีปากหยักโค้งแค่ครึ่งเดียวแบบนี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็องค์ชายแปดจอมร้ายกาจเ้าเล่ห์
“เอาเถอะ เช่นนั้นก็เชิญเ้าวิเคราะห์ธรรมชาติอยู่ที่นี่ต่อไปก็แล้วกัน เปิ่นหวางยังมีธุระต้องไปทำ กลับก่อนล่ะนะ ทั้งผลไม้ทั้งอะไรที่อยู่ที่นี่เปิ่นหวางมอบให้เ้าทั้งหมด แต่จำไว้ว่าเ้าได้รับของจากเปิ่นหวางไปแล้ว น้ำใจที่ติดค้างไว้ก็ย่อมจะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย” เฟิงเจวี๋ยหร่านลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จัดแขนเสื้อให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินออกไป แต่ขณะที่เดินผ่านโม่เสวี่ยถงก็หยุดหันมามองนางที่ย่อกายคำนับอย่างนอบน้อม กล่าวเสียงเย็น
“โม่เสวี่ยถง หากไม่มีธุระจำเป็ก็อย่าไปสนิทชิดเชื้อกับคนสกุลซือหม่าผู้นั้นอีก แม้ว่าเ้าไม่อาจเป็สตรีที่มีคุณธรรมอย่างแท้จริงได้ แต่หากคิดจะเสแสร้ง... อนุญาตให้เสแสร้งกับเปิ่นหวางได้คนเดียวเท่านั้น ออกมาชมดอกเหมยกับบุรุษสองต่อสอง มีสมองหรือเปล่า ฮึ! ครั้งหน้าอย่าให้เห็นว่าเ้าไปตามพัวพันกับผู้ชายคนไหนอีก มิเช่นนั้นเปิ่นหวางไม่ละเว้นเ้าแน่”
พูดจบก็พาเฟิงเยวี่ยเดินดุ่มๆ ลงจากูเาจำลองไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองสักแวบหนึ่ง ปล่อยให้โม่เสวี่ยถงยืนมองอย่างตะลึงเพริด พาเข้ามาในจวนเก่าของจิ้นอ๋อง หลังจากนั้น... ไม่มีหลังจากนั้น เพราะคนพามาไม่อยู่แล้ว!
หมายความว่าอย่างไร?
หลังจากยืนงงเป็ไก่ตาแตกอยู่พักหนึ่ง ก็กลายเป็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
อะไรคือแกล้งทำเป็สตรีที่มีคุณธรรม อะไรที่เรียกว่าไปตามพัวพันกับชายอื่น และอะไรที่เขาว่าจะไม่ละเว้น ต่อให้นางคิดสานสัมพันธ์กับผู้ใดก็ไม่เห็นเกี่ยวข้องกับเขาเสียหน่อย เชอะ! นอกจากนี้เอาที่ไหนมาพูดว่านางตามตื๊อผู้อื่น ทั้งยังมาเที่ยวกับบุรุษอีกด้วย เฟิงเจวี๋ยหร่านรู้หรือไม่ว่าตนเองพูดอะไรอยู่ หากคำพูดนี้แพร่งพรายออกไป แล้วนางจะยังมีหน้าใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือ
แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครได้ยิน แต่ไม่ว่าอย่างไรคำพูดก็ฟังแล้วน่าโมโหจริงๆ
คนผู้นี้... น่าชังนัก!
พาคนเขามาแท้ๆ แต่กลับทิ้งไว้ที่นี่ จะขึ้นก็ไม่ได้จะลงก็ไม่ได้ ไม่อธิบายด้วยว่าอยู่ตรงไหน กลางวันแสกๆ นางไม่อาจเผยให้ผู้ใดรู้เื่ที่โม่เยี่ยมีวรยุทธ์ ยังดีที่โม่เสวี่ยถงไม่เชื่อว่า์จะไม่เหลือหนทางให้คนยาก จึงพาโม่เยี่ยคลำหาทางลงจากูเาจำลอง แล้วเดินอ้อมกำแพงไปจึงเจอถนนและพบประตูเล็กๆ อยู่ที่มุมกำแพงด้านนั้น แต่ประตูถูกลั่นดาลคล้องกุญแจไว้แ่า
โม่เยี่ยเข้าไปทำลายกุญแจที่คล้องอยู่ แล้วทั้งสองก็เดินผ่านออกมาก่อนจะกลับไปยังป่าเหมย ขณะเดินไป โม่เสวี่ยถงก็คำนวณเวลาอยู่ในใจ หากโม่เสวี่ยิ่ดำเนินการตามแผน ตอนนี้โม่เสวี่ยฉงกับซือหม่าหลิงอวิ๋นย่อมถูกคนพบเข้าแล้ว เมื่อครู่ยามที่นางอยู่บนศาลาเหลือบมองไปทางนั้น รถม้าไม่อยู่แล้ว หากเกิดเื่เสื่อมเสียขึ้นมาจริงๆ ซือหม่าหลิงอวิ๋นย่อมไม่มีหน้าจะอยู่ต่อได้อีก
ทันใดนั้นก็มีฮูหยินสองคนเดินผ่านมาด้านข้าง พูดคุยซุบซิบกันเบาๆ เสียงหัวเราะเยาะหยันดังมาเป็ระยะ
“คนที่อยู่ในรถม้าเมื่อครู่นี้ก็คือเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อกับคุณหนูคนหนึ่งของสกุลโม่หรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ สองคนกอดกันกลมเลย จริงๆ นะ ปรกติเห็นซื่อจื่อก็ดูสุภาพเรียบร้อยดีนี่นา ไฉนวันนี้จึงเกิดเื่แบบนี้ได้”
“ผิดประเพณี ขัดต่อหลักจริยธรรมอันดีงาม เสื่อมเสียแท้ๆ เลย ไม่รู้ว่าเป็คุณหนูสกุลโม่คนไหนนะ”
“จะคนไหนได้เล่า แต่ย่อมไม่ใช่คุณหนูใหญ่แน่นอน ได้ยินว่าตอนนั้นพอคุณหนูใหญ่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ใจนเป็ลมไปเลย”
“ทั้งสกุลโม่ก็มีคุณหนูใหญ่ผู้นั้นที่ดูดีหน่อย ทั้งรูปโฉมงดงาม มีความสามารถ อีกสองคนที่เหลือมีแต่เื่ที่พูดให้ใครฟังไม่ได้”
…
“คุณหนู...” โม่เยี่ยได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วก็หน้าซีด จิตประหวัดถึงโม่เสวี่ยถง คำพูดเมื่อครู่พูดแต่เื่ซือหม่าหลิงอวิ๋นอยู่กับคุณหนูสกุลโม่ เมื่อครู่นี้คุณหนูของตนก็มากับซือหม่าหลิงอวิ๋น แม้ว่าจะมีโม่เสวี่ยฉงติดรถมาด้วย แต่ผู้อื่นไม่มีใครรู้ พูดมาพูดไป ก็กันโม่เสวี่ยิ่ไว้ภายนอกว่าไม่เกี่ยวข้องด้วย
โม่เสวี่ยิ่เป็คนที่ไม่อาจประมาทได้จริงๆ แม้เื่จะพลิกผันมาเป็เช่นนี้ ก็ยังมีแผนสำรองชี้กวางให้เป็ม้าได้อีก!
พยายามสร้างภาพให้ผู้อื่นสับสน เข้าใจว่าคนที่อยู่บนรถม้าก็คือซือหม่าหลิงอวิ๋นกับตนเอง ทำให้นางต้องตกเป็ที่ครหาของชาวบ้าน
“ฮูหยินผู้นี้ ขอถามได้หรือไม่ว่าสกุลโม่เกิดเื่อะไรขึ้นหรือเ้าคะ” โม่เสวี่ยถงโบกมือหยุดคำพูดของโม่เยี่ย แล้วหันไปหาฮูหยินสองคนที่เดินผ่านมาและสนทนากันอยู่เมื่อครู่ เนื่องจากนางเคลื่อนตัวค่อนข้างเร็ว จึงเสียหลักโอนเอนเกือบจะหกล้ม หากไม่ใช่เพราะโม่เยี่ยซึ่งอยู่ด้านข้างมือไวประคองไว้ทัน เกรงว่าคงชนถูกฮูหยินที่อยู่ด้านหน้าผู้นั้นแล้ว
“เ้าคือ...?” สตรีที่อยู่เบื้องหน้าอายุประมาณสามสิบปี สวมกระโปรงแพรต่วนสีแดงสด คิ้วเข้มตาคม น้ำเสียงและวาจาฟังดูเหมือนผู้สูงศักดิ์ แม้ว่าจะวิจารณ์เื่ส่วนตัวของผู้อื่นอยู่ ก็มิได้ลดน้ำเสียงลงแม้แต่น้อย พูดคุยปรกติเหมือนคุยเื่ดินฟ้าอากาศเยี่ยงนั้น ด้านหลังมีสาวใช้รุ่นใหญ่ติดตามมาอีกสี่คน
“ข้าคือธิดาสามสกุลโม่เ้าค่ะ ขอถามหน่อยเถิดว่าผู้ใดในสกุลของเรา เกิดเหตุอันใดขึ้น” โม่เสวี่ยถงถูกโม่เยี่ยประคองไว้ สีหน้าขาวซีดประดุจหิมะ แต่กลับย่อกายคารวะอย่างนอบน้อม เพียงแต่ร่างกายก็ยังสั่นเล็กน้อยอย่างควบคุมมิได้ ดวงตาอ่อนหวานเผยแวววิงวอนอย่างอ่อนแอ ขบริมฝีปากเบาๆ ท่าทางจริงจัง แต่ดูน่ารักน่าเอ็นดู
“คุณหนูสามโม่ คนที่เพิ่งเข้ามาเมืองหลวงก็คือเ้าเองน่ะหรือ?” ฮูหยินชุดแดงมองพิจารณาโม่เสวี่ยถงั้แ่หัวจรดเท้า ดวงตาฉายแววประหลาดใจ ได้ยินข่าวลือมาว่าคุณหนูสามสกุลโม่เป็คนหยาบคายไร้มารยาท อีกทั้งเย่อหยิ่งจองหองมิใช่หรือ สตรีที่สามารถรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะเป็คนไร้มารยาท ไม่รู้จักธรรมเนียมได้อย่างไร
“เป็ข้าเองเ้าค่ะ ฮูหยิน ช่วยบอกให้ข้าทราบหน่อยเถิดว่าเกิดเื่อันใดขึ้น” โม่เสวี่ยถงติดตามถามอย่างร้อนใจ ราวกับไม่สนใจความหมายอื่นที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของฮูหยินชุดแดงผู้นั้น
ดวงตาประกายหยดน้ำราวกับถูกคลุมด้วยไอน้ำจางๆ ให้ความรู้สึกทั้งตึงเครียดและร้อนใจอยากรู้เื่นี้ใจจะขาด แม้จะถูกผู้อื่นมองว่าเสียมารยาทก็ไม่นำพา
ฮูหยินชุดแดงก็ตระหนักดีว่าคำพูดของตนเองออกจะละลาบละล้วงเสียมารยาทอยู่บ้าง แต่เห็นอีกฝ่ายไม่เอาเื่ กลับยังถามซ้ำแต่ว่าเกิดอะไรขึ้น ก้นบึ้งดวงตาก็ฉายแววชื่นชม ผงกศีรษะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้คุณหนูสี่ของบ้านเ้าเดินทางมาชมดอกเหมยกับเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อหรือ เมื่อครู่เกิดเหตุการณ์ไม่น่าดู ทั้งสองคนไม่ได้ลงมาชมดอกเหมย แต่กลับกอดกันอยู่บนรถ ตอนนี้เกรงว่าเื่คงไปถึงจวนของพวกเ้าแล้ว คุณหนูสามรีบกลับไปดูเถิด”
แม้ว่าฮูหยินชุดแดงจะตั้งคำถาม แต่กลับไม่คิดจะเอาคำตอบจากนาง แม้คำพูดจะฟังดูตรงไปตรงมาแต่กลับแฝงนัยลึกซึ้ง ทำให้คนรู้สึกว่านางเป็คนเถรตรงเปิดเผย น้ำตาที่คลออยู่รอบดวงตาคู่งามหยุดลงที่ข้อมือของนาง
ข้อมือขาวกระจ่างนั้นสวมกำไลหยกลายหงส์ หัวหงส์ทองคำช่วยเสริมให้สีของกำไลหยกดูเขียวเข้มขึ้น ดวงตาของโม่เสวี่ยถงเลื่อนไปจับอยู่ที่สาวใช้สี่คนทางด้านหลัง ทั้งสี่คนล้วนหน้าตาสะสวย ท่าทางดูมีไหวพริบเฉียบคม แม้พวกนางจะก้มหน้าอยู่ ดูไม่แตกต่างจากสาวใช้ทั่วไป แต่ยามที่ช้อนตาขึ้นกลับไม่มีความอ่อนแอปวกเปียกเยี่ยงสาวใช้เลยแม้แต่น้อย