เมื่อส่งหลิวผิงกับเฉินเผิงเฟยกลับไปแล้ว เจินจูเดินเข้ามาในลานบ้าน ในมือลูบไล้เงินหนึ่งก้อน น่าจะเป็เงินประมาณหนึ่งเหลียงกระมัง หลิวผิงกล่าวว่าเป็ค่าใช้จ่ายของกระต่ายกับเห็ดในครั้งนี้
เจินจูไม่ได้คิดจริงจังที่จะทำการค้ากับพวกเขา แต่จะกล่าวได้อย่างไรว่าการซื้อขายนี้ผู้ใดเป็ฝ่ายได้กำไรและได้ผลประโยชน์ ในใจนางย่อมรู้อยู่แน่ชัด...
หลี่ซื่อยื่นกายออกมาจากห้องครัว ถามหนึ่งประโยคด้วยเสียงเบา “เจินจู แขกไม่อยู่ทานข้าวหรือ?”
“ พวกเขาค่อนข้างรีบ จึงไปกันแล้วเ้าค่ะ” สำหรับคนแปลกหน้าแล้วหลี่ซื่อยังขี้ขลาดอยู่เล็กน้อย เจินจูหันไปยิ้มกับนางอย่างรู้สึกสบายใจ “ท่านแม่ ข้าวเช้าเสร็จแล้วหรือเ้าคะ? ข้าหิวจะแย่แล้ว”
“อื้ม เสร็จนานแล้ว แค่เห็นว่าพวกเ้ายุ่งอยู่ เลยไม่ได้ะโเรียก เช่นนี่ก็ทานกันเถอะ” หลี่ซื่อรีบยกข้าวเช้าที่ทำเสร็จแล้วเข้ามาในห้อง
เจินจูตักน้ำล้างมือ แล้วจึงหันไปยังลานบ้านะโหนึ่งเสียง “ยู่เซิง ออกมาทานข้าวเช้าได้แล้ว”
“แอ๊ด” เสียงประตูเปิดออก เงาเล็กๆ ของเสี่ยวเฮยวิ่งพรวดออกมา ส่งเสียงร้อง “หง่าว” เล็กน้อย เมื่อวิ่งมาถึงข้างขาของเจินจูก็คลอเคลียทันที
ใบหน้าสงบนิ่งของหลัวจิ่งเดินมาถึงหน้าโต๊ะอาหารอย่างเงียบกริบ เมื่อครู่สกุลหูมีแขก เขาจึงหลบอยู่ในห้องไม่ออกจากประตูอย่างรู้ว่าควรทำตัวเช่นไร
หูฉางกุ้ยเป็คนที่ว่างงานไม่ได้ พอเช้าก็รีบไปฟันกิ่งไม้ที่หลังเขา ตั้งใจจะล้อมรั้วที่ว่างอยู่ข้างลานบ้านให้เรียบร้อย
“ท่านพี่ เมื่อครู่สองผู้นั้นวิ่งมาซื้อกระต่ายบ้านเราโดยเฉพาะหรือ?” ผิงอันถามด้วยความประหลาดใจ
“อื้ม ใช่แล้ว” เจินจูคว้าหมั่นโถวขาวหนึ่งลูกขึ้นมากัดสองคำ เมื่อครู่ทั้งจับกระต่ายทั้งจับไก่ หิวแล้วจริงๆ
“ท่านพี่ ทำไมพวกเขามอบของให้เยอะเพียงนี้เล่า?” ในปากผิงอันกำลังเคี้ยวหมั่นโถว เมื่อพบของขวัญอวยพรหนึ่งกองใหญ่ที่อยู่บนม้านั่ง ทันใดนั้นดวงตาก็เป็ประกาย ะโออกมาตรงๆ อย่างตื่นเต้น
“อืม... พวกเขาบอกว่าเป็การแสดงความยินดีที่พวกเราซื้อที่ดิน” ในกองของขวัญกองนั้นเป็ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีพื้นมีความวาวสี่พับสะดุดตาที่สุด
เ้าของร้านหลิวคบค้าสมาคมกับผู้คนมาค่อนชีวิต ย่อมต้องรู้วิธีการให้ของขวัญ ฐานะทางบ้านอย่างครอบครัวสกุลหูเช่นนี้ หากมอบผ้าไหมให้สองสามพับ ไม่แน่ว่าจะเอาไปขายทิ้งหรือไม่ก็โดนทับไว้ก้นกล่องไม่ให้เห็นความสว่างกันเลย ผ้าฝ้ายสี่พับนั้นมีสีแดงสดหนึ่ง สีเหลืองอ่อนหนึ่ง สีฟ้าทะเลสาบหนึ่ง สีน้ำเงินแก่หนึ่ง ล้วนเป็ผ้าดีที่ครอบครัวชาวนาใช้กันได้
“ว้าว ลูกกวาดกับเกาเตี่ยนที่มอบให้ครั้งก่อนยังเหลืออยู่เยอะเลย ครั้งนี้ก็มอบให้เยอะเช่นนี้ พวกเขาใจกว้างเกินไปแล้วจริงๆ” ผิงอันมองหีบห่อกล่องขนมที่ประณีตสวยงามดวงตาผุดประกายวิบวับ เกาเตี่ยนกับผลไม้เชื่อมที่พวกเขามอบให้ล้วนอร่อยที่สุด
“เจินจู สิ่งของเหล่านี้น่าจะมีราคาไม่น้อยเลย พวกเรารับไว้เช่นนี้ได้หรือ?” หลี่ซื่อมองผ้าไม่กี่พับนั่นด้วยความทุกข์ใจ พอมองก็รู้ได้เลยว่ามีมูลค่าไม่น้อย
“ไม่เป็ไร ท่านแม่ นี่เป็การแสดงความยินดีที่พวกเราซื้อที่ดิน ของขวัญอวยพรเหล่านี้ครอบครัวเราดูแล้วมีค่ามาก แต่ในสายตาของผู้อื่น ก็เป็ของขวัญอวยพรธรรมดาเท่านั้น” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
“อืม นั่นก็ใช่ ถึงอย่างไรก็เป็ร้านสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ของขวัญที่มอบให้ย่อมไม่อาจเปรียบกับคนทั่วไป” หลี่ซื่อผ่อนลมหายใจ เดินไปข้างหน้าลูบคลำผ้าที่มีราคาแพง สายตาทอประกายความอ่อนโยนขึ้น “สีเหลืองอ่อนนี่ขับผิวนัก ทำชุดฤดูใบไม้ผลิให้เ้าสักชุด ต้องดูดีแน่ๆ”
“ท่านแม่ สีแดงสดพับนั้น ท่านก็ทำชุดฤดูใบไม้ผลิให้ตัวเองสักชุดเถิด ท่านสวมสีนี้สวยนัก” เจินจูเดินอ้อมมาข้างหน้า หยิบผ้าพับสีแดงเข้มมาทาบทับบนกายของหลี่ซื่อ ผู้หญิงมักมีหัวข้อที่พูดคุยได้ไม่รู้จบเกี่ยวกับเสื้อผ้าและเครื่องประดับ
“อันนี้…ค่อนข้างแดงเกินไป เก็บไว้ทำเสื้อผ้าให้เ้ากับชุ่ยจูเถิด”
“ไม่แดง กำลังดี ท่านแม่ดู ขับสีผิวของท่านมากเลยนะเ้าคะ”
“แม่อายุมากแล้ว ไม่เหมาะจะสวมสีฉูดฉาดเช่นนี้”
“ไม่จริงเสียหน่อย ท่านยังสาวอยู่เลยเ้าค่ะ? จะรีบแก่อะไรกัน สีนี้ดี ผ้าพับนี้ท่านทำสวมหนึ่งชุด ทำให้ป้าสะใภ้หนึ่งชุด น่าจะยังเหลือผ้าไม่น้อยเลย”
หลัวจิ่งทานหมั่นโถวอย่างเงียบสงบ สายตากวาดไปยังสองสามคนที่ใบหน้ามีความตื่นเต้นเป็ครั้งคราว จึงเกิดรอยยิ้มบางๆ ขึ้นที่มุมปากของเขาโดยไม่รู้ตัว
หลังอาหารเช้า หวังซื่อนำทางชุ่ยจูกับผิงซุ่นเข้ามา
ได้ยินว่าพอรุ่งเช้าเ้าของร้านหลิวก็เร่งมาจับกระต่ายกลับไป หวังซื่อเงยหน้ามองสีท้องฟ้าก็ใอย่างยิ่ง นี่... รีบมาแต่เช้าเกินไปแล้วกระมัง
แล้วมองไปที่กองของขวัญอวยพรของหลิวผิงอีกครั้ง หวังซื่ออดตกตะลึงไม่ได้ ทั้งผ้าพับ ทั้งผักผลไม้ รวมกันขึ้นมาแล้วเกรงว่าจะเป็เงินหลายเหลียงกระมัง ของขวัญอวยพรเช่นนี้มากไปแล้ว เป็ครอบครัวตระกูลใหญ่ร่ำรวยมั่งคั่งจริงๆ หวังซื่อฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ท่านย่า นี่เป็เงินที่พวกเขาซื้อกระต่าย ข้ายังมอบไก่สองตัวของบ้านเราให้พวกเขาด้วย รวมเห็ดครึ่งตะกร้านั่นด้วย เงินนี่น่าจะพอกระมังเ้าคะ” เจินจูควักเงินของหลิวผิงออกมา แล้วยื่นส่งให้หวังซื่อ
“โอ๊ะ เงินหนึ่งเหลียง ให้มาเยอะเกินไปอีกแล้ว… เจินจู พวกเรารับไว้เช่นนี้จะดีหรือ?” หวังซื่อใช้มือชั่งน้ำหนักแล้วลังเลใจขึ้นมา
“ท่านย่า ไม่มีอันใดไม่ดี คุณชายครอบครัวเขาร่างกายย่ำแย่ แต่ปากช่างเลือก ชอบทานแค่กระต่ายของบ้านเรา ไม่ใช่ว่าข้ายังมอบไก่อีกสองตัวให้พวกเขาอีกหรือเ้าคะ!” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว “หากท่านรู้สึกว่าไม่ดี เช่นนั้นครั้งหน้าพวกเราก็ชั่งน้ำหนักให้เรียบร้อย แล้วรับเงินตามน้ำหนักที่ชั่งได้ก็แล้วกันเ้าค่ะ”
“อื้ม พวกเรารับเงินตามที่ชั่งได้จะดีกว่า สบายใจหน่อย” หวังซื่อพยักหน้า
ผิงซุ่นวนรอบกล่องของขวัญและขนม เขาหมุนวนไปมากับผิงอันอยู่นานแล้ว หลังได้รับอนุญาตจากหวังซื่อ ก็หารือกันว่าจะฉีกห่อไหนดีกว่ากัน
“ผ้าสีเหลืองอ่อนนี่สวยจริงๆ ไว้ทำเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิให้พวกเ้าสองสาวพี่น้องพอดีเลย สวมแล้วต้องดูดีมากแน่ๆ” หวังซื่อลูบคลำผ้าฝ้ายที่อ่อนนุ่มและสว่างสดใส ทั่วดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ชุ่ยจูข่มความรู้สึกตื่นเต้นดีใจไว้ ลูบผ้าด้วยความระมัดระวังอย่างมาก สีเหลืองอ่อนค่อนข้างสดใสและนุ่มลื่น สีนี้ดูแล้วงดงามมาก ท่านย่าจะทำเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ตนเองจริงหรือ?
“ท่านแม่ก็กล่าวเช่นนี้ ส่วนสีแดงก็ทำชุดใหม่ให้ท่านแม่กับป้าสะใภ้คนละตัว ท่านย่า ท่านว่าดีหรือไม่เ้าคะ?” เจินจูยิ้มแล้วกล่าวถาม
หวังซื่อหยิบผ้าฝ้ายสีแดงสดขึ้นมา ลูบไล้อย่างละเอียดอยู่ไม่กี่ที สีแดงสดเช่นนี้ และยังเป็ผ้าชั้นดีอีก ตามความเห็นของนางคือเก็บไว้ให้ดีก่อน รอถึงตอนที่ชุ่ยจูหรือเจินจูแต่งออก ก็สามารถทำชุดแต่งงานใหม่ที่งดงามหนึ่งตัวได้พอดี แต่พอมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของเจินจูแล้วหากปฏิเสธออกไป หวังซื่อคงจะกล่าวไม่ออกเล็กน้อย เอาเถิด หนึ่งคนตัดหนึ่งชุดก็ยังเหลือผ้าอยู่ไม่น้อย จึงพยักหน้าตกลง
หลังจากแบ่งของขวัญกันแล้ว ต่างก็ยกเนื้อที่หมักไว้เมื่อวานออกมา เริ่มทำการกรอกกุนเชียง
มีประสบการณ์ก่อนหน้านี้มาหลายครั้ง ขณะนี้ทุกคนจึงกรอกกุนเชียงกันอย่างคล่องแคล่วมากขึ้น ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็เสร็จสิ้น
เป็โอกาสดีที่สภาพอากาศปลอดโปร่ง จึงนำอาหารหมักที่เพิ่งกรอกเสร็จ รวมกับที่กรอกไว้นานแล้วก่อนหน้านี้ทั้งหมด ขึ้นแขวนตากแดดไว้ในลานบ้าน
อาหารหมักแขวนอยู่บนราวไม้ไผ่เป็ชั้นๆ เต็มลานบ้าน เกิดเป็ภาพหนึ่งที่ค่อนข้างอลังการ เจินจูมองเนื้อที่เต็มลานบ้าน ยิ้มด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ
...ด้านหลังร้านฝูอันถัง แม่ครัวกำลังตุ๋นน้ำแกงไก่ ใช้ไก่บ้านที่หลิวผิงนำกลับมาจากบ้านของเจินจูั้แ่เช้าตรู่
ภายในหม้อกำลังร้อนเดือดพล่าน กลิ่นหอมที่ผุดออกมายิ่งเข้มข้นขึ้น เฉินเผิงเฟยกับกู้จงที่เฝ้ารออยู่ด้านข้างเป็เวลานาน ได้แต่กลืนน้ำลายลงไปหลายอึกอย่างไม่รู้ตัว
“กลิ่นนี่หอมเกินไปแล้ว รู้สึกว่าน่าจะอร่อยกว่าไก่ฟ้าตัวนั้นที่ตุ๋นครั้งก่อนอีก ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กสาวผู้นั้นเลี้ยงอย่างไร สิ่งของต่างๆ ที่นำกลับมาจากบ้านนางทำไมพิเศษกว่าบ้านอื่นกัน” เฉินเผิงเฟยข่มความรู้สึกอยากทานแล้วกล่าวกับกู้จง
“หอมไม่เลวเลยทีเดียว แต่ไม่รู้ว่าคุณชายจะทานลงได้หรือไม่ เกรงว่าจะเหมือนกับครั้งก่อน ที่ทานไปหนึ่งคำก็พ่นออกมา” กู้จงไม่แน่ใจ แล้วยังบ่นเฉินเผิงเฟยอยู่เล็กน้อยว่าทำไมไม่ตุ๋นกระต่ายหนึ่งตัวก่อน ที่ผ่านมาคุณชายเอาแต่ทานหัวไชเท้ามาสองวันแล้ว หากซดน้ำแกงไก่ไม่ลง ไม่ต้องเสียเวลาตุ๋นกระต่ายอีกหนึ่งหม้อหรือ
“ลองดูก่อนเถิด หลิวผิงกล่าวว่า... สิ่งของต่างๆ ที่เด็กสาวบ้านนั้นผลิตขึ้น แม้ไม่รู้ว่าเป็เพราะอันใดแต่เหมือนว่าจะถูกปากคุณชายมากเป็พิเศษ หากเนื้อไก่นี่คุณชายทานลงได้ เช่นนั้นต่อไปอาหารที่คุณชายสามารถทานได้ก็จะมีเพิ่มขึ้น” ระหว่างเร่งรถม้าเดินทางกลับมา เฉินเผิงเฟยได้ถามหลิวผิงแล้วว่าทำไมต้องรับเอาไก่สองตัวมาอีก หลิวผิงก็อธิบายกับเขาเช่นนี้
“หากเป็เช่นนั้นได้ก็ดียิ่งนัก ขอแค่คุณชายสามารถทานอาหารได้ลง และนอนหลับได้นานขึ้น เช่นนี้พระพุทธองค์คุ้มครองแล้ว…” สองมือกู้จงพนมมือไหว้ภาวนาอย่างอ่อนน้อมและจริงใจ
ไก่ตุ๋นจนเกือบได้ที่ แม่ครัวเติมเห็ดแห้งที่แช่น้ำไว้แล้วลงไปต้มด้วยกันนิดหน่อย เคี่ยวช้าๆ อีกครู่หนึ่ง จึงช้อนเอาน้ำมันที่ลอยอยู่หนึ่งชั้นออก ไก่ตุ๋นเห็ดเข้มข้นส่งกลิ่นหอมกรุ่นออกจากหม้อ
กู้จงใช้ช้อนตักขึ้นมาชิมหนึ่งคำก่อนด้วยความระมัดระวัง
“เป็อย่างไร? รสชาติดีหรือไม่?” เฉินเผิงเฟยกล่าวถามแล้ววนไปรอบๆ อย่างกระวนกระวายใจ
กู้จงเม้มริมฝีปากอยู่นิดหน่อย ขบคิดรสชาติหวานกลิ่นหอมนุ่มในปาก อดพยักหน้าลงน้อยๆ ไม่ได้ “ไม่เลวๆ รสชาตินี้คุณชายน่าจะทานได้ คล้ายคลึงกับน้ำแกงหัวไชเท้ากระต่ายมากทีเดียว ล้วนมีรสชาติหวานสดชื่นไม่เลี่ยน” กล่าวจบ หยิบถ้วยขึ้นมาทันทีแล้วตักน้ำแกงครึ่งถ้วยด้วยความระมัดระวัง เพิ่มเห็ดกับเนื้อไก่ลงไปเล็กน้อย แล้วถึงยกขึ้นเดินไปทางห้องนอน
เฉินเผิงเฟยมองน้ำแกงไก่ในหม้อที่ยังคงเดือดพล่านแวบหนึ่งด้วยความอาลัยอาวรณ์ แล้วจึงตามออกไป
ยามนี้ กู้ฉีกำลังนอนหงายอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวทำจากไม้ประดู่บ้าน บนกายคลุมด้วยผ้าสักหลาดผืนหนา ในมือมีบันทึกการเดินทางจิ่วโจวหนึ่งเล่มที่อ่านไปแล้วครึ่งชั่วยาม อันที่จริงหนังสือเล่มนี้กู้ฉีเคยอ่านไปนานแล้ว ขณะนี้กำลังพลิกดูอีกหนึ่งรอบ เพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น
“คุณชาย…” เสียงของกู้จงดังขึ้นจากนอกประตู
“อืม... เข้ามาเถิด” กู้ฉีหยิบหยกขาวที่คั่นหนังสือจากโต๊ะเตี้ยขึ้นมาคั่น แล้ววางไว้ด้านข้าง
“คุณชาย น้ำแกงไก่ตุ๋นเสร็จแล้ว ท่านลองทานดูก่อน” กู้จงวางถ้วยไว้บนโต๊ะตัวเตี้ยอย่างระมัดระวัง
กู้ฉีพยักหน้า หันหน้าไปไอสองสามที แล้วจึงหยิบช้อนขึ้นมาตักหนึ่งช้อน กลิ่นน้ำแกงไก่ที่หอมหวนลอยเข้าจมูก กู้ฉีดมกลิ่นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอยากอาเจียน ด้วยเหตุนี้ จึงจิบหนึ่งคำเบาๆ รสอร่อยหวานสดชื่นซึมซาบไปทั่วปาก ค่อยๆ กลืนลงไปในลำคอ
กู้จงกับเฉินเผิงเฟยมองกู้ฉีด้วยความตื่นเต้น กลัวมากว่าทั้งหมดจะซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง
หลังผ่านไปสักพักหนึ่ง ก็ไม่ได้มีอาการอยากอาเจียนออกมา
“ว้าว ยอดเยี่ยมนัก คุณชาย! ไก่นี่ท่านก็สามารถทานลงไปได้ ยอดเยี่ยมจริงๆ เลยขอรับ!” กู้จงตื่นเต้นจนคนชราน้ำตานองหน้าอีกครั้ง
“ประหลาดใจจริงๆ ทำไมสิ่งของจากสกุลหูล้วนทานลงไปได้ทั้งหมด? ไก่ของบ้านพวกเขาดูแล้วก็ไม่แตกต่างกับไก่ทั่วไปนี่?” เฉินเผิงเฟยใบหน้าดีใจ แต่ก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
“อมิตาพุทธ พระพุทธองค์คุ้มครอง บางทีครอบครัวสกุลหูกับคุณชายของพวกเราอาจจะมีวาสนาต่อกันจริงๆ ฮ่าๆ เยี่ยมไปเลย ในที่สุดคุณชายก็สามารถทานอาหารได้อย่างปกติเสียที เนื้อกระต่ายกับเนื้อไก่สองอย่างทานหมุนเวียนกัน คุณค่าอาหารก็จะเพิ่มขึ้นได้ อาการป่วยของท่านก็จะหายเร็วในไม่ช้า ฟู่เหรินก็ไม่ต้องกลุ้มใจอีก... คุณชาย ท่านรีบถือโอกาสทานตอนที่ยังร้อน…” กู้จงทั้งยิ้มทั้งเช็ดน้ำตาที่ไหลอยู่หางตา