คิดถึงชาติภพก่อนถูกโม่เทียนจีเล่นงานมาตลอดชีวิตแล้ว เพลิงโทสะในใจจ้านอู๋มิ่งลุกโหมอย่างคลุ้มคลั่ง แต่ใบหน้าเขาสงบนิ่งเช่นเดิม เป็สัญญาณให้เหยียนควนพูดต่อไป
“ความจริงผู้นำตระกูลเองก็กังวลเกี่ยวกับภัยพิบัตินี้ตลอดมา ตอนแรกยังเคยขอให้เขาช่วยหาทางออก แต่ขณะคนแปลกผู้นั้นกำลังคาดคำนวณ กลับถูกมรรคาฟ้าย้อนทวนสะท้อนกลับ ถึงกับกระอักโลหิตจนาเ็สาหัส หลังจากนั้นก็ได้แต่หยุด มิยุ่งเกี่ยวเลิกรากันไป เพียงแต่พูดว่าต้องอาศัยผู้มีราศีชนชั้นสูงจึงจะสามารถผ่านพ้นภัยพิบัติ แปรเปลี่ยนทุกข์ให้เป็โชคลาภวาสนา ดังนั้นผู้นำตระกูลจึงคิดเื่การอภิเษกสมรสกับคนในราชวงศ์ขึ้นมา” เหยียนควนพูดขึ้นอย่างอับจนปัญญา
จ้านอู๋มิ่งยิ้มๆ อย่างดูแคลนกล่าวว่า “อาศัยผู้มีราศีชนชั้นสูงจึงจะสามารถผ่านพ้นภัยพิบัตินั้นถูกต้อง แต่คนในราชวงศ์ก็คือผู้มีราศีชนชั้นสูงแล้วหรือ? เหอะ!”
“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่แต่งกับองค์ชายเ้าสำราญผู้นั้นเด็ดขาด…ฮึ!” หลิ่วหว่านอวี๋พูดขึ้นอย่างดุดัน
“มิมีปัญหา มีข้าพี่ชายอยู่ทั้งคน ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถแก้ไขได้อย่างแน่นอน” จ้านอู๋มิ่งยิ้มๆ อย่างไร้ยางอาย
ทันใดนั้น สีหน้าจ้านอู๋มิ่งเคร่งขรึมขึ้นมา ยื่นมือขวางบอกให้ทุกคนหยุดลง พูดเสียงเบาว่า “มาถึงแล้ว!”
“พลังชีวิตแข็งแกร่งมากพอตัวจริงๆ ภายใต้อาการาเ็สาหัส ยังสามารถหลบหนีจากกรงเล็บนกอินทรีสายฟ้าได้หลายร้อยลี้ นายท่านสองเจิ้งแข็งแกร่งกว่านายท่านสามเจิ้งมากนัก” จ้านอู๋มิ่งมองที่หน้าผาขาดแห่งหนึ่งข้างหน้า
หน้าผาขาดแห่งนี้ไม่แปลกตาสำหรับจ้านอู๋มิ่ง เขาชื่นชมเจิ้งหย่งฟูยิ่งนักที่สามารถค้นพบสถานที่นี้ ไม่มีสถานที่ใดในเทือกเขาป่าสัตว์อสูรที่หนีจากการติดตามไล่ล่าของนกอินทรีสายฟ้าได้ดีไปกว่าที่นี่แล้ว
ใต้หน้าผาขาดเป็หุบเขาป่าหินผืนหนึ่งที่มีก้อนหินระเกะระกะเต็มไปหมด กำแพงูเาทั้งสองฟากของหุบเขาถูกสายลมและน้ำค้างแข็งกัดเซาะเป็เวลานานนับพันล้านปี จนเกิดรอยแยกทั้งขนาดใหญ่และเล็กมากมายเต็มไปหมด รอยแยกต่างๆ ค่อยๆ เชื่อมต่อกันเป็เส้นทางเขาวงกตสายแล้วสายเล่า เส้นทางเหล่านี้ไม่เพียงสามารถบดบังสายตาของนกอินทรีสายฟ้าเท่านั้น ยังสามารถหลบพ้นการโจมตีของนกอินทรีสายฟ้าอีกด้วย ขอเพียงเจิ้งหย่งฟูมุดตัวเข้าไปในรอยแตกสายใดสายหนึ่ง ก็สามารถสลัดหลุดพ้นการติดตามไล่ล่าของนกอินทรีสายฟ้าแล้ว นกอินทรีสายฟ้าเองก็ไม่สามารถเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดไปเช่นกัน เจิ้งหย่งฟูกลับสามารถใช้สอยประโยชน์จากทำเลภูมิประเทศเพื่อรักษาอาการาเ็ของตน ถึงเวลานั้นด้วยพลังการบ่มเพาะของราชันาระดับสามดาว ก็จะไม่เกรงกลัวการไล่ล่าของนกอินทรีสายฟ้าอีกต่อไปแล้ว
“มีรอยแยกของูเามากมายที่นี่ พวกเรามีเพียงไม่กี่คนเท่านี้เอง จะสามารถหยุดเขาได้อย่างไรกันเล่า?” หลิ่วหว่านอวี๋มองดูสภาพแวดล้อมที่นี่แล้ว อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้
จ้านอู๋มิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันก็ยิ้มแล้ว สายตาเปล่งประกายขึ้นวูบกล่าวว่า “ไยพวกเราต้องไปตามหาเขา ให้เขาออกมาเองโดยตรงก็ใช้ได้แล้ว”
“ทำให้เขาออกมา นี่จะเป็ไปได้อย่างไรกันเล่า พวกเราไม่ทราบว่าเขาอยู่ในรอยแยกไหนด้วยซ้ำ” ทุกคนงุนงงไม่เข้าใจ
“พี่ชายจะทำให้น้ำท่วมหุบเขาเล็ก ดูว่าเขาจะออกมาหรือไม่” จ้านอู๋มิ่งถูไม้ถูมือหัวเราะแล้ว
ทุกคนมองตามสายตาจ้านอู๋มิ่ง ค้นพบอย่างน่าประหลาดใจว่าเหนือหุบเขานี้เป็ทะเลสาบบนยอดเขาแห่งหนึ่ง หุบเขาด้านนี้มีแนวหน้าผาสายหนึ่ง สายน้ำสายหนึ่งไหลสาดเทลงมาจากที่สูงระดับครึ่งเอว ไหลลงไปในหุบเขา ก่อเกิดเป็แม่น้ำขนาดเล็กขึ้นสายหนึ่งภายในหุบเขา ทอดเป็แนวยาวไกลออกไป
“นี่ต้องใช้เวลาอีกยาวนานแค่ไหนกว่าจะทำลายแนวหน้าผาได้?” หลิ่วหว่านอวี๋พูดไม่ออก แนวหน้าผานั้นกว้างร่วมหลายสิบวา ถึงแม้จะมีรอยแตกเล็กๆ อยู่ตรงกลางมากมาย แต่ก็ไม่สามารถทำลายมันออกง่ายๆ แม้จะมีพลังบ่มเพาะระดับราชันา ก็เป็ไปไม่ได้ที่จะเปิดเป็แม่น้ำสายหนึ่งถ้าไม่มีเวลาสักสิบวันครึ่งเดือน
“ข้าคุณชายมีวิธีมหัศจรรย์ของตนเอง” สีหน้าจ้านอู๋มิ่งเปี่ยมความเชื่อมั่น ก้าวย่างเดินอย่างสง่าผ่าเผยไปทางหน้าผา
……
จ้านอู๋มิ่งเคาะไปรอบๆ บริเวณใต้หน้าผาเที่ยวหนึ่ง ทุกคนที่ดูอยู่รู้สึกสับสนยิ่งนัก เนิ่นนานต่อมา จ้านอู๋มิ่งเลือกไว้จุดหนึ่งของบริเวณบนหน้าผา สั่งให้เหยียนอี้เจาะเป็ถ้ำลึกราวสองวา สำหรับราชันา หากคิดทำลายตลอดแนวหน้าผาทั้งหมดค่อนข้างยากลำบาก แต่การทำถ้ำสี่เหลี่ยมบนนั้นสักแห่งกลับไม่ยากนัก นอกจากนี้หน้าผาแห่งนี้ยังถูกกัดเซาะผุกร่อนด้วยสายลมนานนับล้านปี จึงเปราะบางยิ่งนักอยู่แล้ว
ตำแหน่งที่จ้านอู๋มิ่งเลือกไม่ใช่ส่วนที่เปราะบางมากที่สุด แต่บริเวณนี้คือจุดค้ำยันที่สำคัญแห่งหนึ่ง หินประหลาดชนิดต่างๆ เกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย ภายใต้สายตางงงวยของทุกคน จ้านอู๋มิ่งหยิบหินอัคคีิญญาหลายก้อนออกมาจากอกเสื้อ
หินอัคคีิญญาเหล่านี้เป็หินที่ทุกคนขโมยจากหุบเขาค่างปีศาจนั่นเอง ถึงแม้จ้านอู๋มิ่ง้าเพียงหนึ่งในสี่ แต่เนื่องเพราะจ้านอู๋มิ่งไม่ได้ขอแบ่งแร่กลีบหินคิงคอง เหยียนอี้จึงแบ่งหินอัคคีิญญาออกครึ่งหนึ่งมอบให้จ้านอู๋มิ่ง หินอัคคีิญญาเพลิงจำนวนร่วมสองร้อยก้อน ตอนนี้จ้านอู๋มิ่งเรียกได้ว่าเป็เศรษฐีร่ำรวยมั่งคั่งแล้ว
“พวกเ้าผู้ใดที่ฝึกฝนพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้เยือกเย็นบ้าง?” จ้านอู๋มิ่งถาม
ทุกคนต่างพากันส่ายหน้า ไม่มีผู้ใดบ่มเพาะพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ที่ผันแปรคุณสมบัติของน้ำประเภทนี้ จ้านอู๋มิ่งทอดถอนใจอย่างอับจนปัญญากล่าวว่า “ดูแล้วได้แต่ต้องเสียสละเม็ดโอสถ์เยือกแข็งที่ข้ารวบรวมมาอย่างยากลำบากสักหลายเม็ดแล้ว พวกเ้าทุกคนถอยออกไปไกลหน่อย เหยียนอี้เ้ารั้งอยู่”
“เ้าคิดใช้ความเย็นและร้อนปะทะกัน จุดชนวนให้หินอัคคีิญญาเกิดการะเิ?” ดวงตาเหยียนควนเปล่งประกายประหลาดใจขึ้นวูบ ไฉนเมื่อครู่เขาจึงคิดไม่ถึง หินอัคคีิญญาเป็ผลึกที่เกิดจากการควบแน่นของคุณสมบัติไฟที่ร้อนสุดขั้ว หากมีพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้เยือกแข็งไปปะทะกระตุ้นศิลาอัคคีิญญา ทำให้โครงสร้างของผลึกหินอัคคีิญญาเปลี่ยนแปลงกะทันหัน จะเกิดการแตกตัวะเิขึ้นทันทีอย่างง่ายดาย
“มิผิด ขอให้พวกท่านเฝ้าทางออกไว้ ป้องกันมิให้นายท่านสองของตระกูลเจิ้งหลบหนีไป เขาสามารถหลบรอดภายใต้กรงเล็บของนกอินทรีสายฟ้า หากให้โอกาส พวกเราจะรั้งไว้ยากยิ่งนัก ดังนั้นพวกเ้าต้องคอยระวังให้ดี” จ้านอู๋มิ่งพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“ไม่มีปัญหา เื่นี้มอบให้พวกเรา” เหยียนควนพูดด้วยความเคารพให้เกียรติ ตระกูลเจิ้งและตระกูลหลิ่วกล่าวได้ว่าเหมือนน้ำกับไฟ หากมีโอกาสกำจัดชนชั้นสูงของตระกูลเจิ้ง พวกเขาก็ไร้ความปรานีใดๆ เช่นเดียวกัน หากตระกูลเจิ้งมีโอกาส ก็จะทำลายล้างตระกูลหลิ่วอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าเช่นกัน
“ข้าอยากชมดู…” หลิ่วหว่านอวี๋้าดูว่าหินอัคคีิญญาะเิเป็อย่างไร
“เมื่อสถานที่นี้ะเิขึ้น น้ำในทะเลสาบสาดกระหน่ำลงมา เหยียนอี้ดูแลข้าคนเดียวก็ยากอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ดูแลสองคนเลย อีกทั้งเศษหินแตกกระจัดกระจายปลิวว่อน หากบังเอิญมีสักชิ้นหนึ่งหลงมา โดนใบหน้าของเ้าทำให้เป็รอยแผลขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ ถ้าทำให้เสียโฉมขึ้นมาแล้ว ผู้ใดยัง้าตกแต่งกับเ้าอีกบ้าง?” จ้านอู๋มิ่งพูดขู่ให้นางกลัว
“นี่…ฮึ ห้ามดูก็ห้ามดูสิ ไยต้องทำให้กลัวด้วย!” หลิ่วหว่านอวี๋เห็นการแสดงออกของจ้านอู๋มิ่ง นางทราบว่าจ้านอู๋มิ่งมิ้าให้นางอยู่ด้านข้าง ทั้งที่ทราบว่าอีกฝ่ายกำลังขู่ให้ตนกลัว แต่มันเกี่ยวกับรูปโฉมของตน ยังคงมิกล้าเสี่ยงอันตราย ได้แต่ถอยออกมา
จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว ยกเว้นคนที่ตนมีอำนาจควบคุมได้อย่างเด็ดขาดแล้ว เขามิ้าให้ผู้ใดทราบว่าตนสามารถฝึกฝนพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ได้แล้ว ยิ่งมิ้าให้ผู้อื่นทราบว่าสิ่งที่ตนฝึกปรือบ่มเพาะคือคัมภีร์ "เคล็ดวิชาจักรพรรดิเหมันต์” ดังนั้นจึงจำเป็ต้องกันเหยียนควนและหลิ่วหว่านอวี๋กับคนอื่นๆ ออกไป สำหรับเม็ดโอสถ์เยือกแข็งอะไรนั่น ผีสางจึงจะทราบมันคือสิ่งใด
รอจนทุกคนถอยออกไปแล้ว จ้านอู๋มิ่งสั่งว่า “อีกสักครู่ถ้าหน้าผาะเิขึ้น เ้าปกปิดเื่ของข้าและพาข้าถอนตัวจากที่นี่ ข้าไม่้าให้พวกเขาทราบรายละเอียดเกี่ยวกับข้า”
“ผู้น้อยเข้าใจ” เหยียนอี้พยักหน้า จ้านอู๋มิ่งแสดงออกว่าตนไร้พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ต่อหน้าคนนอกตลอดมา ซึ่งความจริงเขาก็ไม่สามารถตรวจพบคลื่นพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ใดๆ บนร่างจ้านอู๋มิ่งเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งนัก ไม่ทราบว่าจ้านอู๋มิ่งฝึกฌานบ่มเพาะทักษะการต่อสู้ประเภทใดอยู่ ถึงกับสามารถซ่อนเร้นคลื่นพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ได้ แต่เขาทราบอย่างจริงแท้แน่นอนว่า แม้พลังบ่มเพาะจ้านอู๋มิ่งจะเป็เพียงปรมาจารย์นักยุทธ์เท่านั้น แต่ก็เพียงพอจะรับมือการโจมตีของราชันาหนึ่งดาว นี่คือสิ่งที่เขาได้ประสบมากับตนเองแล้ว
จ้านอู๋มิ่งถือหินอัคคีิญญาไว้ ค่อยๆ อัดพลังเย็นเยือกสุดขั้วในร่างกายเข้าสู่หินอัคคีิญญา พลังิญญาแห่งไฟในหินอัคคีิญญาพบกับพลังเย็นเยือกสุดขั้ว กลายเป็ปั่นป่วนคลุ้มคลั่งขึ้นมา ก่อนที่ศิลาอัคคีิญญาจะไม่เสถียรมากยิ่งขึ้น จ้านอู๋มิ่งหยุดอัดพลังเย็นเยือกลง นำศิลาอัคคีิญญาทั้งห้าก้อนที่อัดพลังเย็นเยือกสุดขั้วเข้าไปแล้วนี้ แยกย้ายใส่เข้าไปในถ้ำหินทั้งห้าแห่ง แล้วจึงถอยห่างออกมาหลายวา แล้วพลันแผ่พุ่งพลังเย็นเยือกออก พุ่งกระแทกใส่กำแพงภูผาเหมือนกระแสน้ำหลาก พลังเย็นเยือกสุดขั้วทะลวงลึกเข้าไปในถ้ำที่เจาะตามแนวกำแพงหิน ัักับหินอัคคีิญญาในถ้ำ
“บูมมม…บูมมม…บูมมม…” เสียงดังสนั่นหวั่นไหวห้าครั้งดังขึ้นเกือบพร้อมกัน พลังจิติญญาะเิขึ้นอย่างคลุ้มคลั่งรุนแรงภายในกำแพงภูผา ชั่วขณะหนึ่ง พลังการทำลายล้างอันรุนแรงทำให้ทั่วทั้งหุบเขาสั่นะเืขึ้นมา
“ไป!” จ้านอู๋มิ่งพูดเบาๆ คำหนึ่ง เหยียนอี้ตั้งสติคืนมาหลังจากตื่นตระหนก ่เวลาพลังเย็นเยือกสุดขั้วะเิจากร่างจ้านอู๋มิ่ง เขาเป็ผู้อยู่ใกล้จ้านอู๋มิ่งมากที่สุด รู้สึกว่าแม้กระทั่งจิติญญาก็แทบจะถูกผนึกเยือกแข็ง นี่คือพลังเย็นเยือกอะไรกัน…สีหน้าเหยียนอี้ซีดเผือด หากนี่คือพลังแท้จริงของจ้านอู๋มิ่ง แม้การบ่มเพาะจะเป็เพียงระดับปรมาจารย์นักยุทธ์เท่านั้น ก็เพียงพอที่จะสังหารตนอย่างง่ายดาย นี่คือการสั่นสะท้านที่มาจากจิติญญา เขาคาดเดาระดับขอบเขตทักษะการต่อสู้ของจ้านอู๋มิ่ง อย่างน้อยก็ต้องเป็ทักษะการต่อสู้ระดับฟ้า
ร่างของจ้านอู๋มิ่งและเหยียนอี้บินจากข้างล่างขึ้นไปบนหน้าผาด้านข้างเหมือนวิหคก็มิปาน และยามนี้เอง หน้าผาที่ถูกทำลายล้างด้วยพลังจิติญญาได้พังถล่มลงจากข้างล่าง ลุกลามขึ้น้าดุจเปื่อยยุ่ยพังทลายลงมาก็ปาน
“บูมมม…” เศษซากหินชิ้นเล็กๆ กระจัดกระจายปลิวว่อน คลื่นน้ำทะเลสาบสีเขียวมรกตแผดเสียงคำรามลั่นพลางเทกระหน่ำใส่หุบเขาผ่านกองเศษซากหินที่ถล่ม ที่ไกลๆ ทุกคนในตระกูลหลิ่วตะลึงจนปากอ้าตาค้างในอานุภาพสุดยิ่งใหญ่ปานฟ้าดินนี้ สิ่งใดที่ขวางพลังคลื่นมหึมาล้วนถูกม้วนพัดพาไป ซากหน้าผาที่พังทลายถูกคลื่นซัดกระหน่ำพัดพาเป็กองหน้า คำรามลั่นเหมือนสัตว์ประหลาดทำลายทุกอย่างในหุบเขาจนสิ้น
สั่นะเืเลือนลั่นทั่วทั้งหน้าผาขาด ทุกคนได้ยินเสียงคำรามโกรธเคืองเสียงหนึ่งจากหน้าผา เงาร่างทุลักทุเลสายหนึ่งทะยานออกมาจากรอยแยกของูเา ก็คือเจิ้งหย่งฟูนั่นเอง
ภายใต้พลังอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของภูผาถล่มแผ่นดินทลาย เจิ้งหยุ่งฟู่ดูเล็กจ้อยไปถนัดตา เขาได้รับาเ็สาหัสจากสัตว์อสูรราชันวานร และการโจมตีของนกอินทรีสายฟ้า อีกทั้งวิ่งหนีสุดชีวิตจนสูญเสียพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ไปมากมาย เวลานี้แม้แต่ยอดยุทธ์ระดับหนึ่งดาว ก็เพียงพอที่จะฆ่าแล้ว หากมิใช่เพราะลักษณะเฉพาะตัวของหน้าผาขาดแห่งนี้ มันคงหนีไม่พ้นกรงเล็บของนกอินทรีสายฟ้าอย่างแน่นอน
จ้านอู๋มิ่งและคนอื่นๆ มาถึงหน้าผาขาดแห่งนี้ เขาก็รู้ตัวแล้ว แต่ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของหน้าผาแห่งนี้ซับซ้อนยิ่ง เขาคาดว่าคนกลุ่มนี้จะต้องครั่นคร้ามต่อพลังบารมีที่หลงเหลืออยู่ ต่อให้เข้ามาสำรวจก็ยากจะค้นพบตนเองที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในนั้น เพียงแต่คาดไม่ถึงจ้านอู๋มิ่งผู้นี้มิอาจใช้เหตุผลธรรมดามาคิดคำนวณ กลับใช้แผนพิฆาตดับสูญ ผันน้ำจากทะเลสาบลงมาท่วมหุบเขา
คลื่นั์กระหน่ำมาพร้อมหินภูผา ครู่เดียวก็ถึงสถานที่ซ่อนตัวของเจิ้งหย่งฟูแล้ว
เจิ้งหย่งฟูคำรามโกรธเคืองและพยายามปีนป่ายขึ้นที่สูง ยามนี้พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ใช้จนแทบหมดสิ้นแล้ว ราชันาสามดาวที่น่าสมเพชเวทนาผู้หนึ่ง ยามนี้ดูเหมือนคนธรรมดา ใช้มือและเท้าปีนป่ายหนีเอาชีวิตรอด พวกเหยียนควนดูจนปากอ้าตาค้าง นี่ยังใช่นายน้อยรองที่ตอนแรกกล้าหาญกระฉับกระเฉงผู้นั้นหรือ? นี่ยังใช่นายท่านสองของตระกูลเจิ้งที่โบกมือก็ทำให้คู่ต่อสู้เสียชีวิตผู้นั้นหรือ? นี่ยังใช่ราชันาสามดาวที่เย่อหยิ่งถือว่าตนเองเก่งที่สุดผู้นั้นหรือ? พวกเหยียนควนถึงกับได้ยินเสียงสะอื้นไห้อยู่ในเสียงะโของเจิ้งหย่งฟู
“ท่านลุงควน เขากำลังร้องขอความช่วยเหลือ” หลิ่วหว่านอวี๋พูดอย่างขุ่นเคือง ในแววตามีความเมตตาสงสาร
เหยียนควนส่ายหน้า ตระกูลเจิ้งและตระกูลหลิ่วอยู่ร่วมกันไม่ได้ กลายเป็ทางตันที่มิสามารถพลิกผันย้อนกลับแล้ว ถึงแม้เขาจะสามารถช่วยเจิ้งหย่งฟูได้ก็ตาม แต่พวกเขาสามารถปล่อยให้เจิ้งหย่งฟูหนีไปได้หรือ จ้านอู๋มิ่งจะเห็นด้วยหรือ
จ้านอู๋มิ่งจ้องมองเจิ้งหย่งฟูที่กำลังดิ้นรนสุดชีวิตอย่างเ็า ถอนหายใจยาวๆ คราหนึ่ง ชาติภพที่แล้ว เป็เพราะเจิ้งหย่งฟู หลิ่วหว่านอวี๋จึงต้องสิ้นชีวิตภายในอ้อมแขนตน ชาติภพนี้เขากลับทำให้เจิ้งหย่งฟูตายต่อหน้าหลิ่วหว่านอวี๋ ในเมื่อเจิ้งหย่งฟูฆ่าหลิ่วหว่านอวี๋ในชาติภพก่อนหน้า ชะตากรรมระหว่างทั้งสองจะต้องมีความพัวพันเป็พิเศษอย่างแน่นอน ตอนนี้โชคชะตามีการพลิกผันแล้ว บางทีมันอาจจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของหลิ่วหว่านอวี๋ก็ได้ เติมเต็มชะตาชีวิตนางในส่วนที่มีข้อบกพร่อง ดังนั้นจ้านอู๋มิ่งมิได้ปล่อยให้เจิ้งหย่งฟูตายภายใต้พลังคลื่นซัดกระหน่ำ เมื่อเจิ้งหย่งฟูถูกก้อนหินใหญ่กระแทกกระเด็นตกลงจากหน้าผา เหยียนอี้ก็มาถึงข้างกาย พาขึ้นไปข้างบนตรงยอดหน้าผา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้