ผู้ประลองเ่าั้ของอารามเสวียนอู้เงียบงันกันหมด รอบด้านเงียบกริบไร้สรรพสำเนียงใดๆ
ไม่มีใครสงสัยความจริงในคำพูดประโยคนี้ของเนี่ยเทียน
หากเนี่ยเทียนไม่ได้จับตัวเจี่ยนเสวียน ไม่ได้แสดงฝีมือที่โเี้ออกมา บางทีพวกเขาอาจจะรู้สึกว่าเนี่ยเทียนจงใจกล่าวข่มขู่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกพวกเขาจับตัว
ทว่าตอนนี้เจิ้งปินแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าจะปล่อยเนี่ยเทียนไปก่อนชั่วคราว รอจนกว่าคนอื่นๆ ของหอหลิงเป่ามาถึงแล้วค่อยลงมือ
นี่หมายความว่า ตอนนี้เนี่ยเทียนปลอดภัยอย่างถึงที่สุด ไม่จำเป็ต้องกังวลกับสภาวะที่เป็อยู่เลยแม้แต่นิด
เนี่ยเทียนที่อยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่มีความจำเป็ใดต้องพูดจาข่มขวัญให้คนอื่นใ
“สำนักภูตผี สำนักโลหิต...”
เด็กหนุ่มเด็กสาวเ่าั้พอได้ยินว่าสำนักภูตผีและสำนักโลหิตเข้ามาในโลกมายามรกต ต่างก็มีสีหน้าหดหู่ราวกับว่าไร้ที่พึ่งอย่างเห็นได้ชัด
สำนักภูตผีและสำนักโลหิตดุจดั่งูเาั์สองลูกหนักนับแสนชั่งซึ่งกดทับลงมาบนหน้าอกของพวกเขา ความกดดันที่หนักอึ้งเช่นนั้น ทำให้พวกเขาแทบจะหายใจไม่ออก
โดยเฉพาะยังได้รู้จากปากเนี่ยเทียนด้วยว่ากองทัพของหุบเขาเทาพ่ายแพ้ย่อยยับกันไปหมดแล้ว
หยวนเฟิงแห่งหุบเขาเทาคือบุคคลที่มีชื่อเสียงว่าต่อกรด้วยยากที่สุด พละกำลังของหุบเขาเทาที่เข้ามาในโลกมายามรกต เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วมีแต่จะแข็งแกร่งไม่ด้อยกว่าทั้งนั้น!
แม้แต่หุบเขาเทาก็ยังจบเห่เช่นนี้ หากพวกเขาไม่ได้โชคดี ไม่พบกับลูกศิษย์ของสำนักภูตผีและสำนักโลหิตคนใดในเขตูเาไฟ ถ้าเช่นนั้นพวกเขา... จะยังเหลือกี่คนที่มีชีวิตรอดอยู่จนถึงตอนนีเล่า?
พวกเขาไม่กล้าคิดต่อไปอีก
ผ่านไปครู่ใหญ่ เจิ้งปินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง หลุดพ้นจากความตื่นตะลึงเป็คนแรก เขาชี้ไปที่หลีสี่ เอ่ยสั่งความ “ไปเอาเนื้อสัตว์วิเศษมาให้เขากินหน่อย”
คราวนี้หลีสี่ไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างไร มาหยุดอยู่ตรงจุดที่พวกเขารวมตัวกันก่อนหน้านี้อย่างเงียบเชียบ หยิบเนื้อสัตว์วิเศษที่ย่างเหลืองกรอบแล้วขึ้นมาหนึ่งชิ้นใหญ่ เดินมาทางเนี่ยเทียนด้วยสีหน้าซับซ้อนแล้วส่งเนื้อสัตว์วิเศษชิ้นใหญ่นั้นให้กับเขา
เนี่ยเทียนพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยขอบคุณ รับมาได้ก็ฉีกกระชากเนื้อสัตว์วิเศษ สวาปามเข้าไปคำใหญ่
ผู้ประลองทั้งกลุ่มของอารามเสวียนอู้ต่างก็มองเขาเขมือบกินอาหาร ไม่มีใครเอ่ยปากพูด บรรยากาศเริ่มเคร่งเครียดผิดปกติ
พวกเขาห้อมล้อมอยู่รอบกายเนี่ยเทียนโดยไม่รู้ตัว รอคอยอย่างเงียบๆ
หญิงสาวหน้าแฉล้มที่สังเกตเห็นเนี่ยเทียนก่อนใครผู้นั้นมองกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเขา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบเอาเสื้อสีขาวที่วางอยู่ข้างหมาป่าโลกันตร์ขึ้นมาโยนให้เนี่ยเทียนเบาๆ
เนื้อสัตว์วิเศษสิบกว่าจินถูกเนี่ยเทียนจัดการหมดลงอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ผู้ประลองของอารามเสวียนอู้ใ เขาจึงไม่ได้เรียกร้องขอเนื้อสัตว์วิเศษต่อ
หยิบเอาเสื้อขาวที่อยู่บนพื้นตัวนั้นขึ้นมา สวมเข้าไปด้วยท่าทางสงบ จากนั้นถึงได้พูดว่า “พวกเ้าอยากรู้อะไร?”
“ทุกอย่างที่เ้าประสบมา!” เจิ้งปินกล่าวเสียงหนัก
“ได้” เนี่ยเทียนพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ปกปิดสิ่งใด เล่าเื่การต่อสู้เล็กๆ หลายรอบเมื่อครั้งที่พวกเขาพบกับลูกศิษย์ของสำนักภูตผีและสำนักโลหิตอย่างละเอียด
ส่วนการตายของหยวนเฟิงและอวิ๋นซง แน่นอนว่าเขาย่อมผลักให้กับอวี๋ถงแห่งสำนักโลหิต
เขาเชื่อว่าต่อให้อวี๋ถงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เนื่องจากตัวตนศิษย์สำนักโลหิตของอวี๋ถง ต่อให้อวี๋ถงบอกว่าเขาเป็คนฆ่าหยวนเฟิงและอวิ๋นซง คนของอารามเสวียนอู้ก็ไม่มีทางเชื่อนางเด็ดขาด
ข้อหาชั่วช้าอย่างสังหารหยวนเฟิงและอวิ๋นซงนี้ ต่อให้เขายืนกรานโยนความผิดให้แก่อวี๋ถง เขารู้สึกว่าอวี๋ถงเองก็ไม่มีทางปฏิเสธ
สำหรับเขาแล้ว หากเื่ที่ฆ่าหยวนเฟิงและอวิ๋นซงแพร่ออกไป เขาย่อมต้องเผชิญกับไฟโทสะจากสี่สำนักอย่างแน่นอน
ทว่าอวี๋ถงเข้ามาในโลกมายามรกตก็เพื่อฆ่าพวกหยวนเฟิง สำหรับเขาอาจเป็เื่อันตราย แต่สำหรับอวี๋ถงแล้วกลับเป็เื่ที่มีเกียรติยิ่ง
---อวี๋ถงน่าจะยินดีที่จะเป็แพะรับบาป
“เ้าสังหารลูกศิษย์คนหนึ่งของสำนักภูตผี แถมยังหนีพ้นเงื้อมมือของอวี๋ถงแห่งสำนักโลหิตด้วย? อวี๋ถงผู้นั้น... ฝ่าทะลุขั้นท้าย์ในโลกมายามรกตรึ?”
หลังจากที่เขาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วหนึ่งรอบ เด็กสาวใบหน้ารูปไข่ก็จ้องมองเขาด้วยความสงสัย คล้ายไม่เชื่อถือ
“เ้าคุยโวกระมัง...” หลีสี่เองก็พึมพำเบาๆ หนึ่งประโยค
ผู้ประลองคนอื่นของอารามเสวียนอู้ต่างก็ทำท่าคล้ายสงสัยในความจริงของคำพูดเขา รู้สึกว่าเขาพูดเอาความดีเข้าตัว
ในสายตาของพวกเขา อวี๋ถงที่ฝ่าทะลุขั้นท้าย์ได้ ในโลกมายามรกตแห่งนี้แน่นอนว่าย่อมคือการดำรงอยู่ของผู้ที่ชนะ
แม้แต่หยวนเฟิงยังถูกอวี๋ถงฆ่า แค่เนี่ยเทียนที่ไม่มีชื่อเสียงใดๆ จะรอดมาจากน้ำมือของอวี๋ถงได้อย่างไร?
พวกเขาย่อมไม่มีใครคาดถึงว่า เนี่ยเทียนไม่เพียงแต่หลุดพ้นจากการไล่ฆ่าของอวี๋ถง ทั้งยังทำให้อวี๋ถงาเ็หนักถึงสองครั้งด้วย
“อ้อ เมื่อครู่นี้ข้าอาจจะพูดได้ไม่ชัดเจนเลยทำให้พวกเ้าเข้าใจผิด” เนี่ยเทียนสีหน้าเรียบเฉย กล่าวนิ่งๆ “หลังจากฆ่าหยวนเฟิงและอวิ๋นซงแล้ว อวี๋ถงแห่งสำนักโลหิตผู้นั้นก็ได้รับาเ็เหมือนกัน สูญเสียพละกำลังมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ข้าถึงได้โชคดีหลุดพ้นมาจากการไล่ฆ่าของนางได้ หนีหัวซุกหัวซุนมาถึงที่แห่งนี้”
ที่เขา้ามากที่สุดก็คือทำให้ทุกคนของอารามเสวียนอู้เชื่อว่าอวี๋ถงเป็คนฆ่าหยวนเฟิงและอวิ๋นซง
ในเมื่อคำพูดของเขาครั้งแรก คนของอารามเสวียนอู้ไม่เชื่อ เขาจึงมอบคำอธิบายที่ฟังดูแล้วยิ่งสมเหตุสมผลมากกว่าเดิม
เป็ดังคาด คราวนี้ผู้ประลองอารามเสวียนอู้ที่ได้ยินคำอธิบายใหม่ของเขาแสดงออกว่าเชื่ออย่างชัดเจน
พวกเขาเองก็คิดว่าต้องเกิดปัญหาอะไรกับตัวของอวี๋ถงอย่างแน่นอน มิฉะนั้นด้วยความสามารถขอบเขตท้าย์ของอวี๋ถง นางย่อมไม่มีทางปล่อยให้เนี่ยเทียนมีชีวิตรอดกลับมาได้เด็ดขาด
“ในเมื่ออวี๋ถงาเ็ สูญเสียพลังไปเยอะ เ้าสามารถมีชีวิตรอดมาจากการไล่ฆ่าของนางก็มากพอที่จะพิสูจน์ได้ถึงความไม่ธรรมดาของเ้า” เจิ้งปินสีหน้าเคร่งขรึม หันหน้ามองไปยังคนอื่นๆ ของอารามเสวียนอู้ กล่าว “อวี๋ถงแห่งสำนักโลหิต พวกเ้าหลายคนไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของนาง ไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้น่ากลัวมากแค่ไหน”
“พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน อวี๋ถงผู้นั้น... ต่อให้ยังอยู่ในขอบเขตหลอมลมปราณ ข้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”
“หากนางเหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตท้าย์จริงๆ หากข้าต่อสู้กับนาง อย่าพูดถึงเื่เอาชนะได้เลย เกรงว่าแม้แต่หนีข้าก็คงหนีไม่พ้น”
เจิ้งปินสีหน้าจริงจัง เขาไม่ได้โอ้อวดความสามารถของตัวเองต่อหน้าทุกคน แต่พูดความรู้สึกที่แท้จริงในใจของเขาออกมา
“พี่ปิน ถ้า... ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะยังมีชีวิตรอดอยู่อีกหรือ?” หลีสี่หน้าม่อยคอตก
“จะทำอย่างไรดี? สำนักภูตผีและสำนักโลหิตร้ายกาจขนาดนั้น บางทีตอนนี้พวกเขาอาจจะจับตามองพวกเราอยู่ และอาจปรากฏตัวขึ้นได้ทุกเมื่อ!” เด็กสาวใบหน้ารูปไข่สติแตกอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่นางพูดยังหันหน้าเหลียวซ้ายแลขวาไปด้วย คล้ายว่าอีกเดี๋ยวคนของสำนักภูตผีและสำนักโลหิตจะปรากฏตัวขึ้นจริงๆ
“คอยดูกันไปทีละก้าวก็แล้วกัน ข้าหวังเพียงว่าอันอิ่งและเจียงหลิงจูจะยังมีชีวิตอยู่ หวังว่าพวกนางจะรีบตามมาถึงโดยเร็วที่สุด” เจิ้งปินเองก็ไร้ความมั่นใจเหมือนกัน
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน เนี่ยเทียนเริ่มค่อยๆ ััได้ถึงกระแสอบอุ่นมากมายหลายเส้นที่เกิดขึ้นในลำไส้และกระเพาะอาหาร
เขารู้ว่าเนื้อสัตว์วิเศษที่เพิ่งกินเข้าไปเ่าั้ หลังจากได้ผ่านการย่อยจึงค่อยๆ แผ่พลังงานออกมา
“ข้าเร่งรุดเดินทางสุดกำลังมานาน ตอนนี้เหนื่อยล้าอย่างมาก จำเป็ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว จะไม่พูดมากกับพวกเ้าแล้วล่ะ” เขากล่าวกับเจิ้งปินหนึ่งประโยคก็เตรียมหลับตา ตั้งใจจะใช้คาถาหลอมลมปราณมาชักนำพลังงานเ่าั้เพื่อขยายมหาสมุทริญญา หวังว่าจะเพิ่มพลังงานให้ได้มากที่สุด
“อืม ้าอะไรก็บอกพวกเรา พวกเราจะพยายามหามาให้” เจิ้งปินพยักหน้า
“หากไม่ถือสา ขอเนื้อสัตว์วิเศษให้ข้าอีกหน่อยจะได้หรือไม่? ข้าหิวมานานมากๆ แล้ว ้าอาหารที่มากกว่าเดิม” เนี่ยเทียนรีบตอบรับทันที
“ไม่มีปัญหา” เจิ้งปินตอบรับอย่างว่องไวพอกัน สั่งการหลีสี่อีกครั้ง ให้เขาเอาเนื้อวิเศษที่มากกว่าเดิมมาให้เนี่ยเทียน
เนี่ยเทียนสวาปามอีกครั้ง หลังจากกินเสร็จก็กล่าวขอบคุณเจิ้งปินแล้วหลับตาฝึกบำเพ็ญตบะทันที
หลายวันหลังจากนั้น เขาแทบจะไม่ได้ลุกออกไปจากที่เดิม ทุกครั้งที่บำเพ็ญตบะเสร็จก็จะขออาหารจากอารามเสวียนอู้ทันใด
รอจนเขมือบกลืนเนื้อสัตว์วิเศษปริมาณมากเข้าไปหมดแล้ว เขาก็ไม่พูดมากอีก รีบหลับตาบำเพ็ญตบะ ไม่สนทนาปราศรัยใดๆ กับผู้ประลองของอารามเสวียนอู้
แรกเริ่มพวกเจิ้งปินจากอารามเสวียนอู้นึกว่าเขาหิวโหยอย่างถึงที่สุด ถึงได้กินมากหน่อย
ภายหลังเมื่อปริมาณการขอเนื้อสัตว์วิเศษของเนี่ยเทียนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาถึงได้เริ่มตระหนักถึงเื่หนึ่ง---เดิมทีปริมาณการกินของเนี่ยเทียนก็น่าตะลึงมากอยู่แล้ว!
พวกเขาเริ่มแอบเรียกเนี่ยเทียนในกลุ่มกันเองว่า “ถังข้าว” แล้ว
ทว่า เนื่องจากเนื้อสัตว์วิเศษของพวกเขามีมากพอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเนี่ยเทียน ทุกครั้งล้วนทำตามข้อเรียกร้องที่เนี่ยเทียนเสนอ แต่ละครั้งจะต้องมอบเนื้อสัตว์วิเศษในปริมาณเกือบสิบคนกินให้กับเนี่ยเทียน
เนี่ยเทียนที่รู้ดีว่าอวี๋ถงย่อมไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ในใจจึงรักษาความรู้สึกตึงเครียดเอาไว้ตลอดเวลา ตอนนี้ในเมื่อมีอารามเสวียนอู้เป็ผู้พิทักษ์ให้กับเขา แถมยังมีเนื้อสัตว์วิเศษที่มากพอให้กิน แน่นอนว่าเขาย่อมไม่พลาดโอกาสอันดีงามครั้งนี้ไป
เขายัดเนื้อสัตว์วิเศษเข้าไปในท้องไม่หยุดยั้ง พยายามใช้เนื้อสัตว์วิเศษเ่าั้มาขยายมหาสมุทริญญา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในวันหน้า
“น่าเสียดาย พลังงานที่เกิดจากเนื้อสัตว์วิเศษระดับหนึ่งน้อยไปหน่อย”
วันนี้ เมื่อเขาตื่นขึ้นจากการบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากก็สำรวจมหาสมุทริญญาของตัวเองทันที พบว่าเมื่อผ่านการบำเพ็ญตบะ่ที่ผ่านมา มหาสมุทริญญาของเขาขยายเพิ่มขึ้นมาแค่หนึ่งส่วนครึ่งเท่านั้น
พลังงานที่แฝงเร้นอยู่ในสัตว์วิเศษระดับสองมากกว่าสัตว์วิเศษระดับหนึ่งถึงเจ็ดเท่า ใช้สัตว์วิเศษระดับหนึ่งมาฝึกบำเพ็ญตบะ ความเร็วจึงช้ากว่าเจ็ดเท่าเช่นกัน
“หมาป่าโลกันตร์ก็เป็สัตว์วิเศษระดับสองเหมือนกัน ไม่รู้ว่าหลังจากที่พวกเขาฆ่าหมาป่าโลกันตร์แล้วได้พกเนื้อของมันติดตัวมาบ้างหรือไม่?” เนี่ยเทียนที่ไม่ค่อยพอใจระดับความเร็วในการบำเพ็ญตบะเท่าไหร่นัก อยู่ๆ ก็มองไปยังหัวของหมาป่าโลกันตร์
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากถาม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงผิดปกติ ไม่นานเขาก็มองเห็นเจียงหลิงจูและเนี่ยเสียนเผยกายขึ้นท่ามกลางกองหินระเกะระกะกองหนึ่ง
“ห้าวันแล้ว ในที่สุดก็มีคนมาแล้ว!” หลีสี่กล่าวอย่างตื่นเต้น
“เจียงหลิงจู!” เจิ้งปินตัวสั่นะเื
“เจิ้งปิน! พวกเ้าอยู่ที่นี่นี่เอง!” หลังจากที่เจียงหลิงจูเข้ามาใกล้ก็มองเห็นเจิ้งปินทันที นางเองก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน “ดีเหลือเกินแล้ว ยังนึกว่าพวกเราต้องตายแน่ๆ เสียอีก พวกเ้าอยู่ด้วยก็ดีแล้ว!”
นางเหมือนคนที่ว่ายน้ำไม่เป็แล้วมองเห็นความหวังที่จะมีชีวิตรอดกะหันทัน จึงฮึกเหิมขึ้นมาโดยพลัน
-----