สถานที่ใดที่หนึ่งที่ซึ่งเป็ตำหนักกว้างขวางโอ่โถ่ง รายล้อมไปด้วยกลุ่มบุรุษสามคนที่กำลังหันหน้าเข้าหากันด้วยการแสดงออกที่ถมึงทึงเคร่งขรึม เมื่อมองจากการตกแต่งและประดับประดาแล้ว สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างจะมีฐานะที่ดีพอสมควร ไม่ว่าจะเป็หยกลึกลับที่นำมาเป็โต๊ะและแจกันที่มีมูลค่าสูงต่างก็ตั้งเรียงรายอยู่ภายในห้องนี้ทั้งสิ้น
ปรากฏให้เห็นเงาเลือนรางของชายชรา ชายวัยกลางคนและชายหนุ่มอีกหนึ่งคนกำลังสนทนากันด้วยบรรยากาศอึมครึม
แต่จู่ๆกลับมีเสียงประตูเปิดออกอย่างเร่งรีบ พ่อบ้านร่างท้วมวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาก่อนจะรายงานต่อชายหนุ่มอาภรณ์สีทองด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่น "นะ-นายน้อย พี่น้องนักฆ่าทั้งสี่ได้ตกตายไปกันหมดแล้ว แต่มิอาจรู้ได้ว่าผู้ใดเป็คนสังหารพวกมัน"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มอาภรณ์สีทองเขวี้ยงถ้วยชาใส่พ่อบ้านด้วยอารมณ์ที่โกรธจัด "พวกขยะ! แค่สังหารชายหนุ่มไร้ประโยชน์แค่เพียงผู้เดียวยังมิอาจทำได้สำเร็จ ไสหัวออกไปซะ!"
"เพล้ง!"
ชายวัยกลางคนที่ซึ่งมัดผมเผ้าเกล้ามวยดุจดั่งสตรีที่มีรอยกรีดบนใบหน้าถอนหายใจพลางกล่าวในลักษณะโบกมือแก่พ่อบ้านผู้นั้น "เ้าไปพักผ่อนเถิด ไม่ว่าอย่างไรพี่น้องนักฆ่าทั้งสี่ก็ไม่มีวันที่จะปริปากบอกความจริงแก่ผู้ใด ฉะนั้นไม่ต้องเป็กังวลใจ พวกเรายังมีเวลามากพอที่จะสังหารเ้าเด็กเหลือนั่น"
พ่อบ้านร่างท้วมก้มหน้าลงอย่างนอบน้อมพร้อมทั้งถอยฝีเท้ากลับไปด้านหลังก่อนจะออกจากห้องไปด้วยความหวาดผวา
แต่แล้วชายหนุ่มในอาภรณ์สีทองกลับกล่าวคาดคั้นอย่างคับอกคับใจ "แต่ท่านพ่อ! เ้าไป๋เฉินขยะนั่นบังอาจแย่งชิงสตรีที่ข้าหมายปองไป จะให้ข้าทนดูอยู่อย่างนิ่งเฉยเช่นนี้ได้อย่างไร!?
ชายวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะตวาดด้วยสุ้มเสียงแข็งกร้าว "หุบปาก! ข้ารู้ทุกอย่างดีกว่าเ้า เพราะฉะนั้นต่อจากนี้มีเพียงแต่ต้องระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น"
ชายหนุ่มทำได้เพียงกัดฟันอย่างเกลียดชังและไม่สบอารมณ์
แต่หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งก้านธูป อารมณ์ที่ฉุนเฉียวของชายหนุ่มเริ่มเบาบางลง มันตัดสินใจเอ่ยถามชายวัยกลางคนด้วยความเคลือบแคลงใจ "ท่านพ่อ ท่านพอจะบอกกล่าวแก่ข้าได้หรือยังว่าเหตุใดท่านจึงกำหนดเป้าหมายไปที่เมืองเทียนหยุนและตระกูลไป๋อยู่เสมอๆ?"
ชายวัยกลางคนที่กำลังจิบชาเหล่หางตามองพลางเอ่ยถามย้ำด้วยรอยยิ้มลึกลับ "เ้า้าจะฟังจริงๆงั้นหรือ?"
"แน่นอน ไป๋เฉินเป็หนึ่งในเป้าหมายของข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็้ารู้ทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับมัน" ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยการแสดงที่จงเกลียดจงชัง
ชายวัยกลางคนในอาภรณ์สีทองยืนขึ้นด้วยการแสดงออกที่ยากลำบาก ั์ตามองออกไปนอกตำหนักอย่างเหม่อลอยทิศทางนั้นคือทิศใต้ที่ซึ่งเป็ที่ตั้งของเมืองเทียนหยุน มือทั้งสองไพล่ไปด้านหลังอย่างสุภาพ เสียงคล้อยของเขาก็ลอยมาตามสายลม "เหตุผลง่ายๆเพราะข้าหวาดกลัวสายเืของตระกูลไป๋..."
"เป็ไปได้อย่างไร!? ท่านพ่อเคยหวาดกลัวบุรุษใดบนทวีปนี้ด้วยงั้นหรือ?" ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยการแสดงออกที่หวาดหวั่น
ชายวัยกลางคนพยักหน้าในขณะั์ตาฉายแววเคร่งขรึม "เมื่อยี่สิบปีก่อนในยามที่เ้ายังไม่เกิด ตระกูลไป๋นั้นเป็ตระกูลที่มีความแข็งแกร่งเป็อันดับเก้าในเมืองเทียนหยุนหากจะกล่าวได้ว่าตระกูลไป๋เป็ดับรั้งท้ายเสียด้วยซ้ำ...แต่อยู่มาวันหนึ่งด้วยการลุกฮือของชายหนุ่มตระกูลไป๋ที่ไร้นามแต่มันกลับแสดงแสนยานุภาพอันโเี้ั้แ่อายุ 20 ปีจึงส่งผลให้หลายตระกูลในเมืองเทียนหยุนต่างก็ประจักษ์ในนามของชายหนุ่มผู้นั้นเป็ครั้งแรก...มันมีนามว่าไป๋หนานเทียน"
"และหลังจากนั้นอีกห้าปีต่อมาตระกูลไป๋ที่ซึ่งเป็ตระกูลอันดับเก้าก็กลับกลายเป็ตระกูลอันดับหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเทียนหยุน! แม้แต่ตระกูลหลิงที่ซึ่งเป็ตระกูลอันดับหนึ่งมาก่อนยังต้องศิโรราบแก่เขา...เ้าพอจะคาดเดาได้หรือไม่ว่าภายในระยะเวลาแค่ห้าปีตระกูลไป๋ที่ซึ่งเป็ตระกูลที่อ่อนแอที่สุดกลับกลายเป็ัผงาดขึ้นมาได้อย่างไร?"
เมื่อได้ยินคำถามลองใจจากชายวัยกลางคน ชายหนุ่มทำได้เพียงส่ายศีรษะด้วยสีหน้าชอบกล
ชายวัยกลางคนเพียงยิ้มเล็กยิ้มน้อย "ไม่ใช่แค่เ้า แต่ไม่มีผู้ใดจะคาดการณ์ได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะกลับกลายเป็บุคคลที่ไร้เทียมทานในประวัติศาสตร์ของเมืองเทียนหยุนได้อย่างไร...และบุคคลที่ข้าหวาดกลัวที่สุดก็คือบุรุษผู้นั้นไป๋หนานเทียน"
ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อแซ่นี้ชอบกล เขาจึงเอ่ยถามอย่างฉงน "ไป๋หนานเทียน...ท่านหมายถึงเทวทูตแห่งความตายใช่หรือไม่?"
ชายวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะหยักหน้าอย่างหนักหน่วง "ถูกต้อง นั่นคือไป๋หนานเทียนสมญานามเทวทูตแห่งความตายที่ซึ่งเป็บิดาผู้ล่วงลับของไป๋เฉิน"
ชายหนุ่มผงกศีรษะสะดับรับฟังอย่างใจจดใจจ่อด้วยแววตาอันสั่นไหวเปี่ยมไปด้วยระลอกคลื่น
ชายวัยกลางถอนหายใจหนึ่งคราก่อนจะเอ่ยต่อ "ไม่นานหลังจากนั้นชื่อเสียงของไป๋หนานเทียนเพิ่มพูนขึ้นทุกวี่วันและเขาก็ได้ไต่เต้าพัฒนาความแข็งแกร่งจนแซงหน้าตระกูลอันดับหก อันดับห้ามาเรื่อยๆจนถึงตระกูลฉินที่ซึ่งเป็อันดับสี่ แต่โชคยังดีที่ฉินเหยียนแห่งตระกูลฉินและไป๋หนานเทียนนั้นเป็มิตรสหายพี่น้องร่วมสาบานกันมาก่อน ฉะนั้นไป๋หนานเทียนจึงมิได้มีการครอบงำตระกูลฉินเพียงเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไว้..."
"ั้แ่นั้นเป็ต้นมาตระกูลฉินที่เป็เพียงตระกูลอันดับสี่กลับกลายมาเป็ตระกูลอันดับสองและอ่อนแอกว่าตระกูลไป๋เท่านั้น และด้วยการทำงานและความร่วมมือช่วยเหลือกันและกันส่งผลให้เมืองเทียนหยุนในขณะนั้นเป็เมืองที่ไร้เทียมทานที่กักขังปรมาจารย์ดุจัและเสือหมอบไว้เป็จำนวนมาก!"
"แต่ทว่าในเวลาต่อมาเมื่อตระกูลไป๋ใกล้จะล่มสลายไป ตระกูลฉินที่ซึ่งเป็ตระกูลอันดับสองกลับเข้ามาแทนที่ตระกูลไป๋อย่างหน้าไม่อาย"
"ส่วนไป๋หนานเทียนนั้นยังสามารถกำราบกองกำลังที่เป็ศัตรูของเมืองเทียนหยุนได้จนราบเป็หน้ากลอง จนบัดนี้ตระกูลฉินแทบจะไม่มีศัตรูใดๆหลงเหลืออยู่ด้วยความช่วยเหลือในลมหายใจสุดท้ายของไป๋หนานเทียน...แต่มันจะคาดเดาได้อย่างไรว่าตระกูลฉินที่มันไว้ใจที่สุดกลับกลายเป็หนอนบ่อนไส้ที่้าจะล้มล้างและเป็ที่หนึ่งแทนตระกูลไป๋! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ไป๋หนานเทียนช่างน่าสงสารยิ่งนัก"
ชายหนุ่มทำได้เพียงแค่ผงกศีรษะและจินตนาการภาพตาม
ชายวัยกลางคนรินชาลงถ้วยอีกคราก่อนกล่าวว่า "หากจะบอกว่ามันโง่เขลาเกินไปก็มิใช่ ไป๋หนานเทียนมิใช่คนโง่งมเพราะฉะนั้นมันคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว ถ้าหากมันสามารถคงเหลือตระกูลฉินไว้ได้ เมืองเทียนหยุนบ้านเกิดของมันก็จะไม่ตกอยู่ในอันตรายจากการรุกรานทั้งสามทิศทาง เพียงเพราะศัตรูทั้งหลายจากเมืองทั้งสามก็ซึ่งมีตระกูลไป๋เท่านั้นที่เป็ศัตรูเพียงเพราะหวาดกลัวในพลานุภาพของไป๋หนานเทียน"
"เพราะฉะนั้นไม่มีผู้ใด้ารอจนกว่าไป๋หนานเทียนจะกลับกลายเป็ผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เป็อยู่และเลือกที่จะร่วมมือกันทำลายล้างตระกูลไป๋ในครานั้น แต่ก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัดศัตรูทั้งหมดของไป๋หนานเทียนทั้งหมดถูกสังหารหมู่โดยไป๋หนานเทียนผู้เดียวและกระบี่เพียงหนึ่งเล่ม! กองกำลังนับหมื่นกลับต้องตกตายไป ฉากที่พบเห็นนั้นไม่ต่างจากนรกบนดิน! เหตุการณ์ในครั้งนั้นคือตำนานแห่งเมืองเทียนหยุนที่ซึ่งมีชื่อว่ายุทธการัเขมือบ!"
สีหน้าของชายหนุ่มที่ได้ยินได้ฟังแปรเปลี่ยนเป็สีซีดขาว "ท่านจะบอกว่าไป๋หนานเทียนเพียงผู้เดียว...สามารถสังหารกองกำลังนับหมื่นได้จริงๆหรือ!?"
ยุทธการเช่นนี้ป็นสิ่งที่แม้แต่พระเ้าก็ยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ บุรุษผู้หนึ่งเผชิญหน้ากับกองกำลังนักรบนับหมื่น! ไม่ว่าจะเล่าตำนานนี้ในที่แห่งใดก็จะมีผู้คนส่งเสียงโห่ร้องก่นด่าว่าโป้ปดเป็แน่ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นามของไป๋หนานเทียนที่เลื่องชื่อลือชาไปทั่วทั้งทวีป!
"ถูกต้อง นั่นคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของไป๋หนานเทียน" ชายวัยกลางคนผงกศีรษะยืนยัน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย "ยุทธการในครานั้นเป็ที่ตรึงตราตรึงใจของเหล่าประชาชนในเมืองเทียนหยุนมาโดยตลอดว่าเขาเป็วีรบุรุษผู้หนึ่งที่ซึ่งทำให้เมืองเทียนหยุนสามารถเชิดหน้าชูตาและมีความมั่นคงมาจนถึงบัดนี้ แต่ทว่ากลับมีชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มต่างก็สาปแช่งตระกูลไป๋ที่ทำให้เมืองเทียนหยุนต้องตกเป็เป้าหมายจากอีกสามเมือง"
"โดยหารู้ไม่ว่าไป๋หนานเทียนมิได้มีความทะเยอะทะยานที่จะครอบงำเมืองทั้งสี่แม้แต่น้อยนิด เขาเพียงแค่้ากู้คืนศักดิ์ศรีของตระกูลไป๋กลับคืนมาหลังจากถูกตระกูลหลิงกดทับและรังแกมานานกว่าสามสิบปีเท่านั้น"
"แต่เป็เพราะความแข็งแกร่งที่มากล้นจนเกินไปจึงส่งผลให้เหล่าผู้นำอีกสามเมืองรวมถึงข้าก็มิอาจวางใจให้มันเติบโตไปมากกว่านี้ได้" ชายวัยกลางคนเพียงส่ายศีรษะด้วยสีหน้าขมขื่น
ชายหนุ่มอาภรณ์สีทองพอจะตริตรองถึงภาพรวมในครานั้นได้ แน่นอนบุคคลที่แข็งแกร่งเกินไปจะตกเป็เป้าหมายความสนใจของเมืองอื่นๆที่ซึ่ง้าคงความสมดุลไว้มิได้เมืองใดอยู่เหนือเมืองๆหนึ่ง เพราะฉะนั้นไป๋หนานเทียนคือก้างขวางคอที่ใหญ่ที่สุดที่จำต้องจำกัดก่อนที่จะเติบโตและแข็งแกร่งไปมากกว่านี้ และพวกเขากังวลไปก่อนกาลแล้วว่าไป๋หนานเทียน้าจะครองเมืองทั้งสี่ไว้ด้วยตัวของเขาเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้