ตอนที่ 5 ความลับในห้องครัว
กลิ่นหอมของแกงส้มและปลาทอดลอยอบอวลไปทั่วห้องครัวขนาดใหญ่ด้านหลังคฤหาสน์วรโชติ เป็เวลาหนึ่งทุ่มเศษ ซึ่งเป็เวลาพักผ่อนของเหล่าคนงานหลังจากตรากตรำทำงานมาทั้งวัน
ปานชีวาวางไม้กวาดอันสุดท้ายลงในตู้เก็บของ ร่างกายของเธอร้าวระบมไปทุกสัดส่วน ขาที่เคยเดินบนพรมหนานุ่มบัดนี้ปวดตุบๆ จากการเดินขึ้นลงบันไดนับสิบรอบ แขนข้างซ้ายที่มีรอยแดงเทือกจากการถูกน้ำข้าวต้มลวกเมื่อเช้าเริ่มบวมเป่งและแสบร้อนจนเธอต้องกัดฟันข่มความเจ็บ
"คุณน้ำตาล... มาทานข้าวกันค่ะ"
เสียงเรียกสดใสของ แจ่ม สาวใช้รุ่นราวคราวเดียวกันดังขึ้น แจ่มเป็เด็กสาวชาวบ้านซื่อๆ ที่ดูจะตื่นเต้นกับการมาของ คุณหนูตกอับ คนนี้เป็พิเศษ แม้จะได้รับคำสั่งห้ามปฏิบัติเหมือนแขก แต่แววตาของแจ่มก็เต็มไปด้วยความเห็นใจ
ปานชีวาหันไปมองวงข้าวที่ปูเสื่ออยู่บนพื้นหลังห้องครัว ป้าสมร ลุงชิดคนสวน และแจ่ม นั่งล้อมวงกันอยู่ "จะดีเหรอคะแจ่ม... ตาลนั่งตรงนี้ก็ได้" เธอชี้ไปที่มุมห้อง เจียมเนื้อเจียมตัวเพราะจำคำสั่งประกาศิตของภูผาได้ดี
"มาเถอะค่ะคุณหนู... เอ้ย คุณตาล" ป้าสมรกวักมือเรียก น้ำเสียงอารี "นายเขาไม่อยู่ เห็นว่าออกไปสังสรรค์กับคุณโรส กลับดึกๆ นู่นแหละ มานั่งกินด้วยกันเถอะ เป็คนงานเหมือนกันแล้วนี่ ไม่ต้องถือยศถือศักดิ์หรอก"
คำว่า คนงานเหมือนกัน แม้จะฟังดูเ็ป แต่ความอบอุ่นในน้ำเสียงนั้นกลับทำให้กำแพงในใจของปานชีวาทลายลง เธอค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งร่วมวง อาหารมื้อนี้ช่างแตกต่างจากภัตตาคารหรูที่เธอคุ้นเคย มีเพียงแกงส้มผักรวม น้ำพริกกะปิ และผักต้ม แต่มันกลับดูน่าทานอย่างประหลาดสำหรับคนที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาทั้งวันนอกจากน้ำเปล่า
"ทานเยอะๆ นะคะ จะได้มีแรงสู้รบปรบมือกับ... เอ้อ กับงานพรุ่งนี้" แจ่มรีบตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จานสังกะสีให้
"ขอบใจนะแจ่ม ขอบคุณป้าสมรกับลุงชิดด้วยนะคะที่เมตตาตาล" ปานชีวายกมือไหว้ น้ำตาซึมออกมา ลุงชิดมองแผลที่แขนเธอแล้วส่ายหน้า "ทายาหรือยังล่ะนั่น? ไอ้คุณโรสนี่ก็นะ... ร้ายกาจจริงๆ คนเราเคยเห็นหน้าค่าตากันแท้ๆ ทำกันได้ลงคอ" "ชู่! เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า" ป้าสมรปรามสามี ก่อนจะหันไปหยิบกล่องพลาสติกใบหนึ่งออกมาจากตะกร้า
"เอ้านี่... กับข้าวพิเศษ" ป้าสมรเปิดกล่องออก กลิ่นหอมฉุยของ 'สเต็กปลาแซลมอนย่างราดซอสครีมเห็ด' ลอยมาเตะจมูก ชิ้นปลาชิ้นโตที่ถูกย่างจนสุกกำลังดีวางเคียงคู่กับมันบดเนื้อเนียน มันคืออาหารระดับภัตตาคารที่ดูไม่เข้ากับวงข้าวแกงส้มเลยสักนิด
ปานชีวาตาโต "นี่มัน... ของคุณภูไม่ใช่เหรอคะ? ตาลทานไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวโดนดุ"
"กินไปเถอะ" ป้าสมรหลบสายตา แสร้งทำเป็จัดผักในจาน "เมื่อกี้คุณภูโทรมาสั่ง บอกว่าวันนี้จะทานข้างนอกกับคุณโรส ให้เทไอ้นี่ทิ้งไปซะ เขาไม่อยากเห็นของเหลือ... ป้าเห็นว่าเสียดายของ ปลาชิ้นละตั้งหลายร้อย จะทิ้งให้หมามันกินก็กระไรอยู่ หนูช่วยป้ากินหน่อยเถอะ ถือว่าช่วยกำจัดขยะ"
"คะ... ของเหลือทิ้งเหรอคะ?" ปานชีวาหน้าชา ความน้อยเนื้อต่ำใจแล่นริ้วขึ้นมาจุกอก สำหรับเขา... เธอคงมีค่าเท่ากับถังขยะที่เอาไว้รองรับสิ่งที่เขาไม่้า "กินเถอะคุณตาล ดีกว่าทิ้งนะ อร่อยด้วย" แจ่มเชียร์ ปานชีวามองปลาชิ้นนั้นด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ท้องที่หิวโหยสั่งการให้เธอตักมันเข้าปาก รสชาติหวานนุ่มของเนื้อปลาละลายในปาก มันอร่อยมาก... อร่อยจนน้ำตาไหล เธอเคี้ยวข้าวไปร้องไห้ไป ท่ามกลางสายตาสงสารจับใจของคนงานทุกคน พวกเขาดูออกว่าป้าสมรโกหก... ไม่มีเ้านายหน้าไหนโทรมาสั่งให้ ทิ้ง ของดีๆ แบบนี้หรอก แถมป้าสมรยังแอบเอายาแก้แผลพุพองหลอดแพงระยับมาวางไว้ให้ข้างจานข้าวอีก บอกว่าเป็ยาเหลือๆ ของหลาน ...คุณภูนะคุณภู ปากแข็งใจร้าย แต่การกระทำสวนทางกันลิบลับ... ป้าสมรถอนหายใจในใจ สงสารทั้งคนกิน สงสารทั้งคนสั่ง
...
ณ ห้องทำงานชั้นบนของคฤหาสน์ (เวลาเดียวกัน)
ภูผาไม่ได้ออกไปสังสรรค์ที่ไหน... ชายหนุ่มนั่งอยู่ในห้องทำงานที่ปิดไฟมืดสนิท มีเพียงแสงสว่างจากหน้าจอแล็ปท็อปที่ส่องกระทบใบหน้าคมเข้ม บนหน้าจอนั้น... คือภาพจากกล้องวงจรปิดในห้องครัว
เขานั่งนิ่งราวกับรูปปั้น จ้องมองภาพหญิงสาวร่างบางในชุดคนใช้เก่าๆ ที่กำลังนั่งกินข้าวทั้งน้ำตา เขาเห็นเธอตักปลาแซลมอนชิ้นนั้นเข้าปาก... ปลาที่เขาตั้งใจสั่งเชฟให้ทำพิเศษโดยกำชับว่า 'เอาแบบสุกกำลังดี เนื้อนุ่มที่สุด' แล้วแกล้งโทรไปสั่งป้าสมรด้วยบทละครตื้นๆ ว่าให้ทิ้ง
"โง่จริงๆ..." เขาพึมพำด่าตัวเอง นิ้วเรียวยาวเอื้อมไปแตะที่หน้าจอ ตรงตำแหน่งใบหน้าเปื้อนน้ำตาของปานชีวา แววตาที่เกรี้ยวกราดเมื่อตอนกลางวันเลือนหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความเ็ปและห่วงใยที่ลึกซึ้ง "เจ็บมากไหม..." สายตาเขาเลื่อนไปมองที่แขนข้างซ้ายของเธอ ซึ่งแม้ภาพจากกล้องจะไม่ชัดมาก แต่เขาก็เห็นรอยบวมแดงนั่นได้ถนัดตา ภาพเหตุการณ์เมื่อเช้าย้อนกลับมาทำร้ายจิตใจ ตอนที่เห็นน้ำร้อนลวกแขนเธอ ใจเขากระตุกวูบแทบจะพุ่งเข้าไปดู แต่ศักดิ์ศรีและความแค้นที่แบกไว้บนบ่ารั้งเขาไว้ เขาเลือกที่จะเดินหนี... เลือกที่จะทิ้งให้เธอเผชิญความเ็ปลำพัง นี่กูทำอะไรลงไปวะ? นี่เหรอวิธีแก้แค้นที่มึง้า? ทำไมคนที่เจ็บกว่าถึงเป็กู?
ภูผาปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างแรงด้วยความหงุดหงิด เขาลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปที่เรือนคนใช้หลังเล็กที่มืดสนิทแยกตัวออกจากตัวตึกใหญ่ ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่นั์ "แผลพุพองขนาดนั้น... ถ้าติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง ยัยนั่นยิ่งซื่อบื้อ ไม่ค่อยระวังตัวอยู่ด้วย" ข้ออ้างร้อยแปดผุดขึ้นมาในหัว เขาไม่ได้เป็ห่วง... เขาแค่กลัวว่าแรงงานคนสำคัญจะป่วยตายไปซะก่อน ใช่... เขาแค่จะไปดูให้แน่ใจว่าทรัพย์สินของเขาไม่บุบสลาย
...
เวลา 01:30 น. เรือนคนใช้
ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรที่ดังระงม ปานชีวานอนกระสับกระส่ายอยู่บนฟูกแข็งๆ ในห้องสี่เหลี่ยมที่อบอ้าว พิษไข้รุมเร้าเนื่องจากแผลน้ำร้อนลวกเริ่มอักเสบ ประกอบกับความอ่อนเพลียทำให้เธอหลับๆ ตื่นๆ แขนข้างซ้ายปวดตุบจนเธอต้องนอนตะแคงกอดตัวเอง ตัวสั่นเทาด้วยความหนาวสั่นจากไข้ใจและไข้กาย
กริ๊ก...
เสียงไขกุญแจที่หน้าประตูดังขึ้นเบาๆ แต่ในความเงียบยามดึกมันดังพอที่จะทำให้คนที่หลับไม่สนิทรู้สึกตัว ปานชีวาลืมตาโพลงด้วยความใ ใคร? โจรเหรอ? หรือคนงานผู้ชาย? ความกลัวจับขั้วหัวใจ เธอกระเถิบตัวถอยหนีไปจนชิดมุมห้อง คว้าหมอนใบเก่าขึ้นมากอดแน่น จ้องมองไปที่ประตูท่ามกลางความมืดสลัว
บานประตูค่อยๆ แง้มออก... ร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก้าวเข้ามา แสงจันทร์จากหน้าต่างสาดส่องให้เห็นโครงร่างที่คุ้นตา "คุณ... คุณภู!" ปานชีวาอุทานเสียงแหบแห้ง ดวงตาเบิกกว้าง ภูผาชะงักไปเล็กน้อยที่เห็นว่าเธอยังไม่หลับ เขาในชุดลำลองกางเกงขายาวเสื้อยืดสีดำ ยืนถือกล่องปฐมพยาบาลอยู่ในมือ ท่าทางเลิ่กลั่กเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าขโมยขนม "จะะโทำไม! เดี๋ยวคนอื่นก็ตื่นกันหมด" เขากระซิบดุเสียงเขียว รีบงับประตูปิดแล้วกดล็อค
"คุณเข้ามาทำไมคะ? นี่มันดึกมากแล้ว..." ปานชีวาถามเสียงสั่น รวบผ้าห่มมาคลุมถึงคอ "หรือคุณจะมา... มา..." เธอคิดเตลิดไปไกล กลัวว่าเขาจะมาทำมิดีมิร้ายเพื่อย่ำยีศักดิ์ศรีเธออีก ภูผาเดาความคิดนั้นออก ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงขึ้นมาทันทีเพื่อกลบเกลื่อนความตั้งใจจริง "หยุดความคิดสกปรกของเธอเดี๋ยวนี้ปานชีวา ฉันไม่หน้ามืดตามัวมาทำอะไรเธอในห้องรูหนูเหม็นอับนี่หรอก!" เขาเดินดุ่มๆ เข้ามาหา วางกล่องปฐมพยาบาลลงบนพื้นไม้เสียงดัง ปึก! "ฉัน... ฉันเดินตรวจความเรียบร้อยรอบบ้าน แล้วเห็นไฟห้องเธอมันกระพริบ นึกว่าเปิดไฟเล่นเปลืองค่าไฟ ก็เลยเข้ามาดู" "ไฟปิดอยู่ค่ะ... ปิดมาตั้งนานแล้ว" ปานชีวาแย้ง "อ้าวเหรอ? สงสัยตาฝาด" ภูผาแถสีข้างถลอก แต่ยังคงตีหน้าขรึม "แล้วนี่... ทำไมยังไม่นอน? หรือวางแผนจะหนีตอนดึก?" "เปล่านะคะ ตาลปวดแขน... นอนไม่หลับ"
ภูผามองร่างที่สั่นเทาใต้ผ้าห่ม เขาทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิข้างฟูกนอนอย่างถือวิสาสะ "ไหน เอาแขนมาดูซิ" "มะ... ไม่เป็ไรค่ะ ตาลทายาที่ป้าสมรให้แล้ว" เธอรีบชักแขนหนี "อย่าดื้อ!" ภูผาตวาดเสียงเบาแต่น่าเกรงขาม มือหนาเอื้อมไปคว้าข้อมือเธอไว้แน่นแต่ทว่านุ่มนวลอย่างประหลาด เขาดึงแขนเธอออกมาจากผ้าห่ม แสงจันทร์ทำให้เขาเห็นรอยแผลพุพองที่เริ่มมีน้ำเหลืองซึมและแดงช้ำเป็วงกว้าง ใจเขาหล่นวูบ... เจ็บกว่านี้มีอีกไหม "ทายาประสาอะไร แผลเน่าขนาดนี้" เขาบ่นกลบเกลื่อน "ปล่อยให้ตัวเองป่วยตายคิดว่าฉันจะสงสารเหรอ? ฝันไปเถอะ ถ้าเธอตาย ใครจะใช้หนี้ฉัน"
เขาเปิดกล่องปฐมพยาบาล หยิบน้ำเกลือ สำลี และยาทาแผลสดออกมา การกระทำของเขาดูขัดแย้งกับคำพูดร้ายกาจ มือที่เคยบีบคางเธอเมื่อเช้า บัดนี้กำลังใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดรอบปากแผลให้อย่างเบามือที่สุด ราวกับกลัวว่าผิวเนื้อบอบบางนั้นจะแตกสลาย ปานชีวานั่งนิ่ง ตัวแข็งทื่อ... ลมหายใจอุ่นๆ ของเขารินรดท่อนแขนเธอ ััจากปลายนิ้วที่แตะลงบนผิวทำให้ขนเธอลุกชัน เธอเงยหน้ามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาในความมืด คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความเคร่งเครียด ดวงตาที่จ้องมองแผลนั้น... มันดูไม่ใช่สายตาของเ้าหนี้ใจร้ายเลยสักนิด ทำไม... ทำไมแววตาคู่นั้นถึงดูเ็ปแทนเธอ? ทำไมััของเขาถึงอ่อนโยนขนาดนี้?
"เจ็บไหม?" เขาถามขึ้นมาสั้นๆ โดยไม่เงยหน้า "เจ็บค่ะ..." เธอตอบตามตรง น้ำตาแห่งความอ่อนแอไหลลงมาอาบแก้ม ภูผาชะงักมือ เขาเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ ระยะห่างเพียงคืบ... ในความเงียบที่มีเพียงเสียงลมหายใจ ภูผาเผลอยกนิ้วโป้งขึ้นมาปาดน้ำตาที่แก้มเธอแ่เบา ปานชีวาสะดุ้งเฮือกกับัันั้น หัวใจเต้นระรัว ดวงตาคมกล้าสั่นไหววูบหนึ่ง... เขากำลังต่อสู้กับความรู้สึกตัวเองอย่างหนัก อยากจะดึงเธอเข้ามากอดปลอบ อยากจะจูบซับน้ำตาให้ แต่ภาพความแค้นของพ่อก็แทรกเข้ามาขวางกั้น
ภูผาชักมือกลับทันทีราวกับถูกของร้อน เขาหันกลับไปสนใจแผลอีกครั้งอย่างลนลาน "สำออย... แค่นี้ก็ร้องไห้" เขาพูดเสียงแข็ง แต่เบากว่าเดิมมาก "ฉันทายาฆ่าเชื้อแล้วก็ปิดผ้าก๊อซให้ ห้ามแกะออกเด็ดขาด พรุ่งนี้ถ้าแผลยังไม่แห้ง ห้ามโดนน้ำ" "แต่ตาลต้องซักผ้า ถูพื้น..." "ฉันสั่งว่าห้ามโดนน้ำก็คือห้ามโดนน้ำ!" เขาหันมาดุ "งานเปียกๆ ให้คนอื่นทำไปก่อน เธอไปขัดเงาเฟอร์นิเจอร์แทน เข้าใจไหม?" "ค่ะ..."
ภูผาจัดการพันแผลให้เธอจนเสร็จสรรพ สวยงามเรียบร้อยระดับมืออาชีพ เขาเก็บอุปกรณ์ลงกล่อง ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มองร่างเล็กที่นั่งกุมแขนตัวเองอยู่บนฟูก ความรู้สึกอยากจะนอนลงข้างๆ กอดเธอไว้จนเช้ามันรุนแรงเหลือเกิน แต่เขาทำไม่ได้...
"นอนซะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า อย่าให้ฉันต้องมาปลุก" เขาสั่งทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังเดินไปที่ประตู "คุณภูคะ..." เสียงเรียกเบาๆ รั้งขาเขาไว้ ภูผาใจเต้นแรง หวังลึกๆ ว่าเธอจะพูดอะไรดีๆ กับเขาบ้าง "ขอบคุณค่ะ... สำหรับยา" คำขอบคุณที่จริงใจแต่แฝงไปด้วยความห่างเหิน ภูผากัดกรามแน่น ข่มความรู้สึก "ไม่ต้องขอบคุณ ฉันแค่ไม่อยากให้บ้านฉันมีผีคนใช้มาตายเพราะแผลติดเชื้อ มันเป็เสนียด" พูดจบเขาก็รีบเปิดประตูเดินออกไปทันที ทิ้งให้ความมืดเข้าปกคลุมห้องอีกครั้ง
ปานชีวานั่งมองประตูที่ปิดลง ความสับสนตีกันยุ่งเหยิงในหัว เมื่อกี้เขาดูอ่อนโยนมาก... แต่คำพูดสุดท้ายนั่นมันช่างเสียดแทงใจ "คนบ้า... ผีเข้าผีออก" เธอล้มตัวลงนอน กอดแขนที่ได้รับการทำแผลอย่างดี ความเ็ปทุเลาลงมากแล้ว แต่ความเจ็บใจและความกลัวยังคงอยู่ เขาคิดว่าการมาทำดีตบหัวแล้วลูบหลังแบบนี้จะทำให้เธอหายโกรธเหรอ? ไม่มีทาง... ปานชีวาบอกตัวเอง พลิกตัวหันหน้าเข้าหาผนัง น้ำตายังคงไหล เธอไม่รู้เลยว่า... ที่อีกฟากหนึ่งของประตู ภูผายืนพิงผนังตึกอยู่ท่ามกลางความมืด มือหนายกขึ้นทาบที่หน้าอกข้างซ้าย หัวใจเขาเต้นแรงจนเจ็บ "ขอโทษ..." เสียงกระซิบแ่เบาเลือนหายไปกับสายลมยามดึก ที่ไม่มีวันส่งไปถึงหูคนในห้อง เขายืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นจนแน่ใจว่าเสียงร้องไห้ในห้องเงียบลงแล้ว จึงค่อยๆ เดินกลับตึกใหญ่ไปอย่างคนแพ้พ่าย
ความสัมพันธ์ที่มีกำแพงทิฐิและหนี้แค้นขวางกั้น... ความลับในห้องครัว และความลับในใจของภูผา เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น.
////****////
