ตอนที่ 10 ขุมทรัพย์ในมือข้า
คำพูดของหลิงซีที่ทั้งเย้ยหยันและท้าทายดังก้องอยู่ในกระท่อมแคบๆ ราวกับเสียงฟ้าร้องในวันที่ไร้เมฆ มันทำให้ทุกคนในที่นั้นถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ โดยเฉพาะท่านย่าจางและหวังซื่อที่เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู
"ขยะรึ?" หวังซื่อเป็คนแรกที่ได้สติ นางหัวเราะเสียงแหลมจนตัวสั่น "ฮ่าๆๆ! ข้าได้ยินอะไรผิดไปรึเปล่า! ยัยเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม! เ้าคิดว่าพวกข้าโง่เง่าเหมือนพ่อแม่ของเ้ารึอย่างไร ถึงจะมาหลอกกันด้วยเื่ตลกสิ้นคิดเช่นนี้! เ้ามีปัญญาเปลี่ยนขยะเป็เงินมาซื้อเนื้อหมูได้อย่างไรกัน!"
นางหันไปทางย่าจางทันที "ท่านแม่เ้าคะ! เห็นหรือไม่เ้าคะ! นางกำลังดูถูกสติปัญญาของพวกเรา! นางต้องซ่อนสมบัติไว้แน่ๆ! รีบสั่งให้ค้นบ้านเลยเถิดเ้าค่ะ!"
มู่เทียนหยูที่ยืนอยู่ข้างหลังรีบเสริมทัพทันที "ใช่ขอรับท่านย่า! น้องหญิงหลิงซีคงจะป่วยจนเลอะเลือนไปแล้วกระมังถึงได้คิดว่าขยะมีค่า ของมีค่าย่อมเป็ของมีค่า จะมาปั้นน้ำเป็ตัวหลอกพวกเราได้อย่างไร ท่านย่าอย่าไปหลงเชื่อคารมของนางนะขอรับ!"
บรรยากาศที่กดดันอยู่แล้วยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก มู่เจิ้งกับหลี่ซือหน้าซีดเผือด กำหมัดแน่นด้วยความโกรธแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
แต่หลิงซี นางยังคงสงบนิ่ง ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มบางเบาที่ยากจะหยั่งถึง นางไม่ได้มองไปทางหวังซื่อหรือมู่เทียนหยูแม้แต่น้อย สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่ย่าจางเพียงผู้เดียว ราวกับว่าคนอื่นๆ ในที่นี้เป็เพียงอากาศธาตุ
"ท่านย่าไม่เชื่อข้ารึเ้าคะ?" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ก็ไม่แปลกหรอกเ้าค่ะ เพราะ ‘สิ่งที่เห็นอยู่ในสายตา ขึ้นอยู่กับสิ่งที่อยู่ในหัว’ ในสายตาของท่านป้าและพี่เทียนหยู อาจจะมองเห็นแต่ทองคำและของมีค่า แต่ในสายตาของข้า ข้ากลับมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่พวกท่านมองไม่เห็น"
คำพูดเชิงปรัชญาของนางทำให้ย่าจางขมวดคิ้วมุ่น "เ้ากำลังจะบอกอะไรกันแน่? พูดจาให้มันรู้เื่!"
"ได้เ้าค่ะ" หลิงซียิ้มรับ "เช่นนั้น ข้าขอเชิญท่านย่าและทุกท่านมาเป็ประจักษ์พยานด้วยกันเลยดีหรือไม่เ้าคะ?"
นางไม่รอคำตอบ แต่กลับเดินนำทุกคนออกจากกระท่อมไปยังบริเวณหลังครัว ที่ซึ่งมีกองขยะและกองเศษไม้วางเรียงกันอยู่อย่างไม่เป็ระเบียบในบริเวณบ้าน
หวังซื่อย่นจมูกด้วยความรังเกียจ "เ้าพาพวกเรามาที่กองขยะนี่ทำไมกัน! เสียเวลาอ่านหนังสือของเทียนหยูหมด!"
หลิงซีไม่สนใจเสียงนกเสียงกา นางเดินตรงไปยังกองฟืนที่กองสุมอยู่ข้างกระท่อม กองฟืนที่พ่อของนางไปเก็บหามาจากในป่าเพื่อใช้เป็เชื้อไฟในแต่ละวัน
นางย่อตัวลง ท่ามกลางสายตาที่ทั้งดูถูกและสงสัยของบ้านใหญ่
"ท่านย่าเ้าคะ ทุกท่านเห็นหรือไม่" นางหยิบ "กิ่งไม้แห้งๆ" ที่ดูธรรมดาสามัญขึ้นมากิ่งหนึ่ง กิ่งไม้ที่แม้แต่ขอทานก็ยังไม่ชายตาแล "ในสายตาของท่าน นี่คือเศษไม้ คือฟืนไร้ค่าที่รอวันถูกโยนเข้าเตาไฟ"
"แต่ในสายตาของข้า"
มือของนางหยิบรากไม้แห้งๆ สีน้ำตาลคล้ำชิ้นหนึ่งออกมา มันคือรากไม้ที่มู่เจิ้งเก็บติดมือมาโดยไม่รู้ตัวเพราะคิดว่าเป็แค่รากไม้ธรรมดา แต่หลิงซีนางมองเห็นแสงปราณสีเขียวอมเหลือง ที่ยังคงไหลเวียนอยู่อย่างแ่เบาภายใน! เธอจึงคัดแยกเก็บเอาไว้
"นี่คือ ชางจู๋" นางกล่าวเสียงดังฟังชัด "เป็รากสมุนไพรชั้นดีที่ช่วยขับความชื้น แก้ปวดเมื่อย แม้มันจะแห้งแล้งและดูเหมือนตายไปแล้ว แต่แก่นของมันยังคงมีสรรพคุณทางยาหลงเหลืออยู่! หากนำไปฝนกับน้ำสะอาด ก็ยังสามารถใช้เป็ยาทาบรรเทาอาการปวดข้อได้เป็อย่างดี"
นางวางมันลง แล้วคุ้ยต่อไปอีกเล็กน้อย ก่อนจะหยิบ เถาวัลย์แห้งๆ ที่มีลักษณะตะปุ่มตะป่ำขึ้นมาอีกเส้นหนึ่ง
"และนี่คือ จีเสว่ยเถิง หรือเถาวัลย์เืไก่ คนทั่วไปมักจะมองข้ามเพราะคิดว่าเป็แค่เถาไม้รกๆ แต่หากตัดออกมา จะเห็นว่ายางของมันมีสีแดงสดคล้ายเืไก่ เป็ยาบำรุงเืชั้นยอดสำหรับสตรี! ท่านแม่ของข้า ก็ได้ดื่มน้ำต้มจากเถาวัลย์นี้ จึงทำให้สายตาที่เคยพร่ามัวกลับมาดีขึ้น"
หวังซื่อและมู่เทียนหยูมองหน้ากันด้วยความงุนงง เื่ที่นางพูด มันทั้งแปลกประหลาดและน่าเหลือเชื่อ!
หลิงซียังคงสาธิตต่อไป นางหยิบสมบัติที่ถูกมองข้าม ออกมาจากกองฟืนนั้นอีกสองสามชนิด ไม่ว่าจะเป็เปลือกไม้ที่มีสรรพคุณห้ามเื หรือผลไม้ป่าแห้งๆ ที่ช่วยแก้ไอได้ ทุกสิ่งที่นางหยิบขึ้นมา ล้วนเป็สิ่งที่คนทั่วไปมองว่าเป็ขยะ หรือ เศษไม้ แต่ด้วยความรู้และดวงตาทิพย์ของนาง มันกลับกลายเป็โอสถล้ำค่าไปในทันที!
"เศษไม้เหล่านี้ ที่พวกท่านมองว่าเป็แค่ฟืน แต่จริง ๆ แล้วมันคือสมุนไพร ที่ข้าและท่านพ่อได้เก็บรวบรวมมันมาทุกครั้งที่เข้าป่า" นางลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่มือออกเบาๆ "จากนั้น ข้าก็นำส่วนหนึ่งที่คัดแยกแล้วไปขายให้กับท่านลุงหวังหมอเทวดาท้ายหมู่บ้าน ท่านลุงหวังเป็คนใจดี เขารู้ว่าครอบครัวข้ายากจน จึงเมตตาให้ราคาข้ามาถึง สามสิบห้าอีแปะ"
นางจงใจอ้างชื่อหมอเทวดาที่ทุกคนในหมู่บ้านให้ความนับถือขึ้นมา เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคำพูดของตนเอง!
"สามสิบห้าอีแปะ!" ทุกคนอุทานออกมาพร้อมกัน!
เงินจำนวนนั้นอาจจะไม่มากสำหรับบ้านใหญ่ แต่มันก็มากพอที่จะซื้อข้าวสารและเนื้อหมูสำหรับมื้อเย็นได้อย่างสบายๆ!
"เป็ไปไม่ได้!" หวังซื่อยังคงไม่ยอมเชื่อ "แค่เศษไม้แห้งๆ พวกนี้เนี่ยนะ จะขายได้เงินตั้งมากมาย! เ้ากำลังปั้นน้ำเป็ตัวหลอกพวกเราอยู่แน่ๆ!"
"ท่านป้าไม่เชื่อหรือเ้าคะ?" หลิงซียิ้ม แต่เป็รอยยิ้มที่เย็นเยียบ "ก็ไม่แปลกหรอกเ้าค่ะ เพราะสิ่งที่มองเห็น ขึ้นอยู่กับปัญญาที่มี ในสายตาของท่าน มันอาจจะเป็แค่เศษไม้ แต่ในสายตาของหมอเทวดา มันคือโอสถล้ำค่า"
"ของบางอย่าง คุณค่าของมันไม่ได้อยู่ที่ว่ามันคืออะไร แต่อยู่ที่ว่ามันอยู่ในมือของใครและใครเป็คนตีราคาต่างหาก เศษไม้ในมือของคนมีความรู้ ย่อมมีค่ากว่าผ้าไหมในมือของคนที่ไม่เห็นคุณค่าของมัน ท่านป้าว่าจริงหรือไม่เ้าคะ?"
นางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะปรายตามองหวังซื่อั้แ่หัวจรดเท้า
"บางที การแยกแยะระหว่างเศษไม้กับสมบัติได้ อาจจะต้องใช้สายตาที่ดีกว่านี้สักหน่อยกระมังเ้าคะ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็สิ่งที่เงินทองก็ซื้อหามาไม่ได้เสียด้วย"
นางหันกลับไปเผชิญหน้ากับย่าจางอีกครั้ง "ท่านย่าเ้าคะ นี่คือคำตอบของข้า เงินทุกอีแปะที่พวกเราใช้ไป มาจากสติปัญญาและสองมือของข้าที่เก็บเศษไม้ในป่า มาสร้างให้เกิดประโยชน์ ไม่ได้มาจากการขโมยหรือเบียดเบียนผู้ใดแม้แต่น้อย"
นางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวประโยคสุดท้ายที่บาดลึกลงไปถึงขั้วหัวใจของทุกคนในบ้านใหญ่
"ขยะในสายตาของท่าน คือขุมทรัพย์ในมือของข้า บางที ปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่ตัวสิ่งของ แต่อยู่ที่สายตาของคนมอง ว่ามีปัญญาพอที่จะมองเห็นคุณค่าของมันหรือไม่ก็เท่านั้นเองเ้าค่ะ"
สิ้นเสียงที่เยือกเย็นแต่เฉียบคมของนาง ความเงียบก็เข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ
มันเป็ความเงียบที่น่าอึดอัด ทุกคนต่างจ้องมองไปยังเด็กสาวร่างเล็กที่ยืนอยู่กลางกองฟืนด้วยสายตาที่ทั้งทึ่งและไม่อยากจะเชื่อ
แต่แล้ว ความเงียบนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงกรีดร้องที่แหลมสูงจนแสบแก้วหู!
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!"
หวังซื่อ!
ใบหน้าของนางบัดนี้บิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้นจนน่าเกลียด! นางชี้หน้าหลิงซี นิ้วสั่นระริกราวกับคนถูกผีเข้า
"นัง นังเด็กเหลือขอ! นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม! เ้า เ้ากล้าด่าข้าว่าโง่รึ! เ้ากล้าด่าข้าว่าไม่มีปัญญา ไม่มีสายตา กรี๊ดดด! ข้าจะฆ่าเ้า! ข้าจะฉีกปากของเ้า!"
นางเหมือนคนเสียสติไปแล้ว! ความอัปยศอดสูที่ถูกเด็กที่ตนเคยเหยียบย่ำตอกกลับจนเถียงไม่ออกต่อหน้าทุกคน มันรุนแรงเกินกว่าที่ความภาคภูมิใจอันจอมปลอมของนางจะรับไหว!
นางพยายามจะพุ่งเข้าไปทำร้ายหลิงซี แต่มู่เฉียงและมู่เทียนหยูที่เพิ่งจะได้สติก็รีบเข้ามาคว้าตัวนางไว้!
"ท่านแม่! ท่านแม่ใจเย็นๆ ก่อน!"
"ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! ข้าจะสั่งสอนมัน! ข้าจะ..."
หวังซื่อดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่แล้ว... เืในกายของนางก็พลันสูบฉีดขึ้นไปเลี้ยงสมองมากเกินไป
ดวงตาของนางเหลือกขึ้น ใบหน้าเปลี่ยนจากสีแดงก่ำเป็ซีดเผือด ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะอ่อนยวบลง
ฟุ่บ!
นางเป็ลมสลบไปในอ้อมแขนของสามีและลูกชาย!
"ท่านแม่! / หวังซื่อ!"
เสียงร้องใของมู่เฉียงและมู่เทียนหยูดังขึ้นพร้อมกัน ความโกลาหลบังเกิดขึ้นในทันที! จากที่เคยเป็ฝ่ายบุกเข้ามาหาเื่ บัดนี้บ้านใหญ่กลับต้องรีบหามร่างที่ไร้สติของหวังซื่อกลับเรือนของตนเองไปอย่างทุลักทุเล!
มู่เทียนหยู ก่อนที่จะจากไป เขาหันกลับมามองหลิงซีด้วยสายตาที่ลุกโชนไปด้วยไฟแค้นและความอาฆาต เป็สายตาที่บ่งบอกว่าเื่นี้ จะไม่มีวันจบลงง่ายๆ แค่นี้แน่นอน!
ย่าจาง ผู้ซึ่งยืนนิ่งมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดั้แ่ต้นจนจบ ไม่ได้แสดงอาการใหรือเป็ห่วงใยในตัวลูกสะใภ้แม้แต่น้อย
นางเพียงแค่ปรายตามองร่างที่ไร้สติของหวังซื่อด้วยความรำคาญ ก่อนจะหันกลับมาจ้องมองหลิงซีเป็ครั้งสุดท้าย
สายตาของนางในยามนี้ ไม่ได้มีความโกรธ แต่กลับเต็มไปด้วยความ "เย็นเยียบ" และ "คำนวณ"
นางไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่หันหลังกลับ แล้วเดินจากไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้เพียงคำถามและความกดดันที่มองไม่เห็นซึ่งหนักหน่วงยิ่งกว่าพายุลูกใดๆ
พายุที่มองเห็นได้พัดผ่านไปแล้ว แต่พายุที่มองไม่เห็น เพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้นเท่านั้น