นางหลิวส่ายหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้น “คุณชายของข้า โธ่... ข้าคิดน้อยเกินไปแล้ว เช่นนั้นเรียกว่านายท่านเถิด”
ผ่านไปครู่หนึ่งคนครัวก็ถามขึ้นอีกครั้ง “นางหลิว วันนี้ข้าสั่งซื้อเต้าหู้และฟองเต้าหู้ของตระกูลหลี่เอาไว้แล้ว ถึงตอนนั้นก็ทำให้นายท่านรับประทาน ที่เหลือก็ให้ท่านและลุงโจวชิมดูเป็อย่างไร”
นางหลิวพยายามกลั้นความโศกเศร้าเอาไว้แล้วตอบไปว่า “ได้ คนแก่อย่างพวกเราคงต้องขอพึ่งลาภปากจากนายท่านเสียแล้ว”
ลุงโจวติดนิสัยไม่กินข้าวเช้า เมื่อตื่นมาเช็ดตัวเรียบร้อยแล้วก็ไปทักทายเจียงชิงอวิ๋นที่ห้องหนังสือ จากนั้นจึงเดินไปที่ห้องโถง ไม่นานหมอหลวงสองคนจากจวนเยี่ยนอ๋องก็มาถึง ทั้งยังมีหญิงรับใช้ข้างกายฉินไท่เฟยติดตามมาด้วย
หญิงรับใช้นางนั้นเป็หญิงรับใช้ขั้นหนึ่ง สวมชุดผ้าไหมและสวมชุดกันลมซ้อนอีกหนึ่งชั้น นางมีใบหน้างดงามไม่ต่างจากคุณหนูของบ้านนายอำเภอ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางหลิวก็ยังไม่กล้าวางมาด จึงได้แต่กล่าวเสียงอ่อนว่า “ไท่เฟยทรงรับสั่งให้บ่าวมาดูแลนางหลิวและลุงโจว ทรงตรัสว่า พวกท่านลำบากเดินทางมานาน ให้พักผ่อนสักหลายวันแล้วค่อยไปโขกศรีษะขอบพระทัยเ้าค่ะ”
นางหลิวเป็บ่าวที่เกิดในบ้านฉิน หลายสิบปีก่อนหน้านี้นางเป็หญิงรับใช้ให้บ้านฉิน เคยเห็นฉินไท่เฟยั้แ่ยังเป็ดรุณีน้อย นางรีบกล่าวไปว่า “ขอบพระทัยไท่เฟยที่ยังจดจำพวกเราสามีภรรยาได้ ขอบพระทัยไท่เฟยที่ทรงห่วงใย”
เจียงชิงอวิ๋นมาหาหมอหลวงทั้งสองจึงได้ทราบจากปากพวกเขาว่า อาการป่วยของลุงโจวไม่มีบันทึกไว้ในตำราแพทย์ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยพบมาก่อน ไม่ทราบว่าจะรักษาเช่นไร
“ข้าขอตัวก่อน”
“คุณชายเดินระวังด้วยขอรับ”
มนุษย์เรากินธัญพืชและอาหารแห้งหลากหลายย่อมมีอาการป่วยมากมาย บนโลกใบนี้มีคนนับพันนับหมื่น ไม่ว่าโรคอะไรล้วนมีทั้งสิ้น หมอหลวงทั้งสองไม่ได้รู้สึกผิดที่ไม่สามารถรักษาโรคให้ลุงโจวได้ จึงพากันกลับไปอย่างเงียบๆ
ในใจของเจียงชิงอวิ๋นเต็มไปด้วยความผิดหวัง แต่ยังคงกล่าวขอบคุณหมอหลวงทั้งสองจากใจจริง นี่ยังดีกว่าผู้ที่เรียกตนเองว่าหมอ แต่กลับแสร้งเข้าใจในโรคที่ไม่เข้าใจแล้วออกเทียบยาให้ผู้ป่วยเสียอีก
แม้ลุงโจวจะเป็คนป่วย แต่กลับกล่าวปลอบใจเจียงชิงอวิ๋นเสียเอง “นายท่าน ร่างกายของบ่าวยังดีอยู่ ท่านไม่จำเป็ต้องสิ้นเปลืองความคิดเพียงนี้”
เจียงชิงอวิ๋นไม่ยอมแพ้ในการรักษาลุงโจว แม้น้ำเสียงจะฟังดูราบเรียบ แต่เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “เมืองเยี่ยนเป็เมืองที่ใหญ่ที่สุดทางภาคเหนือ มีหมอเก่งๆ มากมาย อาจมีคนวินิจฉัยได้ว่าเ้าป่วยเป็โรคอะไรและรักษาเ้าได้”
เวลาผ่านไปหลายวัน จวนเจียงมีหมอของเมืองเยี่ยนมาปรากฏตัวมากมาย เรียกได้ว่าหมอทั่วทั้งเมืองเยี่ยนล้วนเคยมากันแล้วรอบหนึ่ง แต่ไม่มีใครรักษาโรคของลุงโจวได้เลย
อย่างไรก็ตาม มีหมอคนหนึ่งแนะนำหมออีกสองคนในอำเภอฉางผิงและอำเภอซั่งให้เจียงชิงอวิ๋น “พวกเขาสองคนเป็ศิษย์พี่ของข้าเอง อยู่ในวงการแพทย์มานานกว่าข้าสิบกว่าปี”
เจียงชิงอวิ๋นรีบส่งคนไปเชิญหมอทั้งสองนั้นมาทันที
สองสามีภรรยาลุงโจวเห็นเจียงชิงอวิ๋นให้ความสำคัญกับพวกตนถึงเพียงนี้ก็รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
จวนเจียงมีหมอพกกล่องยาเดินเข้าออกทั้งวันจนเพื่อนบ้านในละแวกรอบๆ ซึ่งก็คือชาวบ้านในพื้นที่คิดไปว่า เจียงชิงอวิ๋นป่วยหนัก
คนในจวนเจียงซื้อวัตถุดิบทำอาหารกับชาวบ้านและจ้างชาวบ้านทำงานต่างๆ เช่น ซ่อมถนนหรือทำนา ั้แ่มีจวนเจียงมาอยู่ ชีวิตของชาวบ้านก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก
ชาวบ้านล้วนใส่ใจสุขภาพของเจียงชิงอวิ๋น กลัวว่าหากเทพร่ำรวยท่านนี้จากไปแล้วครอบครัวของพวกเขาจะมีรายได้ลดลง
ชาวบ้านใจกล้าหลายคนถึงกับมายืนเฝ้าอยู่ตามทางเพื่อสอบถามคนครัวที่รับผิดชอบซื้อวัตถุดิบทำอาหาร
คนครัวรู้จักพวกเขา นี่เป็เื่ที่ไม่ต้องเก็บเป็ความลับ จะกล่าวออกไปก็ไม่เป็อะไร จึงได้ตอบไปว่า “ลุงโจวเป็ผู้ดูแลเื่ต่างๆ ในจวน อายุหกสิบแล้ว เขาป่วยเป็โรคประหลาด หลายวันมานี้ที่จวนเชิญหมอในเมืองเยี่ยนมาหลายคนก็เพื่อรักษาเขา”
“ที่แท้ก็เป็ลุงโจวในจวนที่ป่วย”
“ไม่ใช่ว่าลุงโจวยังดีๆ อยู่หรือ เมื่อวานข้ายังเห็นเขาพาคนไปเดินตรวจตราที่ป่าอยู่เลย”
“อากาศเย็นเพียงนี้ ลุงโจวแก่แล้วต้องรักษาสุขภาพให้ดี นายท่านเจียงก็ต้องรักษาสุขภาพให้ดีด้วย”
ชาวบ้านคนหนึ่งคิดใคร่ครวญแล้วจึงลูบหัวกล่าวว่า “ข้าเคยได้ยินว่า ที่หมู่บ้านหลี่มีหมอเทวดาน้อยอยู่คนหนึ่ง มีวิชาแพทย์สูงส่ง เชี่ยวชาญในการรักษาโรคที่ผู้อื่นรักษาไม่หาย พวกท่านไปเชิญหมอเทวดาน้อยมาตรวจให้ลุงโจวดูเถิด”
“หมอเทวดาน้อยแห่งหมู่บ้านหลี่” คนครัวจดจำไว้ในใจ เมื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเสร็จและกลับไปถึงจวนแล้ว ก็กล่าวเื่นี้กับลุงฝู
เมื่อวานลุงฝูก็ได้ยินชื่อหมอเทวดาน้อยแห่งหมู่บ้านหลี่จากปากองครักษ์หลายคน ทั้งยังได้ยินอีกว่า ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ เต้าหู้ตระกูลหลี่ และฟองเต้าหู้ตระกูลหลี่ ก็มาจากบ้านหมอเทวดาน้อย เขากำลังเตรียมนำเื่นี้ไปพูดกับเจียงชิงอวิ๋นพอดี แต่คนครัวมาพูดเื่หมอเทวดาน้อยแห่งหมู่บ้านหลี่กับเขาอีกแล้ว ดูท่าทางหมอเทวดาน้อยจะมีชื่อเสียงในพื้นที่มากจริงๆ
ทว่าคนที่พูดถึงหมอเทวดาน้อยกลับไม่มีคนใดเป็หมอชาวบ้านแม้แต่คนเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมอผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเลย
หากหมอเทวดาน้อยแห่งหมู่บ้านหลี่มีวิชาแพทย์สูงส่ง เหตุใดไม่เห็นหมอเลื่องชื่อของเมืองเยี่ยน อำเภอฉางผิง และอำเภอซั่งกล่าวถึงนางเล่า?
“หมอเทวดาน้อยแห่งหมู่บ้านหลี่?” เมื่อเจียงชิงอวิ๋นได้ยินคำนี้ ในสมองก็ปรากฏเื่หมวกนิรภัยที่ทำจากหวายที่เขาเคยเห็นในจวนเยี่ยนอ๋องขึ้นมาโดยพลัน
ลุงฝูก็เป็ห่วงเื่อาการป่วยของลุงโจวเช่นกัน แม้จะไม่ได้เห็นกับตา แต่รอยบวมบนหน้าผากของลุงโจวก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ยามที่อาการกำเริบเขาต้องทุกข์ทรมานเพียงใด “นายท่าน หมอมีชื่อมากมายเพียงนี้ก็ยังไม่ทราบว่าเหล่าโจวป่วยเป็อะไร มิสู้เราใช้วิธีรักษาม้าไปดุจม้าเป็ดีหรือไม่ บ่าวส่งคนไปเชิญหมอเทวดาน้อยแห่งหมู่บ้านหลี่มาตรวจรักษาให้เหล่าโจวดีหรือไม่ขอรับ?”
“อืม...” เจียงชิงอวิ๋นตอบไปเพียงคำเดียว แม้ในใจจะไม่มีความเชื่อมั่นต่อหมอเทวดาน้อยและครอบครัวของนางอยู่เลย แต่ก็ไม่ได้แสดงความสงสัยออกไปแม้แต่น้อย
ฤดูหนาวของเมืองเยี่ยนในเดือนสิบเอ็ด แม้อากาศจะหนาวเย็นมากแต่ท้องฟ้าสดใส หนาวจนถึงขั้นที่ว่าหากคนที่อยู่บนถนนยกมือขึ้นปาดน้ำมูกแล้วสะบัดลงพื้น น้ำมูกก็แข็งได้ในทันที
คนหมู่บ้านหลี่ขายเต้าหู้และฟองเต้าหู้ท่ามกลางสภาพอากาศเช่นนี้เอง
เพื่อไม่ให้เต้าหู้และฟองเต้าหู้แข็งไปเสียก่อน ชาวบ้านจึงนำผ้าฝ้ายหนาๆ มาคลุมเอาไว้ เมื่อเปิดผ้าฝ้ายออกจะพบว่า เต้าหู้ยังคงมีไอร้อนพวยพุ่งออกมา
“เต้าหู้ตระกูลหลี่ชั่งละหกทองแดง ฟองเต้าหู้ชั่งละเจ็ดทองแดง”
“ถั่วขึ้นราคา ต้นทุนก็เพิ่มขึ้น เต้าหู้กับฟองเต้าหู้คงต้องขึ้นราคาแล้ว”
“์ แล้งน้ำใจจริงๆ อากาศหนาวจนแทบจะแช่แข็งสุนัขให้ตายได้เลย ข้าลำบากออกมาซื้อเต้าหู้แล้ว พวกเ้ายังคิดเพิ่มความลำบากด้านการเงินให้กับพวกข้าอีกหรือ”
ต้นหอมและหัวไชเท้าขึ้นราคา เต้าหู้และฟองเต้าหู้ตระกูลหลี่ก็ขึ้นราคา แต่ลูกค้าเก่ายังคงจ่ายเงินซื้อเต้าหู้และฟองเต้าหู้ตระกูลหลี่
“วันนี้ข้ารับฟองเต้าหู้มาเพียงสองชั่ง ขายหมดไปเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนแล้ว”
“เต้าหู้เหลือเพียงชิ้นเดียว มีไม่ถึงหนึ่งชั่ง ประมาณเจ็ดแปดเหลียงกระมัง ข้าจะลดให้เ้าเหลือสามทองแดง”
ต่อให้เต้าหู้และฟองเต้าหู้ตระกูลหลี่ขึ้นราคา กิจการก็ยังรุ่งเรือง
คนในหมู่บ้านหลี่ที่ซื้อเต้าหู้และฟองเต้าหู้ตระกูลหลี่ไปขาย ไม่มีใครขายไม่หมดจนต้องขนกลับหมู่บ้านมาเลย
เต้าหู้ดึงดูดเหล่าผู้ดูแลเหลาอาหารในอำเภอฉางผิงและอำเภอซั่ง พวกเขาไม่คิดจะซื้อเต้าหู้จากคนในหมู่บ้าน แต่จะรับจากตระกูลหลี่โดยตรง เมื่อทำเช่นนี้ก็จะจ่ายเงินค่าเต้าหู้ถูกลงชั่งละสองทองแดงครึ่ง ทั้งยังมีฟองเต้าหู้อีกด้วย ปริมาณการซื้อไม่น้อยเลยทีเดียว จะต้องติดต่อตระกูลหลี่โดยตรงจึงจะซื้อได้
นอกจากนี้พวกเขาก็อยากสานสัมพันธ์กับตระกูลหลี่ด้วย หากต่อไปตระกูลหลี่มีอาหารชนิดใหม่จะได้นึกถึงพวกเขา
บ้านหลี่กำลังเตรียมงานครบเดือนของทารกทั้งสองที่จะมีขึ้นในอีกสองวัน อาหารประกอบไปด้วยตับหมูพะโล้ หมูผัดซอส ลูกชิ้นทอด เต้าหู้ทอด ถั่วลิสงทอด หลี่ซานกำลังยุ่งอยู่ในครัวจนเท้าแทบไม่ติดพื้น เมื่อเห็นว่ามีผู้ดูแลจากสองอำเภอมาพบ หลี่ซานและหลี่หรูอี้ก็ทำได้เพียงหยุดงานในมือแล้วไปคุยธุรกิจกับพวกเขา
ผู้ดูแลเหลาอาหารจากอำเภอฉางผิงกล่าวเข้าประเด็นทันที “เหลาอาหารของข้า้าซื้อเต้าหู้จากบ้านท่านสามพันชั่งและฟองเต้าหู้สิบห้าชั่งต่อวัน”
เต้าหู้สามพันชั่งนำไปทำเต้าหู้ผัดและน้ำแกงเต้าหู้ออกมาได้ห้าสิบกว่าที่ ฟองเต้าหู้สิบห้าชั่งรวมกับหัวไชเท้าและต้นหอม สามารถทำผัดฟองเต้าหู้และฟองเต้าหู้คลุกเย็นออกมาได้ยี่สิบที่
ในเหลาอาหารกำไรของฟองเต้าหู้จะได้มากกว่าเต้าหู้ แต่ผู้ที่สั่งอาหารจากเต้าหู้มีมากกว่าผู้ที่สั่งอาหารที่ทำจากฟองเต้าหู้ ดังนั้นเหลาอาหารจึงสั่งเต้าหู้มากกว่าฟองเต้าหู้
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้