โหยวเสี่ยวโม่เหลียวกลับมาดู ทังฝานกับลั่วเฉิงหยวนเดินกลับมาพร้อมกัน
พอพวกเขาออกมา คนที่รอดูก็ออกันเข้าไปทันที มีบ้างที่ยืนกอดอกดูนิ่งๆ อยากรู้ว่าเขตอาคมนั้นถูกสะกดเรียบร้อยหรือยัง เพราะมันเกี่ยวเนื่องถึงแดน์วิมาน ทุกคนจึงใส่ใจเื่นี้มากกว่า
คนที่พูดขึ้นคือทังฝาน เขาทำท่าให้ทุกคนสงบลง
ส่วนลั่วเฉิงหยวน สีหน้าออกไปทางซีดขาว ไม่รู้เพราะเจออะไรข้างในมา หรือว่ามีอาการาเ็อยู่แล้ว ลั่วซูเหอที่อยู่ด้านข้างรีบออกไปพยุงเขา เพราะทุกคนต่างจดจ่ออยู่ที่ทังฝาน ดังนั้นจึงมีคนส่วนน้อยที่สังเกตเห็นอาการาเ็ของเขา
ทังฝานมองเงาของลั่วเฉิงหยวนแวบหนึ่ง แววตานิ่งขรึม คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขานั้นรู้ชัดแจ้ง แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะดีในการหงายไพ่
“ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ เขตอาคมถูกสะกดเรียบร้อย แต่ทุกครั้งนั้นส่งเข้าได้ทีละแค่สิบคน ต่อไปพวกเ้าจงเอาหินคุ้มกันออกมา แล้วเข้าไปดงงูหลามปีศาจ พร้อมกับข้าและเ้าสำนักลั่ว จำไว้ว่าอย่าเดินไปเรื่อย ไม่งั้นเกิดเื่ก็ต้องรับผิดชอบเอง”
เมื่อสิ้นเสียง ก็เริ่มจับกลุ่มกัน แบ่งเป็สิบคนต่อหินคุ้มกันหนึ่งก้อน
หินคุ้มกันที่พูดถึง เป็หินขาวชนิดหนึ่ง สามารถแ่งป้องกันที่อิงตามขนาดเล็กใหญ่ของมัน และช่วยต้านอากาศพิษได้ ไม่ใช่ของวิเศษล้ำค่าอะไร แต่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว ขนาดประมาณกำปั้นเล็กใหญ่ พลังของมันสามารถอยู่ได้ราวครึ่งชั่วยาม ดังนั้นราคาก็ไม่ได้ถูกมาก
โหยวเสี่ยวโม่ไม่มีหินคุ้มกัน แต่หลิงเซียวมี
หลิงเซียวได้สืบมาก่อนหน้านี้ แต่หินคุ้มกันที่เขามีอยู่คือหินที่ทังฝานให้มานานแล้ว
คนของทัพพิภพรวมแล้วมีแปดคน บวกกับหลิงเซียวและโหยวเสี่ยวโม่ก็ครบพอดี แต่ขงเหวินไม่ได้เรียกโหยวเสี่ยวโม่ไป เรียกเพียงกลุ่มฟางเฉินเล่อ ถือหินคุ้มกันแล้วเดินตามทังฝานเข้าไป
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้คาดหวังว่าขงเหวินจะเรียกเขาไปด้วย
ขณะที่พวกเขาเดินไป หลิงเซียวก็โอบไหล่เขา ยิ้มแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก พวกเราก็ไปกันเถอะ” อีกมือหนึ่งถือหินคุ้มกันไว้
หินคุ้มกันในมือเขาก้อนนี้ขนาดไม่เล็ก สามารถอยู่ได้ราวหนึ่งชั่วยาม ตอนนั้นทังฝานเป็คนให้เขา หากทังฝานรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็เช่นนี้ เดาว่าคงไม่มอบหินคุ้มกันก้อนนี้ให้กับหลิงเซียว
นี่สินะ ที่เรียกว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
สองคนใช้หินคุ้มกันอันใหญ่ขนาดนี้ เห็นแล้วรู้สึกว่าสิ้นเปลือง ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจคนไม่น้อย
นักฝึกตนสันโดษพวกนั้นมีสิบคน แต่หินที่พวกเขาใช้เล็กกว่าของหลิงเซียวกว่าเท่าตัว พลังข้างในคงอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม อีกทั้งเนื่องจากพวกเขาไม่ได้ลงแรงอะไรั้แ่แรก จึงน่าจะเป็กลุ่มสุดท้ายที่เข้าไป
พวกเขาเดินอยู่ถัดจากหลิงเซียวและโหยวเสี่ยวโม่ เมื่อเห็นทั้งสองก็รู้สึกอิจฉาตาร้อน
โหยวเสี่ยวโม่กวาดตาดู เห็นพวกเขาพอดี เห็นชายร่างใหญ่สิบคนเบียดกันใช้หินก้อนเดียว มีหลายคนที่จ้องพวกเขาอย่างไม่พอใจ จนเขารู้สึกเกร็ง
เมื่อหลิงเซียวเห็นภาพนี้ ยกมุมปากยิ้มแล้วพูดกับจอมยุทธ์ที่ถือหินคุ้มกันไว้ “ข้าจะแลกหินคุ้มกันกับท่าน แล้วท่านลองเล่าสถานการณ์ของแดน์วิมานให้พวกข้าฟัง ท่านเห็นเช่นไร?”
พูดจบ เขารีบหันไปมองหน้าปรึกษาคนที่เหลือ ราวกับว่าแปลกใจกับคำพูดที่เขาพูดออกมา
โหยวเสี่ยวโม่ก็แปลกใจ เงยหน้ามองหลิงเซียวอย่างประหลาดใจ อีกฝ่ายหันมากะพริบตาใส่เขา
แม้การทำดีกับผู้อื่นโดยไม่มีสาเหตุล้วนมีความนัยแอบแฝง แต่หลิงเซียวก็พูดออกมาอย่างชัดเจน คิดกลับกันก็คือเอาข้อมูลมาแลกเปลี่ยน ซึ่งนี่ทำลายกำแพงป้องกันของพวกเขาลง อีกทั้งหลิงเซียวคือคนของสำนักเทียนซิน คงไม่น่าเล่นแง่กับพวกเขาต่อหน้าผู้คนมากมาย
คิดเช่นนี้แล้ว เขาก็หันไปตกลงกับคนอื่นๆ แล้วแลกหินคุ้มกันกับหลิงเซียว เมื่อถือหินคุ้มกันก้อนใหญ่ จอมยุทธ์คนนั้นก็รับรู้ได้ถึงพลังมากมายในนั้น คราวนี้ก็ไม่ต้องห่วงว่าพลังจะไม่พอใช้แล้ว
แม้จะมีนักฝึกตนพลังชั้นิญญาในกลุ่มหลายคน ไม่ต้องกังวลเื่พลังคุ้มกันที่ไม่เพียงพอแล้วจะโดนพิษ แต่ถึงยังไงมันก็ส่งผลต่อพลังต่อสู้ของพวกเขา ครั้นเมื่อเข้าสู่แดน์วิมานจะทำให้พวกเขาเสี่ยงอันตรายมากขึ้น ดังนั้นการใช้ข้อมูลแลกกับหินคุ้มกัน พวกเขาก็ยินยอมแต่โดยดี
จากนั้น นักฝึกตนสันโดษผู้นั้นก็บอกข้อมูลที่เขารู้ออกมา ข้อมูลบางอย่างคือสิ่งที่เขาเจอมากับตัว บางอย่างก็สืบรู้มา รวมกันแล้ว หลิงเซียวก็ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มาไม่น้อย
โหยวเสี่ยวโม่ไม่คิดว่าจะทำเช่นนี้ได้ด้วย รู้สึกนับถือหลิงเซียวมาก ดวงตาคู่โตเลื่อมเป็ประกาย ใบหน้าจ้องมองหลิงเซียวด้วยความชื่นชม
ไม่นานนักพวกเขาก็ไปถึงจุดที่ตั้งที่เปิดม่านมิติ
หุบเขาเล็กๆ อันมืดมิด ในนั้นหนาวเย็นสะท้าน ลมเย็นโชยมากระทบผิวเป็ระลอก คนที่พลังต่ำถึงกับทนไม่ไหวจามออกมา ในป่ามีเงางูหลามปีศาจที่ยังไม่เปิดปราณปัญญาหลายตัวนอนขดตัวอยู่
เมื่อเห็นพวกเขา มีบางคนใจสั่นไหว นี่มันว่าที่งูหลามปีศาจขั้นเก้าเชียวนา แต่ใจเต้นก็ส่วนใจเต้น แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปจับพวกมัน
เขตอาคมอยู่เหนือทางเข้าหุบเขา ้ามีค่ายกลส่งตัวที่ทำจากหินขาวลอยตั้งอยู่ ค่ายกลส่งตัวนี้ทังฝานกับลั่วเฉิงหยวนเป็คนร่ายขึ้นมา เพราะเวลาไม่เอื้ออำนวยให้พวกเขาตั้งค่ายกลส่งตัวขนาดใหญ่ที่ขนส่งคนได้จำนวนห้าสิบคน ดังนั้นจึงตั้งค่ายกลขนาดเล็กอย่างง่ายไว้
บนค่ายกลส่งตัวนั้นมีลวดลายไม่เป็ระเบียบ ขนาดประมาณสิบคนยืนได้ รอบทิศนั้นมีหินปราณวางล้อมเป็วงอยู่ห้าก้อน
ทังฝานยืนอยู่หน้าค่ายกลส่งตัว หันกลับมาพูดต่อหน้าผู้คนอย่างขึงขัง “ก่อนที่จะเริ่มส่งตัว มีจุดนึงที่ข้าขอพูดให้กระจ่าง เขตอาคมแดน์วิมานเปิดนานสุดได้เพียงหนึ่งเดือน หลังจากนั้นมันจะปิดตัวลงเอง หากไม่อยากถูกขังอยู่ในนั้นไปตลอด จำเป็ต้องออกมายังจุดส่งตัว ตอนนี้เริ่มการส่งตัวได้”
ทังฝานเงียบ ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ แต่เขาแค่ทำตามกระบวนการ
เนื่องจากคนที่ออกแรงคือทังฝานและลั่วเฉิงหยวน ดังนั้นจึงลงมือส่งคนของทั้งสองสำนักก่อน รอบแรกนั้นมีคนและม้าอย่างละครึ่ง ระหว่างสำนักเทียนซินและสำนักชิงเฉิง
คนส่วนมากคิดว่าทังฝานคงส่งหลิงเซียวไปก่อน แต่ไม่คาดคิดว่า เขากลับเรียกตัวศิษย์ของเซียวหลงซึ่งมีพวกเหลยจวี้สามคนกับนักหลอมยาคือพวกทังอวิ๋นฉีอีกสองคน เนื่องจากนักหลอมยานั้นไม่มีพลังต่อสู้ ดังนั้นต้องมีนักฝึกตนไปด้วย
พวกหลักแหลมบางคนเห็นภาพนี้ สายตาฉายแววประหลาดใจราวกับเห็นความผิดปกติบางอย่าง
ส่วนสำนักชิงเฉิงนั้นตามที่คาดคือให้ลั่วซูเหอไปเปิดทางก่อน เขาเองก็พานักหลอมยาไปด้วยสองคน คนที่เขาพาไปด้วยทั้งที เห็นทีคงเป็นักหลอมยาที่มีความสามารถทีเดียว
คนที่ถูกส่งตัวเข้าไปก่อนสามารถเลือกที่จะอยู่รอ หรืออาจพาคนไปค้นหาของล้ำค่าก่อน แต่คนจากสำนักเดียวกันส่วนมากเลือกที่จะไปก่อน เพราะการเข้าไปก่อนก็สามารถค้นหาของล้ำค่าได้ก่อน เป็โอกาสที่พลาดไม่ได้ ดังนั้นคนที่ถูกส่งเข้าไปชุดแรกมักเป็พวกที่มีความสามารถสูง
ฝีมือของเหลยจวี้นั้นไม่เลว แต่เทียบกับหลิงเซียวแล้วยังห่างชั้นเยอะ คนส่วนใหญ่จึงคิดว่าเป็หลิงเซียว
ทังอวิ๋นฉีเองก็คิดเช่นนี้ เมื่อไม่ได้ยินพ่อตัวเองขานชื่อเซียวเกอ ดวงตาก็เบิกกว้าง กัดฟันกรอด แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะรู้ว่าพ่อคงไม่ยอมแน่
เหลยจวี้ยืนอยู่ตรงค่ายกลส่งตัว ท่าทางโอ้อวดจ้องมายังหลิงเซียว สายตาเต็มไปด้วยความท้าทาย
ถึงกระนั้นหลิงเซียวก็ไม่ได้สนใจมองพวกเขาแต่อย่างใด ท่าทางคุยกับกลุ่มนักฝึกตนสันโดษอย่างออกรส และไม่มีท่าทีไม่พอใจเพราะไม่ได้ไปเป็กลุ่มแรกแม้แต่น้อย ราวกับจะส่งตัวเข้าไปตอนไหนก็ไม่เป็ปัญหา
เหลยจวี้หรี่ตามองอย่างเคืองโกรธพร้อมกับกำหมัดแน่น สาบานในใจว่าต้องมีสักวันที่เขาจะทำให้ ‘หลินเซียว’ เห็นดี ให้เขารู้ว่า เขาต่างหากที่เป็ศิษย์ที่มีความสามารถที่สุดในสำนักเทียนซิน
ทังฝานกับลั่วเฉิงหยวนเปิดการทำงานของค่ายกลส่งตัวในเวลาอันรวดเร็ว พวกเหลยจวี้และลั่วซูเหอก็ถูกส่งตัวเข้าไป
คนกลุ่มที่สองในที่สุดก็มีหลิงเซียว คงเพราะไม่อยากทำให้ชัดเจนเกินไป ทังฝานจึงขานชื่อหลิงเซียว แต่ไม่ได้ขานชื่อโหยวเสี่ยวโม่
หลิงเซียวก็ไม่ได้เอะใจ พร้อมลากโหยวเสี่ยวโม่ไปด้วยกัน
“อาจารย์ ให้ข้าไปพร้อมกับศิษย์น้องเล็กเถอะ ยังไงข้าก็เป็คนพาเขามา อาจารย์อาขงก็บอกแล้วว่าให้ข้าดูแลความปลอดภัยของเขา” หลิงเซียวยืนหน้าทังฝาน เอ่ยยิ้มกริ่ม ราวกับไม่ได้สนใจแม้แต่นิดว่าทังฝานจะปฏิเสธหรือไม่
ทังฝานปรายหางตามอง สายตาคาดเดาไม่ถูกมองไปที่โหยวเสี่ยวโม่กับหลิงเซียว เอ่ยน้ำเสียงเรียบ “หากเป็คำพูดของอาจารย์อาขง ก็เข้าไปเถอะ”
“ขอบพระคุณอาจารย์!” หลิงเซียวราวกับไม่เห็นท่าทีไม่พอใจของเขา พยักหน้าแล้วพาโหยวเสี่ยวโม่ไปยืนบนค่ายกลส่งตัว
ขณะที่ส่งตัว โหยวเสี่ยวโม่เห็นขงเหวินใบหน้ามืดมน
ถูกหลิงเซียวมาใช้เป็ข้ออ้าง อาจารย์ของเขาท่านนี้คงไม่พอใจแน่
แต่หากไม่พูดเช่นนี้ ทังฝานก็คงไม่ยินยอมง่ายดายเช่นนี้ ไม่แน่ด้วยความโมโห อาจจะไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไปด้วยซ้ำ เหตุการณ์เช่นนี้ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาได้ยินมาจากหยางอี ว่าเคยเกิดเื่ราวแบบนี้มาครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
แสงสีขาวส่องประกายวาบ คนที่ยืนอยู่บนค่ายกลส่งตัวก็หายวับไป ม่านมิติเหนือหัวก็สั่นคลอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้