‘เพล้ง’ เสียงแตกกระจายของเครื่องเคลือบที่ร่วงลงบนพื้นในกลางดึกที่เงียบสงัด เสียงจึงดังแสบแก้วหูเป็พิเศษ
“บนลำคอของเ้างอกสมองหมูขึ้นมาหรือ? ถึงได้ทำเื่โง่บัดซบเช่นนี้? คุณหนูของครอบครัวขุนนาง เ้ากล้าลักพาตัวมาตามอำเภอใจได้อย่างไร? เ้าเห็นว่าเื้ัของคนเขาเป็กระดาษปะหน้าต่างประตูงั้นหรือ?”
เสียงเย็นเยียบของนายใหญ่สกุลจ้าว จ้าวเจ๋อเหยี่ยนดังสะท้อนอยู่ภายในห้อง
จ้าวเจ๋อเหิงหดลำคอลง ก้มหน้าอย่างหงุดหงิดใจ “ไม่ใช่ว่าข้าเห็นสตรีผู้นั้นหน้าตางดงามหรือ วันนั้นท่านบอกว่า้าหาสตรีหน้าตางดงามผู้หนึ่งส่งไปไว้ข้างกายองค์ชายสาม ตอนนี้ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ พอข้าเห็นนางเข้าก็รู้สึกว่านางเหมาะสมดี พี่ใหญ่ ท่านน่ะไม่ได้เห็น สตรีผู้นั้นหน้าตางดงามจริงๆ องค์ชายสามเห็นแล้วต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน”
“…” จ้าวเจ๋อเหยี่ยนมองเขาอย่างเส้นดำเต็มศีรษะ เ้าโง่นี่ต้องเป็มารดาของเขาสอนให้โง่แน่ๆ “ความหมายของข้าคือซื้อม้าผอมหยางโจว [1] หรือโสเภณีที่ยังไม่เคยรับแขกในซ่องนางโลม ผู้ใดให้เ้าไปจับตัวคนบนถนนมา”
หากผู้ที่จับตัวมาเป็เด็กสาวของครอบครัวธรรมดาก็ว่าไปอย่าง แต่กลับไปจับคุณหนูของครอบครัวขุนนางมาเสียนี่ น้องโง่ผู้นี้เห็นว่าชีวิตสุขสบายเกินไปใช่หรือไม่?
จ้าวเจ๋อเหยี่ยนหรี่ดวงตาลงครึ่งหนึ่งแล้วจ้องเขาอย่างเย็นเยียบ เ้าหมอนี่ความสามารถที่จะทำให้งานสำเร็จมีไม่พอ แต่ความสามารถที่จะทำลายงานมีอยู่เหลือเฟือนัก
“…ข้า ข้าคิดไม่ถึงเช่นกันว่านางจะเป็คุณหนูจากครอบครัวขุนนาง ตอนนั้น แม้แต่สาวใช้ก็ไม่พาติดตามมาด้วย นางเดินอยู่บนถนนคนเดียว หากไม่จับคนกลับมา ข้าล้วนรู้สึกละอายกับตัวเองนัก อีกอย่างตอนข้าจับคนมาเห็นอยู่ว่าระมัดระวังมากแท้ๆ ไม่รู้เช่นกันว่าพวกเขาตามมาเจอได้อย่างไร ซวยจริงๆ” จ้าวเจ๋อเหิงบ่นพึมพำ คนงามที่อยู่ในกำมือบินหายไปแล้ว ทั้งยังถูกตำหนิหนึ่งยกอีกด้วย เขาจึงอารมณ์ไม่ดีจนถึงขีดสุด
จ้าวเจ๋อเหยี่ยนโมโหจนหนังตากระตุกถี่ยิบ เขาต้องส่งเ้าโง่นี่กลับบ้านเก่าไป เ้าโง่บัดซบนี่ไม่รู้ว่าก่อเื่วุ่นวายให้เขามานับเท่าไรแล้ว
“พรุ่งนี้เ้าเก็บข้าวของกลับตระกูลไปอยู่เป็เพื่อนมารดาเ้าเสีย ไม่มีความเห็นจากข้า ไม่อนุญาตให้ออกมาอีก”
“มีสิทธิ์อะไร?!” จ้าวเจ๋อเหิงโวยวายขึ้นมาทันที ถลึงตาสบกับจ้าวเจ๋อเหยี่ยนด้วยความโกรธเคือง
“เหอะ! มีสิทธิ์อะไรงั้นหรือ? เ้าว่ามาสิ เ้ามาถึงอำเภอฉีหลินนี่ได้หนึ่งปี ก่อเื่วุ่นวายขึ้นเท่าไรแล้ว? ยังจะกล้าเอ่ยว่ามีสิทธิ์อะไรอีก? เ้าจะไม่กลับก็ได้เช่นกัน นับั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไป ประตูใหญ่จวนสกุลจ้าวเ้าก็ไม่ต้องออกไปอีกแล้ว” จ้าวเจ๋อเหยี่ยนสีหน้ามืดครึ้มประดุจสีหมึกก็ไม่ปาน กวาดสายตาเย็นะเืผ่านเขารอบหนึ่ง
“…” จ้าวเจ๋อเหิงตัวสั่นทันที ท่าทีแข็งกร้าวเมื่อครู่อ่อนลง ขณะที่เขาคิดจะแก้ตัวขึ้นสักสองสามประโยค
เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ชื่อซานเข้ามารายงาน
“เรียนคุณชาย สตรีที่ถูกคุณชายสามจับตัวมาเป็หลานสาวของเจิ้นกั๋วกงขอรับ เมื่อเช้าตรู่วันนี้ เจิ้นกั๋วกงยังตั้งใจมาส่งนางออกจากประตูเจิ้งหยางเป็พิเศษด้วย ผู้ตรวจการศาลาว่าการแห่งเมืองหลวงฟางติ่งวิ่งมาถึงหน้าประตูกำแพงเมืองด้วยตัวเอง และทำการพูดคุยกับเจิ้นกั๋วกงขึ้น ในตอนนั้นเป็เจิ้นกั๋วกงเอ่ยออกจากปากตัวเองว่า ‘ส่งหลานสาวกลับบ้านเกิด’ ด้วยขอรับ”
เจิ้นกั๋วกงเซียวฉิง? สีหน้าของจ้าวเจ๋อเหยี่ยนเปลี่ยนไปบิดเบี้ยวอย่างสุดขีด เป็ครอบครัวของเจิ้นกั๋วกงงั้นหรือ
ทั่วทั้งต้าสยา ผู้ที่องค์ชายต่างก็ไม่กล้าล่วงเกินอย่างง่ายดายก็คือเจิ้นกั๋วกงเซียวฉิงผู้นี้ น้องชายผู้โง่บัดซบของเขา จับตัวหลานสาวของเจิ้นกั๋วกงเข้าแล้ว!
แววตาของเขาคมประดุจมีด กวาดมองไปทางจ้าวเจ๋อเหิงอย่างเย็นะเืกว่าเดิม
ใบหน้าของจ้าวเจ๋อเหิงเปลี่ยนไปบิดเบี้ยวเช่นกัน เจิ้นกั๋วกงดูแลการป้องกันรักษาเมืองหลวงและบริเวณโดยรอบทั่วทั้งหมด เหมือนเช่นอำเภอฉีหลินที่อยู่ติดกับเมืองหลวงนี้ แทบจะอยู่ภายในขอบเขตการดูแลของเจิ้นกั๋วกงทั้งหมด
ขอแค่เขาออกคำสั่งลงมาก็สามารถทำให้พวกเขาทั้งจวนสกุลจ้าวมอดสลายกลายเป็ขี้เถ้า แม้แต่เศษเสี้ยวก็ไม่เหลือได้
จ้าวเจ๋อเหิงเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำตานองหน้า “…พี่ พี่ใหญ่ นี่จะทำอย่างไรดี”
“เหอะ ตอนนี้เ้ารู้จักหวาดกลัวแล้วเช่นนั้นหรือ? ก่อนก่อเื่ทำไมไม่ใช้สมองให้มาก? จะให้ทำอย่างไร? ล่วงเกินเจิ้นกั๋วกงเข้าเช่นนี้ เ้าว่าจะทำอย่างไรได้?” ใบหน้าจ้าวเจ๋อเหยี่ยนมืดครึ้มอย่างไม่มีสิ่งใดจะเปรียบเทียบได้
กว่าจะตั้งรกรากอยู่บริเวณเมืองหลวงได้ไม่ง่ายเลย และเพิ่งจะมีความเกี่ยวข้องกับองค์ชายสามได้ ดูท่าตอนนี้ต้องย้ายที่อยู่อีกแล้ว
‘ปัง’
โต๊ะสี่เหลี่ยมไม้จันทน์แกะสลักลายัไร้เขา ถูกจ้าวเจ๋อเหยี่ยนทุบจนแตกกระจุยในชั่วพริบตาเดียว
จ้าวเจ๋อเหิงสะดุ้งใขึ้นฉับพลัน ก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม
...ยามรุ่งอรุณฟ้าวันใหม่ เจินจูเปิดเปลือกตาตื่นขึ้น นอกห้องมีเสียงคนพูดคุยกันเป็พักๆ แว่วเข้ามา
นางขยับกาย รู้สึกทันทีว่าส่วนของต้นขาปวดเมื่อยเล็กน้อย
เมื่อวานวิ่งเต็มกำลังสุดความสามารถอยู่พักหนึ่ง ทำให้นางที่ร่างกายแข็งแรงมาตลอดก็รู้สึกปวดเมื่อยอยู่เช่นกัน
นางลุกขึ้นนั่งและพลิกกายลงจากเตียง รื้อเสื้อกันหนาวในห่อผ้าออกมาสวมโดยไม่ได้ใส่ใจ แล้วม้วนผมขึ้นเป็มวยแบบที่ทำในยามปกติ
นางดึงประตูเปิดออก เห็นประตูห้องข้างโถงฝั่งตรงข้ามเปิดออกกว้าง และมีคนเข้าออกในห้องไปมาไม่น้อย
หลิวอี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างั้แ่เช้า พอเห็นนางออกมาจากประตูจึงรีบเดินเข้ามา
“แม่นางหู เข้าไปรอด้านในก่อนขอรับ ข้าจะให้คนยกน้ำร้อนไปให้ท่านใช้ล้างหน้าแปรงฟัน”
ไอ๊หยา น่าจะพาสาวใช้มาให้แม่นางหูด้วย ช่างไม่สะดวกเลยจริงๆ คุณชายกำชับเขาไว้เป็พิเศษว่าให้ดูแลสองพี่น้องสกุลหูกลับบ้านอย่างสุดความสามารถ แต่เขาเป็บุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง ให้ปรนนิบัติคุณชายหูยังพอเป็ไปได้ ทว่าให้ปรนนิบัติแม่นางท่านนี้จะนับว่าเป็ไปได้ได้อย่างไร
เจินจูไม่ได้สนใจนัก นางมีมือมีเท้าใช้ชีวิตเป็อิสระ จะ้าคนมาคอยปรนนิบัติเสียที่ไหน
จนกระทั่งลูกจ้างยกน้ำร้อนมาให้ หลังจากนางได้ล้างหน้าทำความสะอาดแล้ว อันดับแรกจึงไปที่ห้องของผิงอันที่อยู่ด้านข้าง
เด็กหนุ่มนอนมาหนึ่งคืน สีหน้าจึงดีขึ้นไม่น้อย
แค่ไม่เหมาะให้ขยับตัวมากเท่านั้น
เจินจูอุ้มเสี่ยวเฮยและเสี่ยวฮุยมาอยู่เป็เพื่อนเขา คาดว่าพวกนางคงต้องอยู่อำเภอฉีหลินอีกสักพัก เื่ของจวนสกุลจ้าวจำเป็ต้องตรวจสอบให้ลึกซึ้งกระจ่างแจ้ง าแของหลัวจิ่งก็ต้องใช้เวลาให้แผลหายสนิทด้วย
นางยื่นศีรษะออกมานอกห้อง เห็นห้องพักด้านตรงข้ามยังคงมีคนเข้าออกไม่หยุด อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ าแลึกขนาดนั้น เช้าตรู่เพียงนี้ก็ต้องจัดการเื่มากมายแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะทานข้าวเช้าแล้วหรือยัง ช่างไม่ทำให้คนสบายใจได้เลยจริงๆ
ขณะที่หลิวอี้ยกอาหารเช้าเข้ามา เจินจูจึงพลั้งปากเอ่ยถามเขาขึ้นว่าหลัวจิ่งที่อยู่ห้องตรงข้ามทานข้าวแล้วหรือยัง
หลิวอี้อ้ำๆ อึ้งๆ ผ่านไปพักหนึ่งจึงตอบออกมาว่ายังขอรับ
“ท่านช่วยไปเรียกเขามาให้ข้าที บอกว่าข้ามีธุระกับเขา”
เจินจูขุ่นเคืองอยู่ในใจ คนาเ็ผู้หนึ่งไม่ทานข้าวดูแลร่างกายให้ดี จะรักษาอาการาเ็ให้หายได้อย่างไร มีเื่อะไรก็ให้รอทานข้าวก่อนแล้วค่อยคุยไม่ได้หรือ
“…ขอรับ” หลิวอี้ตอบรับและจากไป
“ท่านพี่ เมื่อคืนเสี่ยวเฮยสุดยอดยิ่งนัก มันเห็นข้าถูกชายผู้นั้นทำให้าเ็ พอเขาหันหลังให้มันก็กางเล็บใส่ทันที ข่วนจนเขาเอาแต่ร้องโอดครวญไม่หยุด ฮิๆ” ผิงอันอุ้มเสี่ยวเฮยขึ้นและลูบขนให้มัน ดวงตาเกิดประกายวิบวับ
“…อีกเดี๋ยว เ้าห้ามใช้มือจับหมั่นโถวนะ”
“…ทราบแล้วขอรับ”
ขณะที่หลัวจิ่งประคองต้นแขนซ้ายเข้ามา สีหน้าดีขึ้นกว่าเมื่อวานไม่เท่าไร
เมื่อคืนนอนก็ดึก วันนี้ก็ตื่นขึ้นมาจัดการเื่ราวแต่เช้าอีก อาหารเช้าล้วนยังไม่ได้ทาน สีหน้าดีขึ้นได้สิถึงจะแปลก เจินจูค้อนขวับใส่เขาหนึ่งทีพร้อมกับเดินเข้าไปประคองเขามานั่ง
“เ้าเป็ผู้าเ็อยู่ ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็ต้องทานข้าวเช้านะ”
นางสั่งโจ๊กมาสองถ้วยเป็พิเศษ หนึ่งถ้วยให้ผิงอัน อีกหนึ่งถ้วยวางลงตรงหน้าเขา
“รีบทาน ทานเสร็จอีกสักพักยังต้องทานยาอีก”
“อื้ม” หลัวจิ่งหันไปยิ้มอย่างอ่อนโยนให้นาง ภายใต้เสียงบ่นไม่หยุดของนาง เขาได้ทานโจ๊กเนื้อไปหนึ่งถ้วย ซาลาเปาเนื้อสองลูก ไข่ทอดหนึ่งใบและน้ำเต้าหู้หนึ่งชาม
ลูบท้องตรงกระเพาะที่นูนขึ้นมา แล้วมองไปยังหมั่นโถวที่เจินจูส่งมาอีก หลัวจิ่งรีบส่ายหน้าทันที... นี่เป็จังหวะให้เลี้ยงหมูงั้นหรือ
เจินจูเห็นดังนั้นก็ไม่ได้บังคับ เพราะอีกเดี๋ยวยังต้องทานยา ให้ทานอิ่มเกินไปคงไม่ค่อยดีเท่าไร
“พวกเราต้องพักอยู่อำเภอฉีหลินสองวันหรือ?”
ร่างกายของหลัวจิ่งและผิงอันเห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะให้ขี่ม้าเดินทางไกล หากให้นั่งรถม้าก็อาจสั่นะเืจนาแปริออกมาได้
เฮ้อ เดิมคิดว่าจะได้เดินทางกลับอย่างสบายๆ ได้รวดเร็ว ความปรารถนาพังครืนหมดแล้ว
หากพาผู้าเ็ไปด้วยสองคน ย่อมเร่งเดินทางเร็วเกินไปไม่ได้อย่างแน่นอน
แม้นางจะสามารถใช้น้ำแร่จิติญญาช่วยบำรุงรักษาร่างกายให้พวกเขาได้ แต่ก็ไม่สามารถทำอย่างเปิดเผยเกินไปได้ใช่หรือไม่ล่ะ
“เซี่ยวเว่ยเหยาไปตรวจสอบความจริงของสองพี่น้องเมื่อคืนแล้ว พวกเรารออยู่ที่นี่ไปพลางๆ ก่อน คนแซ่จ้าวผู้นั้นบอกว่าวันนี้จะมากล่าวขอขมาแสดงความสำนึกผิด รอพวกเขามาแล้วเ้าห้ามออกมานะ ข้าจะไปรับหน้าเอง” พี่น้องสกุลจ้าวดูแล้วน่าจะเป็คนในยุทธภพ อุบายของชาวยุทธ์มักมีออกมาไม่ขาด พวกเขาเองก็ต้องเตรียมการให้พร้อม รับมืออย่างระมัดระวัง
“อันตรายไหม? ข้าให้เสี่ยวเฮยคอยช่วยอยู่ด้านข้างดีหรือไม่?”
เมื่อวานนางยังไม่ได้ตอบโต้อะไรก็ถูกคนทุบสลบไปแล้ว ฝีมือของคนในยุทธภพเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาจะเทียบเคียงได้จริงๆ แม้แต่หลัวจิ่งกับหลัวสือซานเองก็ได้รับาเ็เช่นกัน หากคุยกันไม่ลงรอยแล้วต่อสู้กันขึ้นมา เสี่ยวเฮยยังพอช่วยอะไรได้บ้างนิดหน่อย
“ไม่เป็ไร เมื่อวานเป็ข้าที่ประมาทเกินไป ไม่ได้พากำลังคนไปให้พอ หากวันนี้พวกเขากล้าลงมืออีก รับรองได้ว่าไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกลับไปแน่นอน” หลัวจิ่งสีหน้าเย็นเยียบขึ้น
เจินจูเม้มปากและลังเลอยู่พักหนึ่ง “เมื่อวานล้วนโทษข้า หากไม่ใช่ข้าให้เ้าออกไปข้างนอกเป็เพื่อน คงไม่เกิดเื่ไม่ดีเช่นนี้ขึ้น”
ที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้พวกเขาได้รับาเ็ นางรู้สึกผิดจากใจจริง
“เหลวไหล แค่ออกไปซื้อของข้างนอกทำไมเป็ความผิดของเ้าได้ หรือวันข้างหน้าเ้าไม่ต้องออกไปไหนแล้วงั้นหรือ? กล่าวขึ้นมาแล้วต้องโทษข้าที่ประมาทเกินไป ควรมาส่งเ้ากลับโรงเตี๊ยมก่อนแล้วค่อยไปไล่ตามหัวขโมยนั่น” หลัวจิ่งตำหนิตัวเองขึ้นเช่นกัน ทำให้นางได้รับความตื่นใเช่นนี้ เป็สิ่งที่เขาไม่อยากเห็นเลยจริงๆ
ผิงอันมองสองคนที่ต่างฝ่ายต่างยึดความผิดมาไว้ที่ตัวเอง อดกลุ้มใจขึ้นไม่ได้
“ต้องโทษคนเลวเ่าั้ คิดจะนำท่านพี่ของข้าไปเป็ของขวัญมอบให้คน จิตใจต่ำช้าเกินไปแล้ว ควรส่งพวกเขาให้ทางการและจับขังเข้าคุกเสียให้หมด”
เขากล่าวอย่างแค้นเคืองต่อความไม่เป็ธรรม
หลัวจิ่งพยักหน้าพร้อมกับกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง “ใช่ ล้วนโทษพวกไร้ยางอายจิตใจไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลเ่าั้ เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ไอ้คนระยำเ่าั้ก็ใช้สตรีมาเป็เครื่องมือหาผลประโยชน์ใส่ตัว เข้าหาผู้มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมาก รอให้เซี่ยวเว่ยเหยาสืบความจริงของพวกเขาให้แน่ชัดแล้ว พวกเราค่อยหารือกันว่าจะจัดการพวกเขาเช่นไรดี”
เจินจูเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ การกระทำชั่วร้ายของคนที่กล้าจับคนกลางถนนอย่างกล้าหาญโดยไม่สนใจสิ่งใดเช่นนี้ หากไม่ลงโทษอย่างเฉียบขาดสักรอบ วันข้างหน้าอาจมีสตรีที่พบเข้ากับสถานการณ์แบบนางมากยิ่งขึ้นก็ได้ อีกทั้งสตรีเ่าั้ก็ไม่แน่ว่าจะโชคดีเหมือนเช่นนาง ที่สามารถหนีรอดการกักขังของพวกเขามาได้ด้วย
เหยาเฮ่าหลานกลับมาถึงโรงเตี๊ยมในอีกครึ่งชั่วยามต่อมา
“การลงบันทึกไว้ที่ศาลาว่าการอำเภอคือ ครอบครัวสกุลจ้าวโยกย้ายมาจากทางใต้ กำลังทรัพย์ในบ้านมั่งคั่ง กระทำเื่ราวอย่างใจโตใจกว้าง ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอำเภอฉีหลินมาเป็เวลาสามถึงสี่ปีแล้ว ครอบครัวพวกเขาไปมาหาสู่กับครอบครัวละแวกใกล้เคียงน้อยมาก ชื่อเสียงค่อนข้างโดดเด่นยิ่งนักโดยเฉพาะคุณชายสามจ้าวเจ๋อเหิงของจวนสกุลจ้าว มีอุปนิสัยหยิ่งยโส วางตัวไม่แยแสผู้อื่น วางอำนาจบาตรใหญ่ และเคยต่อยตีกับแขกที่หอนางโลมซึ่งเป็อริกับเขาจนเกือบตาย ต่อมาได้ชดใช้เงินจำนวนก้อนโตให้กับคนเขา ทั้งยังชกต่อยกับคนในบ่อนพนันอีกด้วย าเ็จนพิการกันไปเป็แถบ จากนั้นก็จ่ายเงินก้อนโตจัดการปัญหาเหมือนเช่นเดิม อืม... แล้วเขายังสร้างปัญหาขึ้นอีกไม่น้อยด้วย หลังจากสถานการณ์สิ้นสุดลงล้วนใช้เงินชดใช้เื่ราวทั้งหมดแบบเดียวกันขอรับ”
ที่แท้ก็เป็คนฉลาดในการก่อเื่นี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่สายตาของพี่ใหญ่เขาล้วนมีแต่ความไม่ชอบใจออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
“ทางจวนสกุลจ้าวมีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง?” เมื่อคืนพวกเขาทิ้งกำลังคนไว้เฝ้าติดตามสถานการณ์อยู่ประตูหลังของจวนสกุลจ้าว
“ไม่มีเลยขอรับ” เหยาเฮ่าหลานส่ายหน้า “คนที่ไปเปลี่ยนเวรกล่าวว่า ั้แ่เช้าตรู่มาก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดทั้งสิ้น”
ไม่มีการเคลื่อนไหวั้แ่เช้าตรู่? หลัวจิ่งสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“…แย่แล้ว พวกเขาต้องมีประตูข้างบริเวณอื่นแน่ ลานบ้านใหญ่โตเพียงนั้นจะไม่มีการเคลื่อนไหวเข้าออกของคนรับใช้ได้อย่างไร เซี่ยวเว่ยเหยา ท่านให้คนไปสำรวจดูที่สูงทีว่าพวกเขาหนีไปแล้วใช่หรือไม่?”
เหยาเฮ่าหลานก็คิดถึงความเป็ไปได้นี้เช่นกัน เขารีบไปด้วยตัวเองหนึ่งรอบ
ผ่านไปหนึ่งเค่อเขากลับมาด้วยสีหน้าย่ำแย่
“…หนีไปทั้งหมดแล้ว ทั่วทั้งลานบ้านว่างเปล่า แม้แต่หนูสักตัวก็ไม่มี ด้านข้างอีกฝั่งมีประตูเล็กที่อำพรางไว้อย่างดี ตรงนั้นมีรอยเท้าใหม่อยู่นอกประตูเต็มไปหมดเลยขอรับ”
“…”
หลัวจิ่งคิดถึงใบหน้าเย็นเยียบแข็งกระด้างเมื่อคืนขึ้น ผู้แซ่จ้าวที่อายุมากสุดได้เอ่ยวาจาโป้ปดทว่าลืมตาใสซื่ออย่างเป็ธรรมชาติ ช่างเป็ไอ้จิ้งจอกจอมเ้าเล่ห์จริงๆ ฐานที่มั่นใหญ่โตเพียงนี้ คิดจะทิ้งก็ทิ้งไปเสียทั้งหมดได้
เชิงอรรถ
[1] ม้าผอมหยางโจว โดย ‘ม้าผอม’ มาจากคำที่ใช้ดูถูกสตรี เด็กสาวบ้านยากจนที่ถูกนำมาขายในราคาถูกให้แก่หญิงชรารับซื้อ และถูกขายต่อในราคาที่สูงตอนโตแล้ว หญิงสาวเหล่านี้จะถูกขายให้คนมีเงินและจะถูกทารุณกรรมอย่างไรก็ได้ ดังนั้นคำว่าม้าผอมจึงถูกเรียกแทนสตรีเหล่านี้ ส่วนหยางโจว คือที่ตั้งถิ่นฐานของพ่อค้าขายเกลือที่ร่ำรวยในสมัยก่อน พ่อค้าเหล่านี้ร่ำรวยมีชีวิตหรูหราเสมือนราชวงศ์ ดังนั้นม้าผอมหยางโจวจึงมาจากคนร่ำรวยในเมืองหยางโจวที่รับซื้อม้าผอม (สตรี) มาเลี้ยง