ยังมีเวลาก่อนที่ตลาดผีจะเปิดอีกไม่กี่วัน พวกเขาจึงไม่รีบร้อนที่จะใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้าย เช่าม้าสองสามตัวไปอย่างเชื่องช้า มุ่งหน้าไปยังสำนักป้าเทียนบนยอดเขาฉีหนาน ทิวทัศน์ตลอดทางทำให้เพลิดเพลิน แม้หลี่อวิ๋นหังจะไม่พูดไม่จา แต่อี้จื่ออีกลับเป็มือดีในการสร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวา รวมกับไป้เอ๋อร์น้อยที่ตื่นเต้นตลอดเวลา คนคารมดีทั้งสองนี้ คนหนึ่งหยอกล้อคนหนึ่งสนับสนุน ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวราวกับมีคำพูดไม่รู้จบ สถานการณ์นี้กลับเหมือนการท่องเขาลำเนาไพรอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าเจียงเฉิงเยว่ไม่สนใจ เขาแสร้งทำเป็ไม่สนใจเป็ครั้งคราว บางครั้งก็เหลือบมองหลี่อวิ๋นหังแวบหนึ่ง โดยไม่รอให้อีกฝ่ายหันกลับมามองก็รีบละสายตา จ้องมองทิวทัศน์ที่ห่างไกลอีกครั้ง
ในตอนแรกหลิวเฟิงหาข้ออ้างที่จะให้เขาไปหาหลี่อวิ๋นหัง ด้วยถ้อยคำที่น่าฟังอย่างขอให้เขาคอยช่วยเหลือซ่างเซียนแห่งแดน์ผู้นี้เป็ ‘ทาสรับใช้เหมือนวัวและม้า’ ทว่าหลายวันมานี้กลับดูเหมือนว่าหลี่อวิ๋นหังจะคอยตามเขา โดยเขาพูดอะไรก็ทำอย่างนั้น และยังเป็ผู้ช่วยเหลือ...
ทว่า...หากพูดถึงการช่วยเหลือ เจียงเฉิงเยว่มีคำขอที่ช่างไร้ความรู้สึก ้าจะขอร้อง...ทว่ากลับลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า
เขามองไป้เอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกับอี้จื่ออีแวบหนึ่ง มองศิษย์ตัวน้อยชี้ไปที่เขาเขียวน้ำใสจากระยะไกลพลางพูดคุยเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมท้องถิ่นที่แตกต่างกันอย่างตื่นเต้นด้วยความกังวล
อีกไม่กี่วัน...จะถึง่คืนเดือนดับแล้ว
ครั้งนี้ไม่มีการคุ้มครองของหยกคู่เพลิงสุวรรณอีกต่อไป เขาควรทำอย่างไรกับเด็กคนนี้ดี?
หากหลี่อวิ๋นหังยินยอมลงมือ ใช้การที่เขาผ่านด่านเคราะห์ถึงสองครั้ง ด้วยพลังิญญาที่เลื่อนขั้นเป็ซ่างเซียน ณ ตอนนี้แล้ว เพื่อสร้างตราประทับลงบนร่างของไป้เอ๋อร์สำหรับซ่อนชะตาหยินขั้นสุดของเด็กคนนี้ก็นับว่าไม่ใช่เื่ยากอะไร ทว่า…หากพูดในด้านมโนธรรมแล้วไม่นับว่าเป็เื่ที่ง่ายดายนัก
เจียงเฉิงเยว่รู้ว่าหากหลี่อวิ๋นหังลงมือสร้างตราประทับิญญาเพื่อปกปิดดวงชะตาของเด็กคนนี้จริง เช่นนั้นเคราะห์กรรมมากมายที่เดิมทีเป็ชะตาที่ควรประสบของเด็กคนนี้จะสะท้อนไปยังหลี่อวิ๋นหังด้วย แม้ว่าไม่อาจทำร้ายเขาได้ ทว่าสุดท้ายแล้วก็เป็เื่ที่น่าลำบากใจยิ่ง
เื่แบบนี้...จะเปิดปากขอร้องได้อย่างไรเล่า? โดยเฉพาะเขากับอาหังคนปัจจุบันที่เปรียบได้ว่าเพิ่งรู้จักกันไม่นาน
สถานการณ์ที่ดีที่สุดคือขอหยกคู่เพลิงสุวรรณอีกครึ่งหนึ่งจากอาหังที่เหลือไว้ให้เขาในตอนแรก แม้ว่าหยกคู่เพลิงสุวรรณจะล้ำค่า ทว่าก็เหมือนกับที่ไป๋เจ๋อจวินฉวีซูพูดเอาไว้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่แทนที่ไม่ได้ แม้แต่ไป๋เจ๋อจวินที่เป็ผู้ฝึกฝนธรรมดาและยังไม่ได้เลื่อนขั้น ยังไม่คิดนำอาวุธวิเศษชิ้นนี้ไว้ในสายตา...หลี่อวิ๋นหังที่เป็ซ่างเซียน คงมองอาวุธวิเศษระดับนี้เป็ต้นไม้ใบหญ้ายิ่งกว่าสิถึงจะถูก
ปัญหาเดียวคือ ของชิ้นนี้เป็สิ่งที่เสด็จพี่เหลือไว้ให้เขาในยามนั้น หากพูดในมุมของอีกฝ่ายแล้วจะมีความหมายพิเศษมากเพียงใดกัน? อีกทั้งผ่านไปกว่าร้อยห้าสิบปี วัตถุชิ้นนี้ยังอยู่ในมือของเขาหรือไม่ก็เป็อีกเื่หนึ่ง ทว่าไม่ว่าอย่างไรอาจต้องลองทดสอบดู
เมื่อนึกถึงตรงนี้ วันนี้เจียงเฉิงเยว่จึงถือโอกาสที่อีกสองคนไม่ได้สนใจ แอบเรียกไป้เอ๋อร์มาข้างหน้า ไป้เอ๋อร์วิ่งมาอย่างตื่นเต้น หลังเห็นท่าทางของเจียงเฉิงเยว่ที่ก้มตัวลงและมือป้องปากอย่าง้าจะกระซิบ จึงยื่นหูมาอย่างเชื่อฟัง เจียงเฉิงเยว่กำชับว่าต้องทำให้เขาทำเื่เช่นนี้มากมาย
ไป้เอ๋อร์เผยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นมองมาที่เขา “ท่านอาจารย์...ต้องทำเช่นนี้จริงหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้ว “เ้าไม่เชื่อฟังคำพูดของอาจารย์แล้วหรือ?”
ไป้เอ๋อร์รีบบอก “ไม่ ไม่ ไม่! อาจารย์วางใจเถิด...ท่านคอยดูให้ดีเล่า!”
เจียงเฉิงเยว่ยกยิ้ม
ดังนั้น่เย็นของวันนี้ พวกเขามาถึงป่าบนูเาอย่างเร่งรีบและไม่หยุดพัก เมื่อเห็นว่าคืนนี้ต้องพักกลางแจ้ง ไป้เอ๋อร์ลงจากหลังม้า กำลังเดินอยู่ดีๆ ฉับพลันทั้งร่างกลับอ่อนแรง เขาใช้ท่าทางที่ล่องลอยล้มลงไป ในเวลาเดียวกันก็ะโเสียงดัง “ไอ้หยา!”
เจียงเฉิงเยว่เข้าสู่การแสดงอย่างรวดเร็ว รีบพลิกตัวจากบนที่นั่งและบินพุ่งไปหา ยื่นมือไปที่ลำคอเพื่อดึงร่างเล็กของเขาจากพื้นมาไว้ในอ้อมแขน กล่าวด้วยความใ “ไป้เอ๋อร์ เ้าเป็อะไรไป!”
อี้จื่ออีที่อยู่อีกด้านหนึ่งใกับทั้งสองคนจนดวงตาเบิกโพลง เขาขี่ม้าด้วยกันกับไป้เอ๋อร์ ยามเห็นคนตัวเล็กล้มลงแทบเท้าก็ยอมรับว่าตนเองละเลยหน้าที่และปกป้องไว้ไม่ได้ จากนั้นจึงพุ่งตามเจียงเฉิงเยว่ไปโดยทำอะไรไม่ถูกด้วยความตระหนก “นี่...นี่...นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ไป้เอ๋อร์น้อย เ้าเป็อะไร?!”
หลี่อวิ๋นหังที่นั่งอยู่บนมาเดินเยื้องย่างทอดน่องมาอย่างสบายๆ เขาพลิกตัวจากหลังม้าอย่างเชื่องช้า มองดูการแสดงครั้งใหญ่อยู่ด้านข้างด้วยสายตาเ็า
ไป้เอ๋อร์น้อยขมวดคิ้วพลางจับอกเสื้อด้วยใบหน้าเ็ป จากนั้นกัดริมฝีปากบอก “ท่านอาจารย์! หน้าอกของข้าเจ็บ! ข้าหนาว...ท่านอาจารย์...ข้าจะตายหรือไม่?!”
อี้จื่ออีรีบกล่าว “เ้าเด็กน้อยกำลังพูดเื่ไร้สาระอะไร จะเป็ไปได้อย่างไรเล่า ท่านว่าใช่หรือไม่...ฉิงชางจวิน...ฉิงชางจวิน?” เขาหันไปมองเจียงเฉิงเยว่ แต่กลับเห็นใบหน้าจริงจัง อีกฝ่ายยกมือขวาขึ้นในอากาศแล้วนับนิ้ว ทันใดนั้นมองเขาแล้วถาม “วันนี้วันที่เท่าไร?”
อี้จื่ออีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “ข้าจำไม่ได้...อืม...ดูเหมือนว่าจะวันที่ยี่สิบห้า”
เจียงเฉิงเยว่ตบต้นขาของตน ขมวดคิ้วพร้อมถอนหายใจลึก “เฮ้อ...”
อี้จื่ออีรีบถาม “ฉิงชางจวิน...เกิดอะไรขึ้น?!”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ย “ใกล้จะถึงคืนเดือนดับแล้ว พลังหยินชั่วร้ายจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น...ไป้เอ๋อร์มีชะตาหยินขั้นสูงสุด ตัวเขาเองไม่มีการบ่มเพาะ อายุก็ยังน้อย...เฮ้อ...” ดูเหมือนว่าเขาจะคิดอะไรได้ จึงหันหน้าไปมองที่โล่งข้างๆ แล้วเอ่ยด้วยความโกรธแค้น “น่าเสียดาย! ที่ถูกไอ้สารเลวโยวหยวนแย่งหยกคู่เพลิงสุวรรณของข้าไป! ตอนนี้ไม่มีหยกคู่เพลิงสุวรรณบนตัวไป้เอ๋อร์แล้ว เกรงว่า...”
เดิมทีไป้เอ๋อร์กำลังแสดงละคร ทว่าหลังจากได้ยินความจริงที่อาจารย์พูดจึงใกลัวขึ้นมาจริงๆ ทั้งร่างสั่นสะท้าน น้ำเสียงเริ่มสั่น “อาจารย์...ท่านอาจารย์...เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี ข้าจะถูกผีกัดกินจริงหรือไม่? ท่านอาจารย์…ท่านอาจารย์ ข้าไม่อยาก ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ช่วยข้าด้วย!”
เจียงเฉิงเยว่เห็นเขาตื่นตระหนกจนหน้าซีด พลันรู้สึกทนไม่ได้ชั่วขณะ จากนั้นโอบกอดร่างที่สั่นเทาของเขาไว้ในอ้อมแขน ลูบเบาๆ อย่างปลอบโยน “ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร มีอาจารย์อยู่ด้วยทั้งคน”
“ฮือๆๆ” เดิมทีไป้เอ๋อร์้ายื่นมือไปโอบรอบลำคอของอาจารย์ด้วยความเคยชิน ทันใดนั้นพลันรู้สึกหนาวเย็นไปทั่วร่าง เขาเงยหน้าเผชิญหน้ากับใบหน้าไร้อารมณ์ของหลี่อวิ๋นหัง กลับทำให้เขารู้สึก...อันตรายตามสัญชาตญาณ ไป้เอ๋อร์กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ฝ่ามือที่กำลังจะยกขึ้นนิ่งค้างอยู่ที่ครึ่งเอวของเจียงเฉิงเยว่
แน่นอนว่าเจียงเฉิงเยว่ไม่รู้สึกถึงเงาคมดาบที่ว่านี้ ขณะเดียวกันยังคงแสร้งถอนหายใจ “เฮ้อ...น่าเสียดาย...”
อี้จื่ออีคือมือดีในการตอบสนองอย่างมีไหวพริบ เขารีบเอ่ย “ฉิงชางจวิน เสียดายอะไรหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ปล่อยไป้เอ๋อร์แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แสร้งทำเป็ครุ่นคิดอยู่นาน ลอบนึกถึงความทรงจำอันห่างไกล “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาว่า สมบัติประจำตระกูลจิ้งจอกเพลิง เดิมทีเป็ของคู่กัน ช่างน่าเสียดาย...”
ดวงตาของอี้จื่ออีเป็ประกาย
เจียงเฉิงเยว่กล่าวต่อ “น่าเสียดาย ยามที่ข้าร่างนี้ในตอนแรก บนร่างมีเพียงครึ่งเดียว ไม่รู้ว่าอีกครึ่งหนึ่งหายไปในที่แห่งใด...หากข้ารู้ ต่อให้เป็เขาคมกระบี่หรือทะเลเพลิง[1] ก็จะไปเอามันมาให้จงได้!”
อี้จื่ออีกำลังจะพูดต่อกลับรู้สึกว่าบรรยากาศในที่นี้ไม่ถูกต้อง มีจุดที่ความกดอากาศต่ำกระจุกตัว เขาเห็นใบหน้าที่เคยเฉยเมยตามปกติของหลี่อวิ๋นหัง เวลานี้ถูกแทนที่ด้วยความโกรธเคืองเป็อย่างยิ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อยแล้วพูดติดอ่าง “ซ่าง ซ่างเซียน...”
เจียงเฉิงเยว่ไม่กล้าลอบมองสีหน้าของหลี่อวิ๋นหัง เมื่อคิดดูแล้วอาจดูไม่ดี แต่หลังจากคำพูดของเขาจบลง ในที่แห่งนี้กลับเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงเป็เวลานาน หากเขาไม่หันไปมองสักแวบหนึ่งคงจะดูน่าสงสัย จึงทำได้เพียงหันศีรษะไปมองหลี่อวิ๋นหัง
ใบหน้าของหลี่อวิ๋นหังเ็าราวกับน้ำแข็ง
เจียงเฉิงเยว่อดไม่ได้ที่จะตะลึง ราวกับว่าหัวใจถูกบิดอย่างโเี้ด้วยฝ่ามือ เ็ปอย่างรวดร้าว หายใจไม่ทั่วท้องไปชั่วขณะ แต่เขากลับต้องกัดฟันและแสร้งทำเป็ไม่รู้เื่ราวต่อไป เขากลืนน้ำลาย กระแอมในลำคอ “เซียนจวิน...”
หลี่อวิ๋นหังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งเงียบ เกิดเป็ความเงียบงันที่น่าแปลกประหลาดในที่แห่งนี้ ทันใดนั้นเสียงร้องอย่างโกรธเกรี้ยวของนกทำให้อีกสามคนใจนตัวสั่นพร้อมกัน ด้านหลังหลี่อวิ๋นหังปรากฏปีกขนาดใหญ่คู่หนึ่งออกมา มันดูเลือนราง หลังจากนั้นปีกนั้นกระพือสองครั้ง กลายเป็ไป๋หลวนยืนอยู่บนไหล่ซ้าย หลี่อวิ๋นหังยื่นมือขวาไปลูบหงอนของไป๋หลวนตัวนั้นเบาๆ ครู่หนึ่งราวกับเป็การปลอบใจ ไป๋หลวนกลายเป็แหวนหยกขาวอย่างเชื่อฟัง พันรอบปลายนิ้วของเขาอย่างอ่อนโยน
หลี่อวิ๋นหังเดินมาหาพวกเขาด้วยใบหน้ามืดมน เจียงเฉิงเยว่ที่กอดไป้เอ๋อร์เป็ก้อนกลมอดไม่ได้ที่จะกอดให้แน่นขึ้น ทั้งสองคนตัวสั่นงันงกขณะที่หลี่อวิ๋นหังเดินเข้ามาแล้วมองลงมาที่พวกเขา ฉับพลัน เจียงเฉิงเยว่มีความสงสัยผุดขึ้นมาในใจ รู้สึกว่าอีกฝ่ายอาจฟาดฝ่ามือเพื่อสับทั้งเขาและไป้เอ๋อร์เป็ชิ้นๆ ในวินาทีต่อมา
ผลลัพธ์คือพวกเขาเพียงสบตากันเป็เวลานาน แววตาที่เ็าคู่นั้นมืดมนราวกับจะก่อตัวเป็น้ำแข็ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง อีกฝ่ายเดินผ่านเจียงเฉิงเยว่ไปด้านข้าง ชายเสื้อสีขาวเรียบง่ายที่ยกขึ้นปัดผ่านร่างที่นั่งยองอยู่ของเขาส่งกลิ่นหอมจางๆ เจียงเฉิงเยว่คุ้นเคยกับ...กลิ่นหอมเล็กน้อยที่ติดบนร่างของหลี่อวิ๋นหังเป็อย่างยิ่ง
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงเป็เวลานาน จึงนึกได้แล้วหันศีรษะไปมองแผ่นหลังของเขาที่ค่อยๆ จากไปไกล
อี้จื่ออีไม่รู้อะไรจึงร้อนใจเป็อย่างมาก ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปยังสถานที่ที่หลี่อวิ๋นหังเดินออกไปพลางร้องเรียกอย่างเศร้าโศก “ฝ่า ฝ่าา...” แล้วหันกลับมามองเจียงเฉิงเยว่ “ฉิงชางจวิน...นี่ๆๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เสวียนเหยาซ่างเซียนดูเหมือนจะโกรธอยู่กระมัง?”
เจียงเฉิงเยว่ปล่อยไป้เอ๋อร์พร้อมลูบศีรษะอย่างเงียบงัน นั่งลงบนพื้น เขายังคงตะลึง อี้จื่ออีกังวลอยู่ด้านข้างจนแทบะโโลดเต้น เดินวนรอบเจียงเฉิงเยว่สองครั้ง สุดท้ายอดไม่ได้ที่จะนั่งยองลง “ฉิงชางจวิน จะปล่อยให้ซ่างเซียนจากไปเช่นนี้จริงหรือ? เขาจะ...ไม่กลับมาแล้วหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่มองไปยังทิศทางที่หลี่อวิ๋นหังจากไป ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง อีกฝ่ายไม่กลับมาจนกระทั่งม่านราตรีมาเยือน
เจียงเฉิงเยว่ทนไม่ไหวอีกต่อไป ไม่สนใจแล้วว่าจะเป็การเปิดเผยหรือไม่ เขารีบไล่ตาม ขณะเดียวกันก็บอกกับอี้จื่ออี “ท่านกับไป้เอ๋อร์รออยู่ที่นี่ ข้าจะไปดู”
“เดี๋ยวก่อน...ฉิงชางจวิน!”
โดยไม่สนใจเสียงเรียกที่ดังลั่นของอี้จื่ออีซึ่งอยู่ด้านหลังอีกต่อไป เจียงเฉิงเยว่รีบเดินราวกับบิน
เขาไล่ตามออกไปไกลมาก เดินวนในป่าเป็เวลานาน หันศีรษะจนวิงเวียนกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของหลี่อวิ๋นหัง ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เจียงเฉิงเยว่รู้สึกหวาดผวา เขาจะไม่หลงทางอีกใช่หรือไม่?! นึกถึงครั้งก่อนที่หลงทางในป่าบนเขาฉีหวนและพบกับหลี่อวิ๋นหันยามที่สิ้นหวัง ผลลัพธ์คือ...เขาจำหลี่อวิ๋นหังที่โตแล้วไม่ทันเวลา!
หากมองจากมุมมองของหลี่อวิ๋นหัง ในคราแรกควรมีอารมณ์อย่างไรเมื่อพบว่าหลังจากฟื้นจากการสลบไสล ญาติที่เคยพึ่งพาอาศัยกันอยู่เคียงข้างหายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นได้พบอีกครั้งอย่างไม่คาดคิดหลังจากเฝ้ารอมาร้อยห้าสิบเอ็ดปี...ผลลัพธ์คือคนผู้นั้นกลับไม่รู้จักตนเองแม้แต่น้อย?! สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือภายหลังเขาพบว่า คนผู้นั้นที่เหมือนกับเสด็จพี่ของตนเองอย่างชัดเจน ภายในกลับเป็คนแปลกหน้าโดยสมบูรณ์ เสด็จพี่ที่เขาเคารพรักจะไม่กลับมาอีกอย่างแท้จริง!
การรอคอยมากว่าร้อยปี สิ่งที่ได้มากลับเป็ความยินดีที่ว่างเปล่า
ยามหลี่อวิ๋นหังพบเขาในคราแรกย่อมรู้ว่าเขากำลังร่างของหลี่อวิ๋นเฉิน เดิมทีเตรียมจะบังคับให้ิญญาของเขาออกมา สุดท้ายเป็เพราะผนึกประทับิญญาที่น่าแปลกประหลาดบนร่างของเขาจึงหยุดมือ เมื่อลองคิดดูอีกครา หากเขากับหลี่อวิ๋นหังสลับที่กัน คาดว่าคงต้องดึงิญญาของตนเองออกมาแยกิญญา และเก็บรักษาร่างเสด็จพี่ของตนให้ดี
หลี่อวิ๋นหังเองคงทำใจไม่ได้เช่นกันกระมัง?
แม้ว่าภายในจะเป็คนแปลกหน้าโดยสมบูรณ์ ทว่ากลับทำให้เขาได้เห็นใบหน้าของเสด็จพี่ที่เคารพรักอีกครั้ง ยังสามารถเผยอารมณ์สุขและเศร้าออกมาได้อีกครา จากการจับพลัดจับผลูเพราะคดีโซ่วหลิง อีกฝ่ายถูกบังคับให้อยู่ร่วมกับไอ้สารเลวไร้หัวใจที่ร่างเสด็จพี่ของตนทั้งวันทั้งคืน
เขาควรมีความรู้สึกเช่นไรยามเผชิญหน้ากับตนเอง? ทุกวันได้เห็นใบหน้าที่เคยคุ้นเคยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทว่าเป็คนแปลกหน้าโดยสมบูรณ์
“เฮ้อ...” เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจ รู้สึกว่าการกระทำเมื่อครู่ของตนเองอาจโหดร้ายกับหลี่อวิ๋นหังเกินไป ท้ายที่สุดแล้วหยกคู่เพลิงสุวรรณเป็เพียงความโหยหาเดียวที่เสด็จพี่ของเขาทิ้งไว้ให้
เขาพิงโคนต้นไม้ใหญ่อย่างเงียบงัน จากนั้นไถลลงมาบนพื้น เตรียมจะพักผ่อนสักครู่ ทันใดนั้นกลับมีเสียงนกร้องที่คุ้นเคยมาขัดจังหวะความคิด ชั่วพริบตาเห็นไป๋หลวนเกาะอยู่บนกิ่งไม้ที่อยู่ไม่ไกลตรงหน้า รอบตัวมีแสงรัศมีสว่างวาบ ร่างเลือนรางมองลงมาที่เขาด้วยหางตา แม้แต่แววตายังเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและเย็นเยียบ เมื่อเห็นสีหน้าของมันกลับทำให้เจียงเฉิงเยว่นึกถึงหลี่อวิ๋นหังในวัยเยาว์ขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ ยามนั้นก็เป็เช่นนี้ เวลานี้กลับเห็นได้น้อยครั้งที่อีกฝ่ายจะเผยท่าทีดูถูกอย่างชัดเจน
หรือว่าอาวุธวิเศษกับเ้านายมีส่วนที่แบ่งปันกันเล็กน้อยอย่างที่คาดคิดไว้?
เจียงเฉิงเยว่ยิ้มให้มัน “เฮ้ เสี่ยวไป๋ มานี่สิ...” ฉิงชางจวินที่ตั้งตนว่าคุ้นเคยตั้งชื่อเล่นให้มัน
แน่นอนว่าไป๋หลวนไม่สนใจเขา เพียงเอียงคอจ้องเขาต่อไปอย่างเฉยชาโดยที่ไม่เข้าใจนัก
เจียงเฉิงเยว่ถาม “เสี่ยวไป๋ เ้านายของเ้าเล่า?”
ไป๋หลวนกระพือปีกบนกิ่งไม้ จากนั้นบินออกมาผ่านเหนือศีรษะของเจียงเฉิงเยว่ ดวงตาของเจียงเฉิงเยว่มองไปตามที่มันเคลื่อนไหว จึงเห็นหลี่อวิ๋นหังในชุดสีขาวนั่งอยู่บนยอดของต้นไม้ใหญ่ที่พิงอยู่ แขนเสื้อพลิ้วไหวผ่านสายลมยามค่ำคืน พระจันทร์ที่ขึ้นคล้ายกับอาบไปทั้งร่างของเขาด้วยชั้นแสงที่เปล่งประกาย ชั่วพริบตานั้นกลับไม่ใช่แค่ดูเหมือนเซียน ทว่าอีกฝ่ายคือเทพเซียนอย่างแท้จริงในเวลานี้
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกอับอายเล็กน้อย เขาลุกขึ้นปัดต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉาที่ติดบนร่างกาย เตรียมจะใช้พลังิญญาในการเคลื่อนไหว จู่ๆ กลับนึกขึ้นได้ว่าต่อไปอาจต้องใช้เพื่อไปยังยอดเขาฉีหนาน จึงตัดสินใจจะประหยัดพลังิญญาไว้ไม่ใช้สิ้นเปลือง พร้อมโอบลำต้นเพื่อปีนขึ้นไปอย่างทุลักทุเล
ความจริงแล้วแม้ว่าเจียงเฉิงเยว่จะไม่ได้ใช้พลังิญญา สุดท้ายก็เป็ผู้ฝึกฝนธรรมดา การปีนต้นไม้จึงเป็เื่ที่เล็กน้อยนัก เมื่อคิดว่าคนที่อยู่เหนือศีรษะผู้นั้นกำลังโกรธ เขาจึงจงใจปีนขึ้นไปถึงความสูงของหลี่อวิ๋นหังด้วยความลำบากอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม จากนั้นเหยียบกิ่งไม้ไปทางอีกฝ่ายอย่างโงนเงน
เกือบจะถึงตรงหน้าของอีกฝ่าย เท้าพลันเอียง จุดศูนย์ถ่วงไม่มั่นคงเกือบจะตกลงไป หลี่อวิ๋นหังรีบประคองเขาด้วยสายตาและฝ่ามือที่ว่องไว เจียงเฉิงเยว่ค่อนข้างอับอายเล็กน้อยจึงเอ่ยขอบคุณเสียงเบา นั่งลงอย่างงกเงิ่นไม่ใกล้ไม่ไกลจากหลี่อวิ๋นหัง ความจริงแล้ว่สุดท้ายเขาไม่ได้เสแสร้ง ใบหน้าจึงแดงเล็กน้อยด้วยความลำบากใจอย่างควบคุมไม่ได้ หลี่อวิ๋นหังค่อยๆ ถอนมือโดยละสายตาไปไม่มองเขาอีก ยังคงจ้องมองดวงดาวบนท้องฟ้า
เจียงเฉิงเยว่เหลือบมองอีกฝ่ายหลายครั้ง ้าจะขอโทษทว่าไม่รู้จะพูดอย่างไร ดังนั้นจึงละสายตา ยังคงคิดคำพูดอยู่ในใจเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาหันไปมองอีกฝ่ายเป็ครั้งที่เท่าไรก็ไม่แน่ชัด กลับพบว่าหลี่อวิ๋นหังมองมาทางเขาอย่างเ็าั้แ่เมื่อไรไม่รู้ ดวงตาทั้งคู่สบกัน เจียงเฉิงเยว่ตื่นตระหนก ลืมประโยคที่ท่องจำเมื่อครู่ทั้งหมดโดยที่ไม่ทันจะได้เปิดปาก
หลี่อวิ๋นหัง “เ้า้าจะพูดอะไร?”
เจียงเฉิงเยว่ครุ่นคิดเป็เวลานานจึงนึกขึ้นได้ จึงกระแอมในลำคอแล้วกล่าว “เป็...เป็เช่นนี้ ซ่างเซียน...ข้านั้น...เกิดในตลาด ต่อมา...หลังความตาย ภูตผีร้ายเ่าั้ในปรโลก เซียนจวินก็รู้ใช่หรือไม่ว่าพวกมันช่างหยาบคายและดุร้ายยามมีชีวิต จึงพูดจาไม่ได้เื่เท่าไรนัก ดังนั้น เอ่อ หากเมื่อครู่ในถ้อยคำของข้ามีจุดที่ล่วงเกินหรือทำให้ขุ่นเคือง หวังว่าเซียนจวิน...อย่าได้คิดเล็กคิดน้อย...”
หลี่อวิ๋นหังแค่นเสียงเ็า ไม่ตอบทว่าถามกลับ “ฉิงชางจวินไม่รู้จริงหรือว่าเมื่อครู่ทำให้ข้าขุ่นเคืองในเื่ใด?”
เจียงเฉิงเยว่ตะลึง
ทั้งสองฝ่ายสบตากัน ดวงตาที่เ็าทว่างดงามของหลี่อวิ๋นหัง เวลานี้ราวกับจะสะท้อนแสงดาวเต็มท้องฟ้า เหมือนกับว่ามีอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในนั้น เริ่มควบคุมไม่ได้ทันทีที่ผ่านค่าวิกฤติ สายตาเช่นนี้ที่มองเขาเหมือนกับตะขอที่เกี่ยวในใจของเจียงเฉิงเยว่อย่างรุนแรง ความขมขื่นและความเ็ปพลันแผ่กระจาย ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ...นี่เป็สีหน้าที่ควรปรากฏยามจ้องมองคนแปลกหน้าจริงหรือ?
อย่างไรก็ตาม ผ่านไปเพียงชั่วขณะเขากลับเข้าใจในทันที ดวงตาคู่นั้น ใบหน้าที่ดวงตาคู่นั้นมองเห็นในเวลานี้...ไม่ใช่ของตนเอง ทว่าเป็หลี่อวิ๋นเฉิน
------------------------
[1] เขาคมกระบี่หรือทะเลเพลิง เป็สำนวน หมายถึง สถานที่ที่อันตรายและยากลำบาก
