ก่อนที่เจิ้งหยวนจะกลับมา เจิ้งเจวียนก็ทำอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว เธอต้มโจ๊กมันเทศบดหม้อหนึ่ง และอุ่นเจียนปิ่ง [1] ไม่กี่แผ่น ทานคู่กับผักดองที่เจิ้งหยวนหมักก่อนหน้านี้พอกินเป็มื้อเย็นโดยไม่ทำกับข้าวเพิ่ม
แต่เจิ้งหยวนมองแล้วคิดว่ายังไม่พอ เฉินชุ่ยอวิ๋นกับเจิ้งเทียนิเป็คนป่วย คนป่วยจำเป็ต้องทานอาหารดีๆ เธอจึงเด็ดมะเขือเทศสองสามลูกจากสวนผักหลังบ้านมาทำไข่ผัดมะเขือเทศ แล้วเทน้ำมันมะกอกจากในมิติเล็กน้อยใช้ผัดมะเขือม่วงและถั่วแขก จากนั้นจึงค่อยต้มโจ๊กข้าวฟ่าง ใส่พุทราจีนลงไปจำนวนหนึ่งอีกหม้อ ก่อนอุ่นเจียนปิ่งแป้งหมี่หลายแผ่น แม้ไม่มีเนื้อสัตว์ แต่เพียงพอสำหรับให้คนไข้หลังผ่าตัดกินบำรุงร่างกายแล้ว
เธอมองหากล่องอาหารที่เคยใช้ใส่ข้าวไปกินครั้งลงนา เนื่องจากเจิ้งเทียนิกับเฉินชุ่ยอวิ๋นพักกันคนละห้อง เลยต้องแบ่งอาหารเป็สองชุด หลังหาตะกร้ามาใส่อาหารเสร็จ เจิ้งหยวนจึงค่อยเตรียมตัวไปโรงพยาบาล
ก่อนไปยังไม่ลืมกำชับน้องชายกับน้องสาว “พวกเธออยู่บ้านเป็เด็กดีนะ แม่กับพี่ชายเราไม่เป็อะไรมากหรอก นอนโรงพยาบาลรักษาตัวไม่กี่วันก็กลับแล้ว ดูแลซิงซิงกับหนิวหนิวกันให้ดีๆ ละ ตอนกลางคืนหนิวหนิวหิวอาจต้องดื่มนมผงมอลต์ ชงให้เขาถ้วยหนึ่งนะ ถ้าซิงซิงอยากดื่มก็ชงให้เธอนิดหน่อยด้วย พวกเธอสองคนโตกันแล้ว ไม่ต้องแย่งดื่มเล่า เป็เด็กดีว่าง่ายกัน พอพี่กลับมาจากในอำเภอจะซื้อลูกอมอร่อยๆ มาให้พวกเธอแทน”
เจิ้งเทียนเลี่ยงรู้สึกเขินอายกับคำพูดของเธอ เขาเป็ลูกคนเล็กสุดในบ้าน โดนครอบครัวตามใจจนตะกละกินมาตลอด เห็นหนิวหนิวมีนมมอลต์ เลยอยากกินบ้าง แต่พอเจิ้งหยวนพูดกระตุ้นเขาว่านมมอลต์ไว้ให้เด็กน้อยฟันยังขึ้นไม่ครบดื่ม เขากินก็เท่ากับยอมรับว่าตนไม่ใช่ผู้ชาย เป็เพียงเด็กน้อย ซึ่งสำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กผู้ชายนั้นกลัวคนบอกว่ายังไม่โตที่สุด ครั้นคิดจนปลงตก เจิ้งเทียนเลี่ยงจึงไม่แย่งของกินแล้ว แถมยังรู้จักเถียงกลับด้วย “ใครชอบดื่มกัน! มีแต่เด็กๆ เท่านั้นละที่ดื่มกัน ฉันไม่ดื่มหรอก!”
เจิ้งหยวนแย้มยิ้มพลางลูบหัวเขา
“เอาละ ฉันต้องรีบไปแล้ว พ่อแม่และพี่ชายเราหิวกันอยู่ พวกเธอสี่คนอยู่บ้านระวังตัวด้วย ปิดประตูให้สนิทนะ”
เจิ้งเจวียนเป็คนขานรับแทน “เข้าใจแล้วค่ะพี่” ก่อนเว้น่อยู่ครู่หนึ่ง “นี่ พี่ วันนี้พี่ไม่กลับมาแล้วใช่ไหม?”
“ฉันต้องอยู่กับคุณแม่น่ะ”
“แล้วพ่อล่ะคะ?”
เจิ้งหยวนครุ่นคิด “ฉันไม่รู้ว่าพ่อจะเอายังไง แต่ฉันจะเกลี้ยกล่อมให้เขากลับมา ที่โรงพยาบาลอยู่คนเดียวก็พอแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะ” เธอเห็นพระอาทิตย์ค่อยๆ เลื่อนลงลับขอบฟ้าจวนเจียนจะตกดินแล้ว แต่ดีที่เวลานี้ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท “ถ้าฉันยังไม่ไปอีก ฟ้าคงมืดแล้ว”
ถนนหนทางจากชนบทถึงอำเภอยุคสมัยนี้ยังเป็ลูกรัง ไม่มีไฟริมถนน ดังนั้น หลังพระอาทิตย์ตกดิน ต่อให้มีพระจันทร์ส่องแสงสว่าง ถนนก็ยังมืดจนแยกไม่ออกว่าเป็คนหรือผีในระยะไม่ถึงเมตรอยู่ดี ยามเดินคนเดียวจึงค่อนข้างน่ากลัวเลยทีเดียว โชคดีที่เจิ้งหยวนใจกล้าและมีมิติติดตัว พบเจออันตรายใดยังมีที่ให้หลบหนี
เธอถือตะกร้ารีบรุดมาถึงโรงพยาบาล เฉินชุ่ยอวิ๋นกับเจิ้งเฉวียนกังยังไม่ได้ทานข้าว ทางเจิ้งเทียนิก็ยังไม่กินเช่นกัน เจิ้งหยวนส่งข้าวให้สองสามีภรรยาเฒ่าก่อน แล้วค่อยไปส่งให้พี่ชายเธอ
โดยรวมแล้วสภาพจิตใจเจิ้งเทียนิค่อนข้างดี แม้ว่าเจิ้งเทียนิจะขาหัก และต้องเจ็บมากแน่นอน แต่เขาไม่ได้แสดงอาการใดที่ชวนน่ากังวลใจออกมาเลย ทั้งยังสามารถพูดคุยกับหลี่ชุนเซิงได้หลายประโยค หลี่ชุนเซิงไม่ได้ไปไหน พอเจิ้งหยวนมาส่งอาหาร จึงชวนหลี่ชุนเซิงทานด้วยกัน
หลี่ชุนเซิงปฏิเสธตามมารยาท เมื่อบอกปัดไม่ได้เลยอยู่กินข้าวด้วยเสียเลย
“น้องเจิ้งหยวน เธอเป็คนทำอาหารนี้เองเหรอ?” หลี่ชุนเซิงกินไปสองสามคำ
ั์ตาพลันเปล่งประกาย รีบเอ่ยชมระรัว “รสมือเธอดีมากเลยนะ?”
เจิ้งหยวนยิ้มและโบกไม้โบกมือ “รสมือธรรมดานี่แหละค่ะ”
ชั้นสองของโรงพยาบาล สองสามีภรรยาเฒ่าแซ่เจิ้งกำลังกินข้าวอยู่เหมือนกัน สีหน้าของเฉินชุ่ยอวิ๋นดูดีขึ้นมาก เธอนั่งผ้าห่มรองหลัง และสามารถหยิบตะเกียบทานข้าวเองได้แล้ว ไข่ผัดมะเขือเทศในโถมีไข่ไก่มากกว่าครึ่ง ทำเฉินชุ่ยอวิ๋นปวดใจสุดขีด เธอถอนหายใจพลางใช้ตะเกียบเขี่ยไปมา “เฮ้อ เธอผัดไข่ใส่ไปกี่ฟองนะ พ่อ ทำไมหยวนหยวนของพวกเราถึงใช้ชีวิตไม่เป็เอาเสียเลย?”
เจิ้งเฉวียนกังคีบมะเขือม่วงเข้าปาก ไม่เอ่ยสิ่งใด
เฉินชุ่ยอวิ๋นพูดต่อว่า “คุณว่าต่อไปถ้าเธอแต่งงานแล้ว บ้านสามีเธอจะรังเกียจที่เธอใช้ชีวิตไม่เป็ไหม?” สิ้นเสียงก็ใคร่ครวญสักพัก แล้วพูดต่อ “ไม่สิ ทางสกุลเฝิงแยกบ้านกันหมด
หลี่จินจือบอกว่าพอเจี้ยนเหวินแต่งงานจะให้พวกเขาคู่ข้าวใหม่ปลามันออกไปอยู่กันเอง…นี่
พ่อ หยวนหยวนเป็อย่างนี้ จะอยู่คนเดียวได้ยังไง?”
เจิ้งเฉวียนกังขมวดคิ้วจนยู่ย่น ทำหน้าคิดหนักไม่ต่างกัน
“นี่ บอกฉันที หยวนหยวนของเราสามารถตามเข้ากองทัพได้ไหม? หากติดตามได้คงดี
ชีวิตในกองทัพต้องสุขสบายกว่าชนบทอย่างพวกเราแน่นอน”
“มีเพียงครอบครัวของทหารยศรองผู้พันเท่านั้นถึงติดตามเข้ากองทัพได้ เจี้ยนเหวินเพิ่งอายุเท่าไรเอง!” เจิ้งเฉวียนกังได้ยินเฉินชุ่ยอวิ๋นรำพึงรำพันแล้วอดคัดค้านไม่ได้
เขาเป็หัวหน้ากอง ย่อมรู้เงื่อนไขการตามเข้ากองทัพ ถึงกระนั้น
จริงอยู่ที่เขารู้กฎเข้ากองทัพเป็อย่างดี
แต่เขากลับไม่รู้ความจริงว่าเฝิงเจี้ยนเหวินขึ้นเป็รองผู้พันั้แ่ต้นปีแล้ว
แค่เฝิงเจี้ยนเหวินไม่เคยบอกคนในครอบครัวเพียงเท่านั้น
สองผู้เฒ่าสกุลเฝิงยังไม่รู้ เจิ้งเฉวียนกังยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
เฉินชุ่ยอวิ๋นครุ่นคิด ยศเรียงตามผู้หมวด ผู้กอง ผู้พัน ผู้การ และนายพล ตำแหน่งรองผู้พันถือเป็ทหารชั้นผู้ใหญ่แล้ว เจี้ยนเหวินเพิ่งอายุครบยี่สิบห้า ทำงานขยันขันแข็งอย่างไรก็ไม่น่าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงขนาดนั้นได้ภายในอายุเท่านี้ จึงอดถอนหายใจไม่ได้ “เฮ้อ งั้นต่อไปลูกสาวเราคงต้องอยู่ตัวคนเดียวน่ะสิ เธอมือเติบมากขนาดนี้จะอยู่ยังไงไหวนะ?”
เจิ้งหยวนไม่รู้ความกังวลของเฉินชุ่ยอวิ๋น หากรู้ต้องบอกเธอแน่ว่าต่อให้ติดตามกองทัพได้ อย่างไรเธอก็ไม่มีทางเข้ากองทัพด้วยอยู่แล้ว เธอยังต้องจุนเจือบ้านเดิมและต้องดูแลน้องชายกับน้องสาว สอดส่องใกล้ชิดไม่ให้พวกเขาเดินทางผิด รวมถึงแนะนำให้พวกเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัย ปัจจุบันเพิ่งปี 1973 นับดูแล้วอีกสามปีถึงจะสิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรมในปี 1976 และระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกสี่ปี หากเธอจะตามเข้ากองทัพก็ต้องรอสิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรมก่อนค่อยไป
“พ่อ ฉันพูดกับคุณอยู่นะ คุณคิดอะไรอยู่เนี่ย?” เฉินชุ่ยอวิ๋นรำพันอยู่คนเดียวยกใหญ่ก็ไม่เห็นเจิ้งเฉวียนกังตอบกลับ
เลยหยิบตะเกียบตีหลังมือเขา
เรียกให้เจิ้งเฉวียนกังหลุดจากภวังค์ เขาจึงอธิบายเื่ที่ตนเองคิดเมื่อครู่ให้ภรรยาฟัง “ฉันคิดถึงเื่ค่าผ่าตัดของเทียนิน่ะ”
“หยวนหยวนบอกจ่ายไปแล้วนี่?”
“เพราะจ่ายแล้วฉันถึงคิดน่ะสิ” เจิ้งเฉวียนกังวางตะเกียบลง ก่อน เอ่ยกับเฉินชุ่ยอวิ๋น “เธอว่าหยวนหยวนเอาเงินมาจากไหน? ค่าผ่าตัดของเทียนิไม่น้อยเลยนะ”
“ก็... ก็ยืมจากอาเธอไง?”
“เป็ไปไม่ได้ ถ้าเขารู้ว่าเธอกับเทียนิเข้าโรงพยาบาลต้องมาหาเดี๋ยวนี้แน่” เจิ้งเฉวียนกังเว้น่ครู่หนึ่งก่อนว่าต่อ “อีกอย่าง เขาอาจจะไม่มีเงินมากขนาดนั้นก็ได้” แม้ครอบครัวเจิ้งเฉวียนชางจะทำงานหาเงินกันทั้งสามีภรรยา แต่ต้องใช้เงินซื้อของทุกอย่างในอำเภอ แถมยังมีคนแก่สองคนและเด็กอีกสามคนที่บ้าน ถึงหาเงินได้มากก็ต้องจ่ายออกมาก ทำให้เก็บเงินได้ไม่เยอะนัก และต่อให้ยืมเงินได้ แต่อย่าลืมว่าเจิ้งเฉวียนชางแต่งงานแล้ว เพราะฉะนั้นเจิ้งเฉวียนกังจึงพึงตระหนักว่า น้องชายตนไม่อาจควักเงินเก็บอันน้อยนิดมาเป็ค่ารักษาพยาบาลให้เฉินชุ่ยอวิ๋นและเจิ้งเทียนิได้หรอก
ความจริงเฉินชุ่ยอวิ๋นคาดเดาไว้ในใจอยู่แล้ว เธอแอบฟันธงเสียด้วยซ้ำ ทว่าเงินก็ยืมมาแล้ว ขอเพียงสามารถช่วยลูกชายเธอได้ เธอไม่สนหรอกว่ายืมเงินมาจากใคร
เจิ้งเฉวียนกังเห็นสีหน้าฝืดเฝื่อนของภรรยา ก็รู้ว่าเธอเดาไว้แล้ว แถมการคาดเดานี้มีโอกาสเป็จริงสูงเสียด้วย สีหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็ดำคร่ำเครียด ก่อนตัดสินใจโพล่งออกมา“คงไม่ใช่ว่ายืมมาจากคนแซ่หลินนั่นใช่ไหม?”
เฉินชุ่ยอวิ๋นไม่ตอบอันใด
เจิ้งเฉวียนกังตะเบ็งเสียงด่ากราดทันที “ไอ้ลูกเต่านี่!”
“คุณว่าใครไอ้ลูกเต่า เธอเป็ลูกสาวแท้ๆ ของคุณนะ!” เจิ้งเฉวียนกังด่าเจิ้งหยวนแบบนี้
เฉินชุ่ยอวิ๋นไม่พอใจอยู่แล้ว
เธอตบโต๊ะเต็มแรงจนชามตะเกียบที่วางบนนั้นส่งเสียงดังเคร้ง “ถ้าเธอเป็ไอ้ลูกเต่า
แล้วคุณล่ะเป็อะไร!”
เจิ้งเฉวียนกังสะอึกจุกในอก ใบหน้าที่ดำทะมึนอยู่แล้วยิ่งดำขึ้นไปอีก
เชิงอรรถ
[1] เจียนปิ่ง หมายถึง แพนเค้กจีน นับเป็ขนมชนิดหนึ่ง ชิ้นกลมๆ แบนๆ ทำจากแป้งเกาเหลียง แป้งสาลีและแป้งข้าวฟ่าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้