เฝิงเจี่ยนช่วยเอากระดาษไปตากลมให้แห้ง จากนั้นเอ่ยว่า “ถ้าอย่างไรก็ทำอาหารที่พกพาง่ายขึ้นมาสักอย่างสองอย่าง วันพรุ่งนี้จะพาเ้าขึ้นเขา”
“ขึ้นเขา? ไปล่าสัตว์หรือเ้าคะ?”
ครั้นเสี่ยวหมี่ได้ยินดวงตาก็เป็ประกายทันที สีหน้าตื่นเต้นแต่ก็ยังเอ่ยอย่างกังขา “แบบนี้จะไม่เป็ไรหรือเ้าคะ หากว่าไปเจอเข้ากับสัตว์ใหญ่...”
“ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้าพลางลูบศีรษะนางเบาๆ ท่าทางรักใคร่อย่างที่สุด “หากว่าพบจิ้งจอกขาวอีก จะได้ล่ากลับมาทำเสื้อคลุมให้เ้า ที่ล่ามาก่อนหน้านั้นยังไม่พอ”
เสี่ยวหมี่พยักหน้า ไม่ใช่ว่านางชอบเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกขาวอะไรนักหรอก แต่นางตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ ั้แ่นางเข้ามาอยู่ในร่างนี้ก็เป็เวลาหนึ่งปีแล้ว แต่กลับไม่เคยขึ้นเขาเข้าป่าไปเลยสักครั้ง หนึ่งเพราะนางไม่อยากงอแงสร้างปัญหาให้ครอบครัว สองเพราะนางกลัวจะรักษาชีวิตน้อยๆ ของตนเอาไว้ไม่ได้
ยามนี้มีวีรบุรุษผู้ปราบเสืออย่างเฝิงเจี่ยนคอยปกป้อง หากยังไม่ยอมไปอีก ครั้งหน้าคงไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว
“ได้สิๆ เอาอาหารที่บ้านไปกินระหว่างทางคงจะไม่สดใหม่แล้ว ไม่สู้ข้าแบกพวกเครื่องปรุงรสไป ระหว่างทางเราก็ล่าไก่ป่าสักตัวสองตัว หากเจอแม่น้ำหรือทะเลสาบก็ตกปลาขึ้นมาย่างกิน คงอร่อยไม่น้อย"
เสี่ยวหมี่ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น แล้วจึงเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเกาเหรินเคยบอกว่า บนยอดเขามีบ่อน้ำร้อนด้วย เรียกเขามาถามให้ชัดเจนดีกว่าว่าอยู่ที่ไหน”
พูดจบ นางก็วิ่งออกไปะโเรียกเกาเหริน “เกาเหริน เกาเหริน รีบออกมาสิ หากยังแอบอยู่อีกข้าจะไม่ให้เ้ากินข้าวเย็น”
เฝิงเจี่ยนสะบัดกระดาษในมือแล้วพับอย่างเรียบร้อย วางไว้ให้เป็ระเบียบ เขารู้สึกยากจะตัดใจ อีกไม่กี่วันเขาคงต้องกลับเมืองหลวงแล้วจริงๆ ดังนั้น่นี้จึงต้องใช้เวลากับสตรีผู้เป็ที่รักให้มากหน่อย
วันนี้ตื่นมาอากาศดีไม่น้อย ลมเย็นๆ แต่ยังไม่หนาวจนถึงกับบาดิั หมอกที่บดบังยอดเขาอยู่เป็ประจำสลายไป เหมาะกับการขึ้นเขาเป็ที่สุด
เสี่ยวหมี่จัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็ใส่ตะกร้าสานใบเล็ก เฝิงเจี่ยนพับขากางเกงและแขนเสื้อขึ้น เหน็บมีดดาบไว้ข้างเอวพร้อมสะพายคันธนูไว้ข้างหลัง จากนั้นก็ยกตะกร้าสานขึ้นมาสะพายไหล่ จากนั้นคนทั้งสองก็ออกเดินทาง
ซูอีกับเกาเหรินราวกับสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ถูกทอดทิ้ง มองแผ่นหลังของทั้งสองคนด้วยแววตาน่าสงสาร มีความคิดอยากจะไล่ตามไป แต่กลับถูกผู้เฒ่าหยางดึงสายรัดเอวเอาไว้ พวกเขาขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อย
“พวกเ้าอย่าทำตัวไม่รู้ความ หลังผ่าน่เที่ยงไปเดี๋ยวพวกเขาก็กลับมาแล้ว อีกอย่างที่ห้องครัวยังมีไก่ย่างและขากระต่ายย่างอยู่ไม่ใช่หรือ?”
“อา ข้าลืมไปสนิทเลย” ไม่ผิดคาด เื่นี้สามารถดึงดูดความสนใจของเกาเหรินไปได้ในทันที แต่น่าเสียดายเมื่อไปถึงห้องครัวกลับพบว่าไม่เหลือเงาของไก่ย่างและขากระต่ายย่างอีกแล้ว
“เสวียนอี ข้าจะฆ่าเ้า”
ที่เรือนหลังใหญ่จู่ๆ ก็มีเสียงโมโหของเกาเหรินดังลั่น
พวกเสี่ยวหมี่กำลังเดินขึ้นเขาลึกเข้าไปในป่า นางราวกับแมวป่าตัวน้อยที่ถูกปล่อยออกจากกรง รู้สึกเพลิดเพลินไปกับใบไม้สีแดงและดอกไม้ป่า
เฝิงเจี่ยนเดินตามอยู่ด้านหลังนาง คอยสอดส่ายสายตาไปรอบๆ อยู่เสมอ เขาสอดส่องให้แน่ใจว่าจะไม่มีสัตว์ป่าตัวไหนโผล่ออกมาให้เสี่ยวหมี่ใ
เสี่ยวหมี่เดินจนเหนื่อยแล้วจึงหยุดนั่งพักที่ก้อนหินข้างทาง ยังไม่ทันพูดอะไรจมูกน้อยๆ ก็ทำท่าฟุดฟิด นางเอ่ยถามเฝิงเจี่ยนว่า “พี่ใหญ่เฝิง ท่านได้กลิ่นอะไรหรือไม่ เหมือนจะมีไก่ย่างอยู่แถวๆ นี้”
เฝิงเจี่ยนสาดสายตาไปที่พุ่มไม้บริเวณเหนือลม ปากเอ่ยว่า “บนเขานี่ไม่มีใครอื่น จะมีไก่ย่างได้อย่างไร? เป็กลิ่นที่ออกมาจากตะกร้าสานที่ข้าแบกอยู่หรือเปล่า?”
เสี่ยวหมี่เองก็คิดว่าไม่น่าเป็ไปได้ จึงยิ้มกล่าวว่า “อาจเป็เพราะเมื่อเช้าข้าขลุกอยู่ในครัวนานเกินไป กลิ่นจึงติดจมูกมา คิดว่าตอนนี้เกาเหรินคงจะกินไก่ย่างหมดไปแล้ว”
เฝิงเจี่ยนไม่ค่อยชอบใจนักที่เสี่ยวหมี่ ‘รักใคร่เอ็นดู’ เกาเหริน เขาจึงเอ่ยโน้มน้าวว่า “เกาเหรินก็แค่ตะกละ เขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว เ้าไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเพื่อเขามากนักหรอก”
เสี่ยวหมี่หลุดขำออกมา ถึงแม้เกาเหรินจะมีนิสัยแปลกประหลาดและตะกละ แต่ยามปกติก็ปกป้องนางเป็อย่างดี นางเองก็รักใคร่เขาราวกับเป็น้องชายแท้ๆ แต่แน่นอนว่านางไม่อาจพูดเช่นนี้กับเฝิงเจี่ยน ในสายตาของคนรัก ความรักทั้งหมดของอีกฝ่ายควรจะมีไว้สำหรับตัวเองเท่านั้นไม่ยินยอมแบ่งไปให้ใคร
“อีกนานแค่ไหนกว่าจะไปถึงบ่อน้ำร้อนหรือ” เสี่ยวหมี่ยืนขึ้นบนก้อนหิน ป้องมือเหนือดวงตาชะโงกหน้าไป “อา พี่ใหญ่เฝิงเห็นควันสีขาวที่ลอยขึ้นมาหรือไม่ ที่นั่นหรือเปล่าที่มีบ่อน้ำร้อนอยู่”
ที่จริงเฝิงเจี่ยนรู้อยู่แล้วว่าบ่อน้ำร้อนอยู่ตรงไหน เพียงแต่เขาอยากจะเดินเล่นกับเสี่ยวหมี่ให้มากหน่อย เพื่อใช้เวลาร่วมกันก็เท่านั้น
ยามนี้ได้ยินเสี่ยวหมี่พูดขึ้นมา อีกทั้งดูจากพระอาทิตย์ก็สายมากแล้วจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ไปดูกันเถอะ”
คนทั้งสองแหวกพุ่มไม้เข้าไป ยิ่งเข้าใกล้ก็ััได้ถึงไอร้อนที่รุนแรงขึ้น
ในที่สุดก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนเป็อ่างเล็กๆ โดยรอบมีต้นสนสีแดงขึ้นแน่นขนัด ราวกับทหารผู้ซื่อสัตย์ปกปักสถานที่แห่งนี้ไว้
คาดว่าเมื่อนานมาแล้วบริเวณนี้คงเคยเป็ูเาไฟมาก่อน ซึ่งตอนนี้กำลังหลับใหลอยู่ด้านล่าง จึงส่งความร้อนขึ้นมาต้มทะเลสาบเล็กๆ ในแอ่งนั้นจนเดือดปุดๆ
ท่ามกลางฤดูกาลอันหนาวเหน็บ สถานที่แห่งนี้ราวกับถูกลืมเลือนไป รอบๆ ทะเลสาบยังมีหญ้างอกงามเขียวขจี บางพุ่มยังมีดอกไม้ชูช่อสวย
เสี่ยวหมี่ส่งเสียงออกมาอย่างใ “งดงามนัก ข้าจะสร้างบ้านหลักเล็กที่นี่ แล้วจะมาอาศัยอยู่ที่นี่”
“ได้ วันพรุ่งนี้ก็ให้คนขึ้นมาตัดไม้เตรียมทำบ้าน”
เฝิงเจี่ยนยิ้มรับ เขาปล่อยตะกร้าที่สะพายหลังไว้ลง แล้วจึงเหยียบไปรอบๆ บริเวณหญ้าที่เสี่ยวหมี่ยืนอยู่กลัวจะมีงู้เงี้ยวเขี้ยวขอ
เสี่ยวหมี่รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นางกอดแขนเขาไว้ เอ่ยว่า “ข้าล้อเล่นเท่านั้นเอง ที่นี่อยู่ไกลจากบ้านเราเกินไป เดินทางไม่ค่อยสะดวก”
เฝิงเจี่ยนไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด เขาชี้ไปที่หินก้อนหนึ่งเอ่ยว่า “เ้าไปนั่งพักตรงนั้นก่อน ข้าจะไปล่าไก่ป่าและเก็บฟืนมาจุดไฟ”
“ได้ ท่านไปตัดฟืนมาให้ข้าก่อไฟก่อน แล้วค่อยไปล่าไก่ป่า”
เฝิงเจี่ยนเก็บฟืนกลับมาให้เสี่ยวหมี่เตรียมก่อไฟ เสร็จแล้วตนเองก็ออกไปล่าไก่ป่า
เสี่ยวหมี่เตรียมการเสร็จแล้ว แต่จะรออย่างไรเฝิงเจี่ยนก็ไม่กลับมาเสียที
ไม่รู้ว่าเป็เพราะน้ำที่มีปริมาณกำมะถันเยอะเกินไปหรือไม่ กลิ่นที่ลอยขึ้นมาจึงค่อนข้างแสบจมูก แต่สีของน้ำกลับเป็สีฟ้าอมเขียวงดงามราวกับสระมรกต เมื่อทอดสายตามองก็ราวกับจะถูกดูดลงไป
เสี่ยวหมี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จะอย่างไรก็อดใจไม่ไหว นางถอดรองเท้าถุงเท้าคิดจะเข้าไปแช่เท้าสักหน่อย
น้ำที่ค่อนข้างร้อนในคราแรกเมื่อแช่ไปสักพักกลับทำให้รู้สึกสบายไปทั้งร่าง เสี่ยวหมี่อดใจไม่ไหวถอดเสื้อคลุมออกวางไว้ในที่ที่เห็นได้ชัด คิดว่าเมื่อเฝิงเจี่ยนกลับมาเห็นเสื้อคลุมที่นางถอดไว้ ก็คงจะรู้ตัวและส่งเสียงเตือนนางก่อนจะเดินเข้ามา
เช่นนี้เองทะเลสาบอันลึกลับที่ร้างผู้คนมานาน ในที่สุดก็ได้ต้อนรับแขกเป็หญิงงามคนหนึ่ง เสี่ยวหมี่ว่ายน้ำเป็อยู่แล้ว แต่ั้แ่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ยังไม่เคยได้ว่ายน้ำเลย ครั้งนี้จึงแหวกว่ายอย่างสบายใจ
ราวกับว่าผืนป่าโดยรอบจะเงียบสงัดลง แม้แต่สายลมยังหยุดพัด
บนยอดไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เฝิงเจี่ยนเอนหลังพิงต้นไม้อยู่ เขาหรี่ตาลงน้อยๆ มุมปากยกขึ้นอย่างรู้สึกขบขัน
แม่นางคนนี้ช่างซุกซนจริงๆ ที่เขากล้าทิ้งนางไว้คนเดียวแล้วออกไปล่าสัตว์ก็เพราะมีพวกเสวียนอีกระจายตัวคอยปกป้องอยู่โดยรอบ แต่นางกลับคิดว่ารอบข้างไม่มีใครเลย ถึงกับลงไปแหวกว่ายในน้ำ
เสี่ยวหมี่ไม่รู้ตัวเลยว่านางตกอยู่ในสายตาของเขาตลอด รอจนนางว่ายจนเหนื่อยแล้วถึงได้รู้สึกอายขึ้นมา ตอนที่คิดจะกลับขึ้นมาสวมเสื้อผ้านั้น พลันรู้สึกว่าในน้ำมีอะไรบางอย่างวาดผ่านขาของนางไป
เป็ััที่ทั้งลื่นและเย็น ทำเอานางร้องะโออกมา ตอนที่กำลังตะเกียกตะกายจะขึ้นฝั่งนั้นขาขวากลับเป็ตะคริวขึ้นมา...
“ช่วย...”
เสี่ยวหมี่พ่นออกมาได้แค่คำเดียว กลับสำลักน้ำไปคำหนึ่ง ตอนที่คิดจะตีขาลอยตัวขึ้นมากลับถูกเ้าสิ่งลื่นๆ เย็นๆ นั้นพันเอาไว้
ความรู้สึกหวาดกลัวเข้ากอบกุมจิตใจของเสี่ยวหมี่ นางรู้สึกเสียใจภายหลังจริงๆ ไม่ควรลงมาในน้ำั้แ่แรก หากนางต้องมาตายไปเช่นนี้พวกบิดาและพี่ชายของนางจะเป็อย่างไร เฝิงเจี่ยนจะเป็อย่างไร
น่าเสียดายที่เมื่อรู้สึกเสียใจภายหลังก็มักจะสายเกินไปแล้ว น้ำในทะเลสาบไหลเข้าปากและจมูกของนาง สูบเอาอากาศบริสุทธิ์ไปจากปอด
ใน่เวลาวิกฤตนั่นเองจู่ๆ ก็มีคนโอบเอวนางพาว่ายขึ้นมาเหนือน้ำ
เฝิงเจี่ยนสีหน้าเขียวคล้ำ เขาลากนางไปใกล้ๆ กองไฟแล้วตบแผ่นหลังของนางให้สำลักน้ำออกมา
ยังดีที่เสี่ยวหมี่ยังสำลักน้ำเข้าไปไม่มาก เมื่อไอออกมาแล้วก็รู้สึกดีขึ้น
ยามนี้นางกำลังพาดร่างไปบนหน้าขาของเฝิงเจี่ยน ถึงแม้จะสวมเสื้อตัวในอยู่ แต่เพราะเปียกน้ำจึงเน้นให้เห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน แลดูเย้ายวนอย่างที่สุด
เฝิงเจี่ยนคิดจะดึงอาภรณ์มาคลุมร่างนางไว้ กลับพบว่าบนแผ่นหลังนางเหมือนจะมีรูปอะไรบางอย่างขนาดเล็กเท่าพุทราจีน สีแดงดึงดูดสายตา แต่เมื่อตั้งใจจะพิจารณาดูให้ชัดเจน จู่ๆ มันก็หายไป เหลือเพียงผิวขาวนวลให้เห็นวับๆ แวมๆ ราวกับเมื่อครู่เขาตาฝาดไปก็ไม่ปาน
เฝิงเจี่ยนใมาก ยื่นมือออกไปคิดจะลูบมัน เสี่ยวหมี่กลับร้องไห้ออกมา “ฮือฮือ ในทะเลสาบมีงู ฮือฮือ ข้าสำลักน้ำเกือบตาย ฮือฮือ”
ถึงแม้เฝิงเจี่ยนจะโมโหแค่ไหนก็ไม่อาจตำหนินางได้ในเวลานี้ เขาดึงอาภรณ์ตัวนอกมาคลุมร่างนางไว้ให้มิดชิดแล้วขยับเข้าไปใกล้กองไฟอีกหน่อย พลางเอ่ยปลอบโยนว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่เป็ไรแล้ว”
เสี่ยวหมี่เพิ่งรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ทั้งอับอายและหวาดกลัว นางร้องไห้ไม่หยุด เฝิงเจี่ยนหมดหนทางจึงดึงร่างนางเข้ามากอดไว้หลวมๆ
รอจนเสี่ยวหมี่หายสะอื้น เสื้อผ้าของพวกเขาทั้งสองก็แห้งเกือบจะสนิทแล้ว
เสี่ยวหมี่เพิ่งรู้สึกตัวว่าท่าทางของพวกเขาค่อนข้างประดักประเดิด จึงขยับตัวอย่างอึดอัด
เฝิงเจี่ยนกำลังอดทนพยายามข่มสัญชาตญาณแห่งสัตว์ป่าของตนเองลงไปอย่างสุดความสามารถ ไม่รู้สะกดจิตตัวเองไปกี่ร้อยรอบแล้ว เมื่อเห็นว่าสตรีในอ้อมแขนสงบลงแล้ว จึงเอ่ยเสียงแหบแห้งว่า “อย่าขยับ รอสักพัก”
เสี่ยวหมี่ร่างกายแข็งค้าง นางไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว
ครู่หนึ่งเฝิงเจี่ยนถึงค่อยๆ ปล่อยตัวนาง เขายืนขึ้นเอ่ยว่า “ข้าจะไปล่าไก่ป่า”
จากนั้นก็หายตัวไปไม่เห็นเงา
เสี่ยวหมี่มองไปที่โขดหินเห็นไก่ป่าที่ถูกมัดข้อเท้าไว้กำลังดิ้นรนเต็มแรง ก็อดหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้ ความหวาดกลัวเมื่อครู่พลันหายไปกว่าครึ่ง