ทางด้านของหญิงสาวหลังจากเลิกงานที่ร้าน เธอก็กลับขึ้นห้องพักที่อยู่ชั้นบนสุดของร้าน ซึ่งเ้าของร้านได้ต่อเติมเอาไว้เป็บ้าน พักส่วนตัวและยังมีห้องว่างบางส่วนเผื่อแขกหรือคนสำคัญที่จะมาพัก หนึ่งในนั้นคือห้องของเธอเองที่เ้าของร้านตกแต่งไว้ให้ แต่เพราะหญิงสาวเกรงใจไม่กล้าพัก เธอจึงขอไปหาที่พักอาศัยอยู่ข้างนอกเสียเอง แพรกำลังนั่งเช็ดผมอยู่บนเตียงนอน
“แพร...หลับรึยัง” เป็เสียงของกวีที่ดังมาจากหน้าห้อง
“ยังค่ะพี่กีวี่ เข้ามาได้เลยค่ะ แพรไม่ได้ล็อคประตู”
“พี่อยากคุยเื่วันนี้ได้ไหม” กวีพูดพร้อมกับนั่งลงบนเตียง
“พี่เชื่อว่าคุณปกรณ์จะไม่หยุดแค่นี้ แล้วแพรจะทำยังไงต่อไป” เขาถามด้วยความเป็ห่วง
“แพรไม่รู้ค่ะ ตอนนี้ยังคิดอะไรไม่ออก พอเห็นหน้าคุณลุงเื่เก่าๆ มันก็วนกลับมา ซึ่งแพรไม่อยากนึกถึงมันแล้วค่ะ”
เธอตอบพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อหวนนึกถึงเื่ในอดีตที่เป็าแในใจของเธอ กวีได้แต่ลูบหลังปลอบใจ เขารู้สึกเห็นใจและสงสารหญิงสาวตรงหน้า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ร้านของกวีทำให้วินคิดไม่ตก เขาอยากช่วยหญิงสาวแต่ยังคิดหาทางออกที่ดีไม่ได้ เช้านี้ชายหนุ่มจึงทานอาหารด้วยท่าทางเซ็งๆ เขี่ยข้าวไปมา ผิดกับเตชินทร์ที่เอาแต่บ่นเพราะดันพลาดโอกาสในวันนั้นเนื่องจากถูกตามตัวให้กลับบ้านสวนของคุณยาย
“โคตรเสียดายเลยอ่ะพี่ ที่ผมไม่ได้อยู่วันนั้น แล้วแบบนี้มันจะเป็ยังไงต่ออ่ะ” วินมองเตชินทร์อย่างไม่สบอารมณ์ เื่นี้เขาเองก็ยังหาทางออกไม่ได้ พวกเขาเป็แค่ลูกน้องจะห้ามนายก็คงยาก แถมเื่ที่ให้นนท์ไปสืบก็ไม่ได้ความอีกเพราะกวีไม่ยอมเล่าอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มเลยมืดแปดด้านไปหมด
“สวัสดีจ้ะหนุ่มๆ” เสียงของใครคนหนึ่งที่กล่าวทักทายพวกเขาเรียกความสนใจให้ชายหนุ่มทั้งสามหันไปมองทางหญิงสูงอายุที่เดินคู่มากันกับปกรณ์ นั่นคือ พิมมาดาภรรยาของปกรณ์นั่นเอง สามหนุ่มรีบยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม
“สวัสดีครับพี่พิม” วินทักเป็คนแรก
“ทานข้าวด้วยกันไหมครับ” เป็เสียงของนนท์ที่เอ่ยชวนภรรยาของเ้านาย
“ไม่ล่ะจ้ะ พี่กับพี่ปกรณ์ทานกันมาเรียบร้อยแล้ว หนุ่มๆ ตามสบายเลยนะ พี่ไม่กวนแล้ว...ไปค่ะคุณ” หญิงสูงวัยตอบกลับสามหนุ่มอย่างเป็มิตรก่อนจะจูงมือสามีให้เดินไปพร้อมกันกับเธอ
“นายเราก็ดูรักเมียอยู่นะครับ แล้วคุณแพร...มาได้ยังไงเนี่ย” สิ่งที่เตชินทร์พูดออกมายิ่งจุดประกายไฟในดวงตาของวินให้ลุกโชนขึ้น นนท์จึงรีบปราม
“มึงไม่รู้อะไร ก็อย่าพูดไป” นนท์ปรามรุ่นน้องพร้อมกับรีบมองไปทางวิน ซึ่งตอนนี้สีหน้าของเพื่อนเขาบ่งบอกถึงความขุ่นข้องในใจอย่างชัดเจน
เย็นวันนั้นวินตัดสินใจแอบสะกดรอยตามเ้านายของเขา หลังจากได้รู้จากเตชินทร์ว่าวันนี้ปกรณ์ไม่เรียกใช้ตัวและสั่งให้รุ่นน้องของเขากลับบ้านได้เลย ซึ่งสิ่งที่วินได้เห็นมันไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้ ปกรณ์แอบมาดักรอเจอแพรที่ร้านของกวีจริงๆ ชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้
“แพร...ฟังลุงสักนิดเถอะนะ” ปกรณ์ดึงแขนของหญิงสาวไว้ หวังให้เธอได้ฟังสิ่งที่เขาตั้งใจจะพูดให้จบ แต่หญิงสาวมีท่าทีขัดขืน เด็กในร้านที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบวิ่งไปตามกวี
“ปล่อยแพรก่อนนะคะคุณลุง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น พยายามแกะมือของชายสูงวัยให้พ้นตัว
“ปล่อยแขนลูกน้องของผมด้วยครับ” กวีเอ่ยเสียงเข้ม ก่อนเดินเข้ามาดึงตัวของหญิงสาวให้มายืนทางด้านหลังของเขา ปกรณ์จึงต้องจำยอมปล่อยมือจากแขนของเธอ
“เื่นั้น...มันไม่ใช่ความผิดของหนู ถ้าหนูพอจะมีเวลาให้ลุงสักนิด ลุงจะเล่าความจริงทุกอย่างให้ฟัง”
“เื่ในอดีต ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะครับ เชิญคุณกลับไปดีกว่าและขอให้เลิกยุ่งวุ่นวายกับคนของผมสักที”
ท่าทีของกวีแสดงออกชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้หญิงสาวได้คุยกับชายตรงหน้าอย่างแน่นอน ปกรณ์จึงต้องล่าถอยเช่นเคย วินซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ได้แต่คิดว่าเื่นี้มันต้องฉายซ้ำอีกกี่รอบ แล้วมันจะจบเมื่อไร เขาคือคนหนึ่งที่อยากจะรู้คำตอบ แต่เมื่อไม่มีใคร...ให้บทสรุปในเื่นี้ได้ ชายหนุ่มจึงเริ่มหาช่องทางอื่นซึ่งเขาพบว่า มีอยู่คนหนึ่งที่น่าจะช่วยหยุดเื่นี้ได้