เล่มที่ 10 บทที่ 292 นกจิงอูสามขา
“หมายความว่าอย่างไรกัน?” หลินเฟยได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วทันที…
หวังจิ่งกับจงหยางก็มองหน้าผลัดกันไปมา เป็แบบนี้อยู่นาน หวังจิ่งจึงเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“เ้ามาจากด้านนอกนั่นสินะ?”
“ใช่แล้ว…”
“เช่นนั้นก็คงจะรู้ว่าเดิมทีที่แห่งนี้เป็เมืองโบราณขนาดใหญ่ แต่จู่ๆ ก็ถล่มลงจนกลายเป็ซากปรักหักพังแบบนี้…”
“ที่เป็เช่นนี้เพราะพวกเ้างั้นหรือ?”
“เื่นี้มันยาวน่ะ…” หวังจิ่งส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยใบหน้าขมขื่นเช่นเดิม
“ตอนที่พวกข้ามาใหม่ๆ ที่นี่ก็มีมารปีศาจอยู่มากมาย แต่ส่วนมากก็แค่อสุรกายขั้นกุ่ยเจี้ยงและปีศาจขั้นเยาเจี้ยงเท่านั้น ตลอดทางที่ผ่านมาหลังจากได้สังหารมารปีศาจเหล่านี้ไปแล้ว พวกข้าก็ได้ของดีกลับมาไม่น้อย ตอนหลังก็ดันมาพบว่าที่ใจกลางเมืองมีโลงศพหินอยู่…”
“โลงศพหินหรือ?” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็ใจกระตุกทันที ก่อนจะเอ่ยถามต่อ
“แสดงว่าคนที่เปิดฝาโลงคือพวกเ้างั้นหรือ?”
“พวกข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าโลงศพนั่นจะพิสดารเช่นนี้…”
“…” หลินเฟยถึงกับพูดไม่ออกทันทีที่ได้ยินคำตอบ
‘บ้าเอ๊ย ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดเช่นนี้ แม้แต่ห้วงมิติก็ยังถูกปิดตายจนทำให้ผู้บำเพ็ญมากมาย แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันยังต้องถูกกักขังเอาไว้ ไม่สามารถออกไปไหนได้ ที่แท้ก็เป็เพราะศิษย์สายของสามสำนักใหญ่สองคนนี้นี่เอง…’
จากนั้นหลินเฟยเองก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาก่อนดี…
‘ในที่สุดตอนนี้ก็รู้ความจริงแล้ว…’
‘แต่หลังจากนี้ล่ะ?’
‘หรือจะต้องสังหารพวกเขาทั้งสอง?’
‘แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เื่ทุกอย่างดีขึ้นเลยสักนิด…’
‘เพราะทุกอย่างได้เกิดขึ้นไปแล้ว’
‘ต่อให้สังหารทั้งคู่แล้วจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ?’
‘แบบนั้นจะทำให้ฝาโลงที่เปิดอ้าออกปิดกลับเข้าไปได้อย่างเดิมงั้นหรือ?’
“จากนั้นล่ะ?” พอรู้ว่าเื่ทั้งหมดเป็เพราะคนทั้งคู่ สายตาที่มองจึงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง…
“จากนั้น…” หวังจิ่งหดคอลงเล็กน้อย ก่อนจะมองหลินเฟยด้วยแววตาสำนึกผิด
“พอพวกข้าเห็นโลงศพหินที่อยู่กลางเมือง ก็เข้าใจว่าจะต้องมีสมบัติซุกซ่อนอยู่เป็แน่ แต่เพราะเหนือโลงมีแสงสีเขียวคอยคุ้มกันไว้อยู่ พวกข้าจึงไม่สามารถย่างกรายเข้าใกล้ได้…”
“แล้วพวกเ้าเปิดฝาโลงได้อย่างไร?”
“เพราะหวงซี…”
“หวงซีงั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว ตอนที่พวกข้ากำลังอับจนหนทาง หวงซีก็ดันปรากฏตัวขึ้นมา…” หวังจิ่งหยุดเพื่อรำลึกความหลังชั่วครู่ ก่อนจะเล่าต่อ
“จะว่าไปก็ดูแปลกทีเดียว เพราะไม่ว่าพวกข้าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจข้ามผ่านแสงสีเขียวเพื่อเข้าใกล้โลงศพหินได้ แต่ไม่รู้ทำไม หวงซีกลับสามารถสะบั้นตัดลำแสงสีเขียวนั่นได้อย่างง่ายดาย…”
“จากนั้นพวกเ้าก็เลยเปิดฝาโลงงั้นหรือ?…” ขณะที่เอ่ยถาม หลินเฟยก็อดที่จะถลึงสองั์เนตรเจือโทสะไม่ได้
“แหะๆ…” เมื่อเห็นดังนั้น หวังจิ่งกับจงหยางก็ทำเพียงขำแห้งออกมา พยายามเบี่ยงเบนเปลี่ยนเื่คุยทันที
“จริงสิ แล้วศิษย์พี่หลินมาที่นี่ได้อย่างไรกันล่ะ?”
“เื่นี้ หากพูดแล้วมันจะยาวน่ะ…” ขณะที่ตอบหลินเฟยก็กวาดตามองไปรอบๆ ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยป้ายหลุมศพที่ว่างเปล่า คล้ายกับเขาวงกตก็ว่าได้
“อ้อ จริงสิ แล้วพวกเ้าหาทางออกกันได้หรือยัง?”
“อย่าได้ถามเลย…” หวังจิ่งได้ยินดังนั้น สีหน้าก็คล้ำหมองลงทันที
“หลังจากที่พวกข้าเข้ามาแล้ว ก็พยายามหาทางออกจนแทบพลิกแผ่นดิน แต่ยิ่งตามหาเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าที่นี่ดูพิสดารเป็อย่างมาก เหมือนกับผีหลอกก็มิปาน ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน สุดท้ายก็วกกลับมาที่เดิมทุกครั้ง…”
“แปลกประหลาดขนาดนั้นเชียวหรือ?”
หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงพาหวังจิ่งและจงหยางลองเดินรอบๆดู และผลก็เป็อย่างที่หวังจิ่งเล่าไม่มีผิด เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม คนทั้งสามก็กลับมายืนอยู่ที่เดิมอีกครั้ง…
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…
กระทั่งผ่านไปถึงห้าครั้ง ในที่สุดหลินเฟยก็เริ่มตื่นตระหนก เพราะที่แห่งนี้ช่างประหลาดมากจริงๆ…
คนทั้งสามล้วนเป็ผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนที่สามารถมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าจะเป็ภาพลวงตาแบบใดก็ล้วนไม่สามารถบดบังพวกเขาได้ ฉะนั้นเื่ผีหลอกที่ปุถุชนทั่วไปร่ำลือกัน จึงถือว่าเป็เื่ตลกสำหรับผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนก็ว่าได้
ทว่าตอนนี้…
คนทั้งสามกลับวนเวียนอยู่ที่เดิมราวกับถูกผีหลอกเข้าจริงๆ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนสุดท้ายก็จะวกกลับมาอยู่ดี
“ช้าก่อน…”
อยู่ดีๆหลินเฟยก็ชะงักลง…
จากนั้นสายตาก็ทอดมองไปยังจุดที่ห่างไกล…
บริเวณใจกลางมีพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง และที่นั่นก็มีป้ายหลุมศพว่างเปล่ารายล้อมเป็จำนวน อีกทั้งที่ใจกลางยังมีรูปปั้นสัตว์ร้ายน่าเกรงขามสูงนับสิบจ้างตั้งตระหง่านอยู่ รูปปั้นหินนั้นดูสมจริงเป็อย่างมาก เป็รูปปั้นนกที่กำลังสยายปีกราวกับพร้อมจะกระพือปีกบิน และรูปปั้นหินนี้ก็มีสภาพไม่ต่างกับบรรดาป้ายหลุมศพ เพราะมันทรุดโทรมลงไปมาก เนื่องจากผ่านกาลเวลามาแสนเนิ่นนาน หลินเฟยจำได้ว่าขณะที่ทั้งสามคนวนเวียนอยู่ภายในสุสานนั้น ก็เหมือนจะเคยเห็นรูปปั้นแบบนี้ผ่านตาประมาณหกถึงเจ็ดตัวได้…
และเพราะมีรูปปั้นหินเหล่านี้เป็สัญลักษณ์ จึงทำให้คนทั้งสามรู้ตัวว่าพวกเขากำลังวนเวียนอยู่ที่เดิม…
หลินเฟยจำรูปปั้นสัตว์ร้ายที่สูงนับสิบจ้างตรงหน้าได้ดีทีเดียว…
เพราะนี่คือนกกุ่ยเผิงซึ่งเป็หนึ่งในสัตว์ร้ายา มันชอบกินเนื้อัเป็อาหาร มักจะวนเวียนอยู่บริเวณเหนือท้องทะเลกว้างใหญ่ เพียงกระพือปีกมันก็สามารถโฉบเฉี่ยวบินได้ไกลนับพันลี้ หรือเพียงอ้าปากมันก็สามารถดูดกลืนน้ำทะเลได้มหาศาลเลยทีเดียว ต่อให้เป็ถึงัแห่งท้องทะเลก็ยังไม่อาจต้านทานมันได้
“เป็อย่างนี้นี่เอง สำนักตงจี่…” เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเฟยก็เข้าใจทันทีว่าทำไมโลงศพที่อยู่บนยอดเขาถึงมีัสามตัวปกปักรักษาไว้อยู่…
‘เื่ทุกอย่างจะต้องเกี่ยวข้องกับสำนักตงจี่เป็แน่!’
ว่ากันว่าเมื่อยุคา ได้มีนกจิงอูสามขาร่วงตกลงมาจากฟ้า และบริเวณที่มันร่วงหล่นลงมาก็คือต้นฝูซางซึ่งอยู่ข้างทะเลตงไห่ทางด้านตะวันออก ภายหลังจึงได้ก่อตั้งสำนักตงจี่ขึ้นที่บริเวณใต้ต้นฝูซาง โดยชื่อตงจี่นั้น ก็มาจากความเคารพที่มีต่อนกจิงอูสามขาตัวนั้นนั่นเอง
นกจิงอูสามขาถือว่าเป็หัวหน้าของเหล่าเก้าสัตว์ร้ายาเลยทีเดียว!
“ขอข้าดูหน่อยแล้วกัน ผ่านไปนับแสนปีแล้ว สำนักตงจี่จะพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่…” หลินเฟยแค่นหัวเราะเ็าออกมา ในอดีตตอนที่ตนเองยังเป็เพียงปุถุชนทั่วไป เขากลับสามารถบุกเข้ามาและ่จิงกระจกโจ่วกวงไปได้ บัดนี้ตนเองมีขั้นบำเพ็ญถึงมิ่งหุนแล้ว มีหรือที่จะถูกเขาวงกตตเล็กๆเช่นนี้กักขังเอาไว้ได้?
หลังจากนั้นหลินเฟยก็พาหวังจิ่งและจงหยางเดินวนภายในสุสานอีกครั้ง…
เพียงเดินวนเท่านั้น…
แถมเ้าตัวยังเป็คนนำทางอีกต่างหาก…
ในสายตาของหวังจิ่งและจงหยางแล้ว วิธีการหาทางออกของหลินเฟยถือว่าพิสดารเป็อย่างมาก หากไม่ได้ยำเกรงในฝีมือของหลินเฟยละก็ ทั้งคู่ก็อยากจะถามออกไปจริงๆว่าหลินเฟยถูกเขาวงกตนี้ทำจนสติเลอะเลือนไปแล้วหรือเปล่า?
แต่ก็ช่วยไม่ได้…
เพราะการกระทำของหลินเฟยในตอนนี้ มันให้ความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
ดูสะเปะสะปะ ไร้กฎเกณฑ์และเป้าหมาย บางครั้งก็เดินไปทางซ้าย บางครั้งก็เดินไปทางขวา พอเดินๆไปก็วกกลับมาเหมือนเดิมไม่ต่างอะไรกับแมลงวันไร้หัว ที่พุ่งชนไปมาทั่วสุสานอย่างไร้จุดหมาย…
และมีอยู่หลายครั้งที่หวังจิ่งกับจงหยาง อยากจะเอ่ยถามออกมาเหลือเกินว่า ที่เดินวนไปวนมาเช่นนี้ ทำเพื่ออะไรกันแน่?
ขณะที่ทั้งคู่เริ่มจะหมดความอดทน คิดจะถามออกมาตรงๆ หลินเฟยก็หยุดชะงักลงพอดี
“ตัวที่เก้า!”
ใช่แล้ว สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าหลินเฟยตอนนี้ก็คือรูปปั้นสัตว์ร้ายตัวที่เก้า นั่นก็คือนกจิงอูสามขา!
----------------------------------------------------------------------------------------------------