เสี่ยวหมี่มองไปทางทิศเหนือโดยไม่อาจห้ามใจ นางอยากจะมีปีก รีบบินไปอยู่ข้างกายคนผู้นั้น
ยามปกติที่สามารถเห็นเขาได้แทบจะตลอดเวลา นางก็ไม่คิดอะไรมากนัก แต่ยามนี้เมื่อต้องแยกจากกัน นางก็เอาแต่คิดถึงโดยไม่อาจหักห้ามใจ
ไม่รู้ว่าเขาจะคิดถึงนางด้วยหรือไม่...
กุ้ยจือเอ๋อร์ในมือถือตะกร้าสานที่มีฝาปิดแ่า ตอนที่เดินเข้าประตูมาก็เห็นเสี่ยวหมี่ยืนเหม่อมองฟ้าอยู่กลางเรือน จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวหมี่ จะมีเงินร่วงลงมาจากฟ้าหรืออย่างไร เหตุใดถึงไม่เข้าไปด้านในเล่า”
เสี่ยวหมี่หันศีรษะไปมอง แล้วก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่ในตะกร้านั้นคือ ‘แผ่นฝ้าย’ จึงพานางไปที่เรือนหลัง
คนทั้งสองไม่ได้เข้าไปในห้อง แต่นั่งลงบนเก้าอี้หินใต้ต้นไม้
เสี่ยวหมี่เข้าครัวไปหยิบชามขนมลูกท้อทอดออกมา นางยิ้มแล้วส่งให้กุ้ยจือเอ๋อร์ “ข้าทอดไว้เมื่อวานเ้าค่ะ พี่สะใภ้รีบกินเร็วเข้า”
กุ้ยจือเอ๋อร์รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ท้องของนางใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จึงยิ่งกินมากขึ้นทุกวัน ถึงแม้เสี่ยวหมี่จะไม่เคยมีลูกมาก่อน แต่ก็เข้าใจดี ทุกครั้งที่ได้พบกันจึงมักจะยัดของกินใส่มือนางเสมอ
นางเองก็ไม่เกรงใจ ทางหนึ่งหยิบของกิน ทางหนึ่งดันตะกร้าออกมา เสี่ยวหมี่ยิ้มแย้มนำไปเก็บไว้ในห้องอย่างมิดชิด เมื่อออกมาก็เล่าให้กุ้ยจือเอ๋อร์ฟังเื่ที่จะหาคนมาช่วยทำงานจิปาถะในบ้าน
กุ้ยจือเอ๋อร์สนิทสนมกับนางเป็อย่างดี รีบกล่าวว่า “เื่นี้ง่ายมาก ไม่ต้องให้แม่สามีข้าไปถามหรอก เดี๋ยวข้าจัดการเอง ยามปกติเ้าดีกับทุกคนยิ่งนัก เกรงว่าหากได้ยินข่าวนี้คงจะแย่งกันแทบตายแน่ๆ”
“เช่นนั้นก็ดี ข้ายกเื่นี้ให้พี่สะใภ้ก็แล้วกัน ท่านเองก็รู้ว่าบ้านข้ามีแต่ท่านพ่อและพี่ชาย หากจะให้พวกพี่สะใภ้สาวๆ มาช่วยก็เกรงว่าคงไม่เหมาะ ข้าจึงอยากได้ลูกมือเป็หญิงมีอายุสักหน่อย ดีที่สุดก็คือเป็พวกเก็บปากเก็บคำไม่พูดมาก ส่วนเื่ค่าแรง ข้าจะให้วันละยี่สิบอีแปะ และจะให้ชุดใหม่หนึ่งชุดทุกครั้งที่เข้าฤดูกาลใหม่”
กุ้ยจือเอ๋อร์ได้ยินก็ปรบมือชอบใจ ยิ้มกล่าวว่า “เ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็นึกถึงคนที่เหมาะสมได้คนหนึ่ง ก็คือท่านป้าเจียงแม่สามีของชุ่ยฮัวอย่างไรเล่า ตอนเด็กๆ ที่บ้านของนางยากจน ขึ้นเขาเก็บเห็ดกินมั่วๆ จึงถูกเห็ดพิษทำเอาเป็ใบ้ไป จะพ่นคำออกมาได้สักคำยังยาก ยามปกติยังเป็คนขยันขันแข็งรู้สถานะของตนเอง และนิสัยดีอีกด้วย”
“อา พี่สะใภ้ฉลาดจริงๆ ข้าลืมไปเลยว่าท่านป้าเจียงนั้นเหมาะสมมากทีเดียว”
เสี่ยวหมี่ลองทบทวน ‘ภาพยนตร์ในหัว’ ไปรอบหนึ่ง จึงเห็นลางๆ ว่ามีคนคนนี้อยู่ ในความทรงจำท่านป้าเจียงเป็หญิงชราใจดี นางจึงตัดสินใจว่าเป็คนนี้นี่แหละ
กุ้ยจือเอ๋อร์เองก็ไม่กินแล้ว นางรีบร้อนไปยังบ้านชุ่ยฮัวทันที
ก่อนหน้านี้เพราะเื่ที่มารดาของชุ่ยฮัวมาสร้างความวุ่นวายที่ทางเข้าหมู่บ้าน ทำให้คนสกุลเจียงขายหน้า ยามนี้เมื่อมีงานขุดคูระบายน้ำ สามีของชุ่ยฮัวสือโถ่วมักเป็คนแรกที่มาถึงและเริ่มทำงาน และมักจะกลับเป็คนสุดท้ายเสมอ
ตัวชุ่ยฮัวนั้นถึงแม้จะไม่ถูกท่านป้าหลิวเรียกไปช่วยงานที่เพิงทำอาหาร แต่ก็มักจะวิ่งเข้าไปช่วยเป็ประจำ คนในหมู่บ้านเห็นครอบครัวพวกเขาเป็เช่นนี้ ก็อดโน้มน้าวพวกเขาให้เลิกทำไม่ได้
แต่สกุลเจียงก็ยังรู้สึกติดค้างทุกคน ยามนี้เมื่อได้ยินกุ้ยจือเอ๋อร์มาสอบถาม ว่ายินดีจะไปช่วยงานที่สกุลลู่หรือไม่ ท่านป้าเจียงจึงรีบส่งเสียงเอะอะตอบรับทันที แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่ากุ้ยจือเอ๋อร์ฟังไม่เข้าใจ จึงเปลี่ยนเป็พยักหน้าแทน
ชุ่ยฮัวก็อยู่บ้านพอดี จึงเอาแต่หัวเราะไม่หยุด รอจนเมื่อแม่สามีออกจากบ้านไปพร้อมกุ้ยจือเอ๋อร์แล้ว จึงรีบลงเขาไปแจ้งเื่นี้ให้สามีและพ่อสามีรู้
เสี่ยวหมี่กำลังยุ่งอยู่กับการทำกับข้าวในครัว ตอนที่ท่านป้าเจียงมาถึง ไม่รอให้นางเอ่ยปากก็นั่งยองๆ ลงช่วยเติมฟืนทันที จากนั้นก็ไปช่วยล้างหม้ออย่างแข็งขัน
เสี่ยวหมี่เห็นว่านางอายุมากแล้ว จึงปฏิบัติกับนางอย่างเกรงอกเกรงใจ
นางเอ่ยวาจาสัพเพเหระไปเรื่อยๆ ท่านป้าเจียงก็ส่งเสียงรับคำเป็ระยะ นับว่าสมานสามัคคีกันดี
รอจนเสร็จงานแล้ว เสี่ยวหมี่หยิบซาลาเปาเนื้อใส่ตะกร้า ใช้ผ้าขาวบางคลุมไว้้าเพื่อกันสิ่งสกปรก แล้วจึงยื่นใส่มือท่านป้าเจียง
“ท่านป้า วันหน้าต้องรบกวนท่านแล้วนะเ้าคะ ท่านเองก็ไม่ต้องเกรงใจ ข้าให้อะไรท่านก็เอากลับไป วันหน้ายังต้องทำงานด้วยกันอีกมาก สนิทสนมกันเอาไว้ดีกว่านะเ้าคะ”
ท่านป้าเจียงมือไม้ขยุกขยิก ทำอะไรไม่ถูก ในใจรู้สึกผิดยิ่งนัก
เสี่ยวหมี่ยืนกรานจะยัดตะกร้าใส่มือนาง “วันนี้พอแค่นี้เถอะเ้าค่ะ ท่านป้าค่อยมาใหม่พรุ่งนี้เช้าก็ใช้ได้แล้วเ้าค่ะ”
ระหว่างพูดนางก็พาท่านป้าเจียงเดินมาส่งที่หน้าประตู โดยมีท่านป้าเจียงพยักหน้ารับไปตลอดทาง
ยามนี้เอง พี่รองลู่ก็ลงมาจากเขาพอดี หน้าบวมจมูกช้ำสภาพดูไม่ได้อย่างยิ่ง
ชัดเจนว่าเขาคงจะถูกอาจารย์ของตนเองซ้อมมา เสี่ยวหมี่แอบคิดว่า ไม่รู้ว่าเ้าใบ้นั่นจะเอาคืนเื่ที่คืนนั้นถูกนางด่าหรือเปล่า?
ท่านป้าเจียงรู้ดีว่าควรทำเช่นไร นางถือตะกร้ากลับบ้านไปเงียบๆ อย่างมีความสุข
พี่รองลู่สูดจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นซาลาเปา อดะโไม่ได้ว่า “น้องพี่ เ้าทำของกินอะไรอีกแล้วหรือ เอามาให้พี่หน่อยสิ พี่หิวจะตายแล้ว”
เสี่ยวหมี่ถลึงตาใส่เขาแล้วจึงกระชากคอเสื้อเขาไปที่ห้องครัว
พี่รองลู่ถือซาลาเปาสองมือกัดกินพร้อมกันๆ กินลูกละสองคำไม่นานก็หมด กินจนหายใจแทบไม่ทันแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมหยุด
เสี่ยวหมี่สาดสายตาไปหน้าประตูทีหนึ่ง ซูอีเองก็กลับมาแล้วเช่นกัน จึงกวักมือเรียกให้เขาเข้ามา แล้วจึงหยิบซาลาเปาให้เขา
ซูอีคลี่ยิ้มเจิดจ้า นั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยๆ หน้าประตูและกินอย่างช้าๆ
เสี่ยวหมี่รินน้ำอุ่นให้เขา ทำเอาพี่รองลู่โวยวายขึ้นมา “ข้าเป็พี่ชายแท้ๆ ของเ้านะ เหตุใดเ้าถึงปฏิบัติกับซูอีดีกว่าข้าเสียอีก”
เสี่ยวหมี่ไม่สนใจเขา ทางหนึ่งช่วยปัดเศษหญ้าบนตัวซูอี ทางหนึ่งถามว่า “อาจารย์ท่านว่าอย่างไรบ้าง เขาจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
พี่รองลู่รินน้ำชาเย็นชืดให้ตัวเอง ดื่มอักอักลงไป ตอบอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนักว่า “ก็ต้องสังหารไปหมดแล้วน่ะสิ อาจารย์ข้าบอกแล้วว่า ไม่มีอะไรต้องกลัว”
เสี่ยวหมี่กลอกตามองบนอย่างแรง จากนั้นก็หยิบซาลาเปาอีกสองลูกยัดใส่มือเขา “ท่านกินเข้าไปอีกหน่อย จากนั้นก็ไปหาท่านพ่อที่ห้อง ท่านพ่อมีเื่จะคุยกับท่าน”
“ท่านพ่อจะมีเื่อะไรได้?” พี่รองลู่กัดซาลาเปาโดยไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย จากนั้นจึงเดินมุ่งหน้าไปที่เรือนพักหลักของบิดา
เสี่ยวหมี่หมุนกายไปจัดแจงซาลาเปาของนางต่อ
แล้วก็เป็ไปตามคาด เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องขอชีวิตของพี่รองลู่ดังออกมาจากห้องของบิดา
“อ๊า ท่านพ่อ ท่านตีเบาหน่อยสิ อาจารย์ข้าซัดข้าไปแล้วนะขอรับ โอ๊ย เสี่ยวหมี่ รีบมาช่วยชีวิตพี่ชายเร็วเข้า”
ซูอีได้ยินก็ประหลาดใจ เขาหันศีรษะไปมองก็เห็นท่าทางเสี่ยวหมี่ราวกับไม่ได้ยินก็ไม่ปาน นางหยิบซาลาเปาอีกลูกให้ซูอี “กินอีกลูกสิ ไส้หมูสับใส่ถั่วฝักยาว และยังมีกุ้งแห้งด้วย หากเถ้าแก่เฉินมาเห็นเข้าคงต้องบ่นข้าอีกแน่”
ซูอีได้ยินแล้วก็ก้มหน้าก้มตากัดกินต่อไป เสี่ยวหมี่ลูบศีรษะเขาเบาๆ แล้วยิ้มกล่าวว่า “เ้าเป็เด็กดีที่สุด ส่วนเด็กที่ไม่ดีน่ะ หึ สมควรโดนตี”
ซูอีได้ยินก็หูกระดิกเบาๆ เสียงร้องน่าเวทนาของพี่รองลู่ยังคงดังต่อไป เขาฉีกยิ้มยิงฟันขาวสว่าง ทำเอาเสี่ยวหมี่อดหัวเราะไม่ได้ “คนบนท้องทุ่งหญ้าของพวกเ้ามีสายเืชาวแอฟริกาด้วยอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงฟันถึงขาวจั๊วะขนาดนี้”
ซูอีฟังไม่เข้าใจ ยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบเช่นเดิม
คนทั้งสองคนหนึ่งพูดคนหนึ่งฟัง
เมื่อโต๊ะอาหารสกุลลู่ถูกจัดวางเรียบร้อยแล้ว พี่รองลู่ก็นั่งทำสีหน้าไม่พอใจใช้ฝ่ามือแดงก่ำถือซาลาเปายัดเข้าปากและกัดอย่างรุนแรง จากนั้นก็หันไปมองน้องสาวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ เขาแค่ไม่ชอบใช้สมอง แต่ก็ไม่ได้โง่เขลา หากเขายังดูไม่ออกอีกว่าเป็น้องสาวยืมมือบิดามาลงโทษเขา เขาก็คงเป็หมูโง่ๆ ตัวหนึ่งแล้ว
ยามปกติดูไม่ออกว่าน้องสาวของเขาไม่ใช่ฉลาดแต่น่ากลัวต่างหาก เหมือนกับพี่ใหญ่เฝิงที่ออกจากบ้านไปแล้วคนนั้นมาก...
พี่ใหญ่ลู่มองบิดาที่สีหน้าดำคล้ำ น้องรองที่อยู่ในสภาพน่าสังเวช และน้องสาวที่ดูสงบนิ่งราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างชาญฉลาดไม่เอ่ยปากถามแม้แต่คำเดียว
ในสายตาเขาน้องชายก็ทำผิดจริงๆ น้องสาวต้องลำบากหาเลี้ยงคนในครอบครัว แค่นี้ก็เหนื่อยมากพอแล้ว คนที่เป็พี่ชายไม่เพียงไม่พยายามช่วยอย่างเต็มที่ ยังจะมาสร้างปัญหาเพิ่มให้อีก เช่นนี้จะใช้ได้ที่ไหนกัน?
ท่านลุงหยางกินซาลาเปาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทั้งยังยกน้ำแกงขึ้นดื่ม เขาเห็นสีหน้าของทุกคนในบ้านลู่อย่างชัดเจน มุมปากไม่หยุดยิ้มสักนาทีเดียว การออกมาทัศนาจรในครั้งนี้เป็การตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ คนบ้านนี้น่าสนใจยิ่งนัก เ้าไม่อาจรู้ได้เลยว่านาทีต่อมาจะเกิดเื่น่าใอะไรขึ้นอีก
ราวกับว่าเถ้าแก่เฉินมีพรายกระซิบก็ไม่ปาน เสี่ยวหมี่เพิ่งเอ่ยถึงเขากับซูอีไปตอนทำกับข้าว บ่ายวันนั้นเด็กรับใช้ของเขาก็ขึ้นเขามาแล้ว
เพราะเถ้าแก่เฉินรู้สึกว่าผักสดชุดต่อไปน่าจะงอกงามพอจะขายได้แล้ว จึงให้คนมาส่งข่าวว่าพรุ่งนี้เช้าให้พี่ใหญ่ลู่นำไปส่งให้เขาที่ร้าน
เสี่ยวหมี่ตอบรับ แล้วจึงหยิบซาลาเปาให้เด็กรับใช้คนนั้นสองลูก เด็กรับใช้ยินดียิ้มแย้มไปถึงดวงตา ทุกครั้งยามที่จะต้องมาส่งข่าวให้สกุลลู่ เด็กรับใช้ในบ้านต่างพากันแย่งจะมาให้ได้
ไม่ใช่เพราะว่าจะสามารถขึ้นไปเก็บก้อนทองคำจากหมู่บ้านเขาหมีแห่งนี้ แต่เป็เพราะคนที่นี่เป็มิตร โดยเฉพาะคนสกุลลู่ที่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างสนิทสนม ไม่ว่าพวกเขาจะกินข้าวมาแล้วหรือไม่ ยามลากลับก็มักจะยัดของกินใส่มือพวกเขามาทุกที บางครั้งยังมอบขนมแปลกๆ ที่ในเมืองไม่มีขายด้วยซ้ำให้พวกเขาลองกินด้วย
ครั้งก่อน เขาโชคดีได้ต้านเกา [1] กลับไปสองสามชิ้น เมื่อถึงบ้านมารดาเขาได้ชิมนางก็ชมไม่ขาดปาก
ยามนี้เขากำลังหิวพอดี ได้ซาลาเปาสองลูกนี้มารองท้องช่างโชคดีจริงๆ
พอกัดเข้าไปคำหนึ่งรสชาติหอมหวานก็กำจายในปาก
เสี่ยวหมี่เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาจึงเข้าไปห่อมาให้เขาอีกสองลูก
สุดท้ายเมื่อเด็กรับใช้กลับไปแล้ว เสี่ยวหมี่ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้นางยังกลัวอยู่เลยว่าถ้าเถ้าแก่เฉินเห็นไส้ซาลาเปานางอาจจะถูกบ่นได้ แต่ยามนี้นางกลับส่งหลักฐานเอาผิดตัวเองไปให้อีกฝ่ายเสียเอง
แต่เมื่อวกกลับมาคิดนางก็ยืดอกขึ้นอีกครั้ง ของที่บ้านนางปลูก ต่อให้จะมีราคาแพงกว่าทอง ก็ต้องให้คนในครอบครัวได้ลิ้มลองก่อน เงินทองจะสำคัญแค่ไหนก็ไม่สำคัญไปกว่าความสุขและสุขภาพที่ดีของคนในบ้าน
เด็กรับใช้คนนั้นเองก็เป็เด็กดี ระหว่างทางกินซาลาเปาไปสามลูก อุตส่าห์เหลือไว้ลูกหนึ่งเพื่อมอบให้เถ้าแก่เฉินเมื่อกลับถึงร้าน
เถ้าแก่เฉินลองกัดไปคำหนึ่ง ก็รู้สึกได้ว่าในไส้มีถั่วฝักยาวและผักกาดม่วง เขาพลันหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แล้วเดินไปเรือนหลัง
ประตูเล็กหลังร้านเมื่อเปิดออกไปจะเจอตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่ง เรือนสองชั้นที่อยู่ปลายสุดของตรอกนั้นก็คือบ้านสกุลเฉิน
เถ้าแก่ลู่เดินไปกลับระหว่างบ้านกับที่ทำงานอยู่ทุกวันผ่านทางนี้
ภรรยาของเถ้าแก่เฉินเจิ้งซื่อกำลังนำพวกสาวใช้เอาผ้าฝ้ายและผ้านวมออกมาตากแดด เมื่อเห็นว่าคู่ชีวิตกลับมาแล้ว ก็ยิ้มเอ่ยว่า “เหตุใดวันนี้กลับมาเร็วนัก”
เถ้าแก่เฉินโบกมือ ตอบว่า “เื่อื่นเอาไว้ก่อน ข้ามีเื่จะคุยกับเ้า”
เจิ้งซื่อส่งผ้าฝ้ายในมือให้สาวใช้ แล้วจึงเดินเข้าไปยังเรือนหลักพร้อมกับเขา
เถ้าแก่เฉินถอดรองเท้าก้าวขึ้นไปนั่งลงบนตั่งข้างหน้าต่าง เจิ้งซื่อส่งผ้าชุบน้ำให้เขาเช็ดมือเช็ดหน้าเช็ดตา แล้วสองสามีภรรยาก็นั่งสนทนาบนตั่งคู่กัน
“ฮูหยิน เยว่เซียนของเราปีนี้ก็อายุสิบแปดแล้ว อายุไม่น้อยแล้ว ่นี้ข้าถูกใจหนุ่มน้อยอยู่คนหนึ่ง เขาเป็คนไม่เลวเลย ข้าจึงอยากยกเยว่เซียนให้แต่งกับเขา”
“หนุ่มน้อยคนไหน? เป็คนในเมืองเราหรือไม่?” เมื่อเจิ้งซื่อได้ยินว่าเป็เื่แต่งงานของเยว่เซียน นางก็ตื่นเต้นมาก
พูดตามจริง ลูกสาวคนเล็กของสกุลเฉินก็นับว่าเป็คนน่าสงสาร ที่จริงนางได้หมั้นหมายไว้แล้วั้แ่ตอนอายุสิบสาม ถึงแม้จะเป็ครอบครัวพ่อค้าเหมือนกัน แต่เด็กหนุ่มคนนั้นเป็บัณฑิต อายุยังน้อยก็ได้เป็ซิ่วไฉ คนสกุลเฉินต่างรู้สึกดีใจแทนเยว่เซียน หากนางแต่งกับเขาไปคาดว่าคงได้เป็ฮูหยินขุนนางอย่างแน่นอน
เชิงอรรถ
[1] ต้านเกา(蛋糕)ขนมเค้ก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้