เนื้อวัวย่าง เนื้อวัวอบซีอิ๊ว แกงกะหรี่วัว ผัดเนื้อวัว...อ้อ แน่นอน ต้องมีสเต๊กเนื้อวัว สารพัดอาหารจานวัวเรียงรายเต็มโต๊ะ
ถ้าหวงหนิวอยู่ตรงนี้ มีการล้มโต๊ะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
นี่มันโคตรจะสะใจเลย อาหารบนโต๊ะแต่ละจานไม่ซ้ำกันสักอย่าง ที่สำคัญก็คือทุกจานทำจากเนื้อวัวด้วยวิธีการปรุงที่แตกต่างไม่ซ้ำกันสักจาน
อย่างซุปนั่นก็ซุปเนื้อวัวซีหู หรือจานล่าสุดที่เสิร์ฟก็คือบาร์บีคิวเนื้อวัวซินเจียงอีกยี่สิบไม้
พอเห็นอาหารวางเต็มโต๊ะอย่างนี้ ฉู่เฟิงก็ชักรู้สึกผิดหน่อยๆ ถ้ากินหมดนี่ กลับถึงบ้าน หวงหนิวมันจะได้กลิ่นไหมหว่า?
ถ้ามันได้กลิ่นขึ้นมา มีหวังเล่นงานเขาตาย
แต่ว่าพอเข้าปากเท่านั้น เขาก็ไม่สนอะไรแล้ว เอ่ยชมไม่หยุดปาก ขอบคุณพ่อครัวใหญ่ที่ทุ่มเททำอาหารได้เอร็ดอร่อย ทั้งยังหลากหลายขนาดนี้
กินข้าวไปพลาง ทั้งคู่ก็คุยกันเบาๆ ไปพลาง
คุยถึงเื่ที่ผ่านมา อย่างเื่เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย เพื่อนร่วมชั้นเรียน พวกเขาต่างพูดกันมากมาย ทว่าพอมาถึงเื่ระหว่างคนทั้งคู่ กลับหยุดอยู่อย่างนั้น
ฉู่เฟิงรู้สึกว่า กับเื่นี้หลินนั่วอีจงใจเว้นระยะห่าง พูดจาด้วยน้ำเสียงห่างเหิน
เขาเปิดเผย ร่าเริง หากก็ไม่ได้ถึงกับหน้าด้านหน้าทน ทดสอบอะไรแต่อย่างใด เขาพูดคุยกับเธอด้วยความรู้สึกปรกติ ทั้งสองต่างช่วยกันหลีกเลี่ยงความเคอะเขินกระอักกระอ่วนที่อาจจะเกิดขึ้น
คุยกันอยู่นาน ั้แ่สมัยเรียนในมหาวิทยาลัยจนกระทั่งบัดนี้ วันที่แผ่นดินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย
ฉู่เฟิงทอดถอนใจ ทุกแห่งหนเกิดเหตุแปลกประหลาด ในทุกวันล้วนเปลี่ยนผันแปร เหตุมากมายที่เกิดใน่ระยะเวลาไม่นานมานี้ โถมทับชั่วชีวิตของเขาที่ผ่านมาหลายปี
หลินนั่วอีรับฟังด้วยความรู้สึกเสียใจ เธอสารภาพว่า สังหรณ์ว่าโลกใบนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงั้แ่แรก ทว่าไม่คิดว่าจะรุนแรงถึงเพียงนี้
เพราะว่าในยุคหลังความรุ่งเรืองนี้ ท่ามกลางวันเวลาที่เคลื่อนคล้อยไปอย่างเชื่องช้านั้น มีเหตุการณ์ลึกลับหลายอย่างเกิดขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบเป็วงกว้าง สำหรับคนธรรมดาแล้ว ยากยิ่งนักที่จะเข้าใจได้
ทว่า ทางเทียนเสินเซิงอู้รู้ดี ทั้งยังเฉียดกรายเข้าใกล้ความจริงอีกด้วย
เพียงแต่ เื่นี้แทบจะใกล้เคียงกับเื่ต้องห้าม หลินนั่วอีเองก็บอกใบ้ฉู่เฟิงในบางเื่ หากไม่สามารถเปิดเผยทั้งหมดได้
ในตอนที่เธอเอ่ยถึงเื่ที่ผ่านมา ฉู่เฟิงตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ ครุ่นคิดอย่างจริงจัง
สุดท้าย หลินนั่วอีถามฉู่เฟิงว่า ้าย้ายไปที่อื่นหรือไม่ อย่างเช่นมหานครทางตอนเหนือ เป็เพราะเขาไท่หังซานเริ่มไม่สงบเสียแล้ว จะมีมนุษย์พิเศษมากมายเดินทางมาที่นี่
“อาจจะนะ รออีกสักพักผมอาจจะไป” ฉู่เฟิงตอบ เขาบอกไปตรงๆ ว่าเห็นข่าวพวกนั้นจากอินเทอร์เน็ตแต่แรกแล้ว
เขาเตือนหลินนั่วอีอย่างจริงจัง ให้เธอระวังตัวให้ดี มนุษย์พิเศษที่มุ่งมายังเทือกเขาไท่หังซานจำนวนมาก แม้แต่เทพวัชระยังมาด้วยตัวเอง ย่อมยากที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้
หลินนั่วอีพยักหน้าเป็เชิงรับรู้ รับปากว่าจะระวังตัวเป็อย่างดี พร้อมกันนั้นเธอก็แสดงให้เห็นเป็นัยว่า ที่จริงแล้ว้าพาฉู่เฟิงไปจากที่นี่ต่างหาก
การพบกันในครั้งนี้ เธอคิดว่าจะเป็คนพาเขาไปเอง
ทว่าตอนนี้ เมื่อได้รู้ว่ามียอดฝีมือคอยช่วยเหลือฉู่เฟิงอยู่เื้ั ทั้งยังจะพาเขาไปส่งถึงที่ เธอจึงไม่ดึงดันอีก
“ผมรู้ว่าที่เขาไท่หังซานอันตรายมาก แต่แค่ไม่ไปวุ่นวายกับมนุษย์พิเศษพวกนั้นก็น่าจะพอแล้วล่ะ” ฉู่เฟิงตอบพลางหัวเราะ
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก” หลินนั่วอีส่ายศีรษะ เธอนึกถึงบางเื่ขึ้นมาได้ นิ่งคิดอยู่ครู่แล้วจึงบอกความจริงบางอย่างแก่ฉู่เฟิงอย่างระมัดระวัง
“พวกเราตรวจพบเื่ประหลาดบางอย่าง” จากนั้น คำที่หลินนั่วอีเอ่ยมาถึงกับทำให้ฉู่เฟิงตกตะลึง
“พวกสัตว์ร้ายนกั์ล้วนกำลังเปลี่ยนแปลง พวกมันฉลาดขึ้น เหมือนกับผนึกโบราณในตัวของพวกมันคลายออก สติปัญญาของพวกมันมีพัฒนาการใกล้เคียงกับมนุษย์”
ขนาดหลินนั่วอียังพูดอย่างนี้!
ฉู่เฟิงเชื่อในสิ่งที่เธอพูด เทียนเสินเซิงอู้เป็องค์กรขนาดใหญ่ มีข้อมูลมากมายในมือ รู้เื่หลายเื่ที่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเข้าถึง
“่เวลาที่ผ่านมานี้ มีมนุษย์พิเศษปรากฏตัว ทุกหนทุกแห่งล้วนพูดถึงพวกเขา แต่มีสักกี่คนที่สังเกตถึงพวกสัตว์ที่กลายพันธุ์? พวกมันสงบเงียบอย่างยิ่ง มีจำนวนมากที่อยู่ใน่จำศีลเก็บตัว
พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ ฉู่เฟิงถึงกับแตกตื่น
หลินนั่วอีใช้คำว่า “สงบเงียบ” “เก็บตัว” มาอธิบายให้เห็นระดับความฉลาดของสัตว์พวกนั้น ฉู่เฟิงเองก็คิดว่า พวกสัตว์ที่มีระดับสติปัญญาใกล้เคียงกับมนุษย์พวกนั้น ตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่?
“พวกเราจับได้บางตัว แกร่งอย่างยิ่ง ฉลาดอย่างยิ่ง ไม่เป็รองมนุษย์เลย ดูจะเพิ่มขึ้นด้วย ความสามารถในการเรียนรู้ ความสามารถในการเลียนแบบร้ายกาจอย่างยิ่ง”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ หลินนั่วอีมีสีหน้าใคร่ครวญ
“น่าจะเกิดเื่ใหญ่” ฉู่เฟิงผลักจานอาหารออกห่าง ในใจเริ่มกังวล เขานึกถึงอะไรหลายๆ อย่าง ใช้นิ้วเคาะโต๊ะไปพลาง ครุ่นคิดไปพลาง
“ฉันกล้ายืนยันว่า พวกสัตว์ร้ายที่กลายพันธุ์นั่น มีมากกว่ามนุษย์พิเศษเสียอีก!” หลินนั่วอีเอ่ย
คำพูดนี้ทำให้ฉู่เฟิงใจเต้นแรง เื่นี้น่าจะจริง เพราะสัตว์ร้ายพวกนี้อาศัยอยู่ในป่าคลุกคลีอยู่กับต้นไม้ใบหญ้า
พอลูกไม้วิเศษออกผล พวกมันเจอได้รวดเร็วกว่ามนุษย์เสียอีก!
“ทำไมผมรู้สึกว่าอนาคตมันชักจะน่ากลัวขึ้นทุกที” ฉู่เฟิงเอ่ย
“ดังนั้น จึงควรกลับเข้าเมืองใหญ่เสียก่อน” หลินนั่วอีตอบ
ฉู่เฟิงสงสัยมาตลอด ่ที่ผ่านมานี้ นอกจากบรรเทาสาธารณะภัยแล้ว ทางรัฐบาลนิ่งเงียบมาโดยตลอด หรือว่ากำลังกังวลเื่อะไรอยู่?
หลินนั่วอีเอ่ยตรงๆ หลังจากยุคแห่งความเรืองรองเป็ต้นมา ตลอด่เวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดนี้ เชื่อได้ว่าทางรัฐบาลล่วงรู้ความนัยบางอย่าง ทว่าไม่อาจออกข่าวอย่างเป็ทางการได้
“รัฐบาลพยายามปกป้องประชาชนมาตลอด บางทีอาจจะมีมาตรการอะไรเร็วๆ นี้ ฉันคิดว่าตอนนั้นน่าจะเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวง!” หลินนั่วอีวิเคราะห์สถานการณ์ออกมาอย่างนี้
ทั้งคู่สนทนากันมากมาย มื้อกลางวันวันนี้กินเวลาเนิ่นนาน
“จริงสิ ถ้าคุณรู้สึกลำบากใจที่จะคุยกับอาเล็กของคุณ หรือว่ามีคนปกป้องสวีหวั่นชิง คุณจะปล่อยตัวเขาก็ได้นะ” จู่ๆ ฉู่เฟิงก็โพล่งเื่นี้ขึ้นมา
หลินนั่วอีไม่เอ่ยอะไร ได้แต่มองฉู่เฟิงอยู่อย่างนั้น
“อย่ามองผมอย่างนั้นสิ คือผมรู้จักมนุษย์พิเศษที่คอยช่วยผมดี เขาเป็พวกเ้าอารมณ์ ผมห่วงว่าเขาอาจกำลังคิดแก้แค้นแทนผม ถ้าหากเกิดเื่กับผู้หญิงคนนั้นตอนที่เธออยู่ในกำมือคุณ จะมิกลายเป็สร้างปัญหาให้คุณหรือ?” ฉู่เฟิงเอ่ย ว่าแล้วก็ถามอีกประโยค “เขาเป็เพื่อนคุณงั้นเหรอ?”
“เขามักจะบอกกับใครต่อใครว่าเป็เพื่อนสนิทฉัน” หลินนั่วอีตอบ ทั้งยังแจกแจงความสนิทสนมระหว่างสวีหวั่นชิงกับชายหนุ่มที่ชื่อมู่อีกด้วย
“เข้าใจละ!”
สุดท้าย ก็ถึงเวลาร่ำลา หลินนั่วอีเดินนิ่งๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าฉู่เฟิง แล้วกอดเขาแ่เบาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว เรียกได้ว่าเป็การใกล้ชิดกันที่สุดนับจากคนทั้งสองรู้จักกัน
“ผมเคยบอกว่าคุณยังติดค้างผมอยู่หนึ่งกอด จะใช้คืนผมวันนี้เลยเหรอ?” ฉู่เฟิงอุทานเบาๆ เขารู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร
“เวลาที่อยู่กับคุณ ฉันรู้สึกสบายใจมากนะ แต่ว่า ถึงจะคบกันมาระยะหนึ่ง แต่ฉันก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นกับคุณเลย” หลินนั่วอีเอ่ยเรียบๆ
เธอรูปร่างสูงโปร่ง ผมนุ่มยาวสลวย แก้มเนียนผ่องใส ตาสวยทอประกายแวววาว เรียวปากสีสดฟันขาวสะอาด อีกทั้งเอวแบบบาง และสองขาที่ขาวเรียว ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความมีเสน่ห์เย้ายวนที่อยู่ภายใต้ท่าทีที่เ็าอย่างยิ่ง
“ชดใช้ให้ผม แล้วก็เอาเื่เก่ามาตอกย้ำ คุณนี้จริงๆ เลย ... กลัวผมจะคิดมากงั้นเหรอ” ฉู่เฟิงส่ายศีรษะ ค่อนข้างไม่พอใจ
ก็เพราะว่า คำพูดประโยคหลังนั้น หลินนั่วอีเคยกล่าวกับเขามาก่อน
หลินนั่วอีเสยผม เดินเคียงข้างเขาออกจากภัตตาคาร เธอบอกว่า “ฉันไปส่งคุณนะ”
“ไม่ต้องหรอก ผมรู้ว่าคุณงานยุ่งมาก อีกไม่นานจะเกิดเื่วุ่นวายที่เขาไท่หังซาน คุณไปจัดการเถอะ ช่วยหารถให้ผมสักคันก็พอ” ฉู่เฟิงตอบ
“ก็ได้” หลินนั่วอีพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอมีเื่ต้องจัดการอีกมากจริงๆ แหละ มีความเป็ไปได้ที่อีกไม่นานก็จะปะทะกับกลุ่มโพธิจีนส์แล้ว
รถสีบรอนซ์เงินขับเคลื่อนเข้ามา พร้อมด้วยมนุษย์พิเศษอีกสองคนคอยอารักขาฉู่เฟิงในขากลับ
ฉู่เฟิงก้าวลงจากรถเมื่อถึงหน้าบ้านตัวเอง โบกมือให้พวกเขาเป็เชิงขอบคุณ รถคันนั้นขับห่างออกไป
“บนตัวจะมีกลิ่นเนื้อวัวเปล่าหว่า?” เขาดมกลิ่นตัวเอง ไม่ยักได้กลิ่นแฮะ แต่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
“ไปจัดการเื่สำคัญก่อนดีกว่า” เขาไม่ได้เดินเข้าบ้าน หากออกเดินไปทางป่า ระหว่างทางก็หยิบปืนไปด้วยกระบอกหนึ่ง
ใน่ไม่กี่วันนี้เขาเผชิญกับการล้อมโจมตีด้วยอาวุธปืนถึงสองครั้งติดๆ กัน ยึดมาได้ไม่น้อย
ตลอดบ่าย ฉู่เฟิงซ้อมยิงปืนอยู่ในป่าลึก สาดะุไม่หยุด จนในที่สุดก็ค่อยๆ เข้าเป้ามากขึ้น
นับั้แ่ที่ฝึกเคล็ดหายใจแบบพิเศษ สมรรถนะทางกายของเขาเพิ่มขึ้นทุกด้าน ประกอบกับที่ฝึกวิชาหมัดปีศาจวัว สภาพร่างกายแกร่งจนน่ากลัว
หลังจากฝึกยิงปืนอย่างไม่หยุดพัก อาศัยการมองเห็นอันคมชัดไปจนถึงประสาทััอันน่ากลัว เขาแทบจะกลายเป็นักแม่นปืนฝีมือดีไปเสียแล้ว
ฉู่เฟิงออกเดินทาง พอพลบค่ำก็กลับไปยังอำเภอเมืองอีกครั้ง
เขายืนอยู่ไกลๆ มองดูคนของเทียนเสินเซิงอู้ที่เฝ้ารักษาฐานบัญชาการ ลอบตรวจสอบอย่างเงียบเชียบ คนพวกนั้นกระจัดกระจาย เหมือนกับกลัวว่าจะถูกอาวุธปืนถล่ม
แต่ว่า พวกเขาก็แค่พิจารณาอย่างรอบคอบเท่านั้น ดูแล้วคนจากกลุ่มโพธิจีนส์ไม่น่าจะเพี้ยนขนาดใช้อาวุธปืนโจมตีฐานที่อยู่ในตัวอำเภอเมือง
ตอนกลางวัน เทียนเสินเซิงอู้เพิ่งปะทะกับโพธิจีนส์เข้าไปสองสามครั้ง ดูท่าคืนนี้คงไม่ใช่ค่ำคืนอันเงียบสงบ
ตกดึก กองกำลังของทั้งสองฝ่ายก็ประมือกันอีกครั้ง
ฉู่เฟิงเฝ้ามองอย่างเงียบงัน จนกระทั่งเริ่มวุ่นวาย เขาจึงแฝงตัวเข้าไปใกล้ หากยังคงอยู่ในระยะไกล เป็เพราะสายตาของเขาเฉียบคมว่องไว อีกทั้งตอนนี้มีคนเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
เมื่อตอนสนทนากับหลินนั่วอี เขาเข้าใจสถานการณ์ได้ไม่น้อย อย่างน้อยก็ได้เห็นรูปของสวีหวั่นชิงแล้ว หลังจากสืบเสาะค้นหาอยู่นาน เขาเจอตัวสวีหวั่นชิงในที่สุด เธอได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว
“เป็คนที่ชื่อมู่ปล่อยตัวออกมาหรือเปล่านะ?”
ฉู่เฟิงมองอยู่ไกลๆ ผู้หญิงคนนี้เป็มนุษย์พิเศษ ความสามารถคงมีไม่น้อย หากตอนนี้ เขาเืเย็นไร้หัวใจ เสียงปืนดังขึ้นทันทีที่เหนี่ยวไก ตามมาด้วยเสียงปุจากที่ไกลออกไป รอยเืกระจายพร้อมด้วยเสียงร้องโหยหวน
ฉู่เฟิงจากไป ไม่แม้แต่จะหันไปมอง อาศัยความมืดยามราตรี หายตัวไปท่ามกลางความวุ่นวายจากการปะทะของทั้งสองฝ่าย