อวิ๋นเจียวถามขึ้นบ้าง “แล้วพี่ใหญ่เล่าเ้าคะ?”
อวิ๋นฉี่เยว่ตอบ “ข้าจะไปที่ร้านหนังสือหังไจ” ในมือเขามีบทประพันธ์ที่แต่งไว้ั้แ่อยู่เมืองหลวง อยากจะขายเพื่อนำเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนที่สำนักศึกษาเอกชนและช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบ้านของท่านพ่อท่านแม่
อวิ๋นเจียวหันไปถามอวิ๋นฉี่ซาน “แล้วพี่รองจะไปที่ใดเ้าคะ?”
อวิ๋นฉี่ซานตอบ “ข้าต้องไปซื้อเครื่องมือสักหน่อย”
“เจียวเอ๋อร์ พวกเราไปร้านหนังสือก่อนเถอะ” ั้แ่ที่พวกเขากลับบ้านเกิด ระหว่างทางแวะพักที่อำเภอ อวิ๋นฉี่เยว่ก็แอบสังเกตตำแหน่งของร้านหนังสือหังไจเอาไว้แล้ว
ร้านหนังสือหังไจอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ อีกเหตุผลหนึ่งที่อวิ๋นฉี่เยว่อยากไปที่ร้านหนังสือหังไจก่อน ก็คือเขาอยากให้อวิ๋นเจียวได้ดื่มชาร้อนสักถ้วย พักผ่อนให้หายเหนื่อยเสียก่อน ตลอดการเดินทางที่ผ่านนี้ รถลากโคลงเคลงเสียจนใบหน้าเล็กๆ ของนางซีดเซียว อวิ๋นฉี่เยว่เห็นแล้วก็อดเป็ห่วงไม่ได้
“เ้าค่ะ!” อวิ๋นเจียวตอบตกลงทันทีโดยไม่คิดมาก อวิ๋นฉี่เยว่ยิ้มบางๆ แล้วจูงมือน้องสาวเดินไปที่ร้านหนังสือหังไจอย่างช้าๆ
เมื่อน้องสาวไม่ขัดข้อง อวิ๋นฉี่ซานก็ไม่มีความเห็น ยิ่งไปกว่านั้น ต่อหน้าพี่ชายคนโตเขาก็ทำได้เพียงยอมยอมรับ ต่อให้มีความเห็นก็คงเปล่าประโยชน์อยู่ดี
ร้านหนังสือหังไจเป็หนึ่งในร้านหนังสือขนาดใหญ่ของแคว้นต้าเยี่ย มีสาขาเปิดอยู่ทั่วทุกมุมของแคว้น ร้านหนังสือแห่งนี้ไม่ได้ขายแค่หนังสือสำหรับเตรียมสอบคัดเลือกขุนนาง เหมือนกับร้านหนังสือซินหัว [1] ในยุคปัจจุบัน นอกจากหนังสือหลากหลายประเภทแล้ว ยังมีสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย เช่น อุปกรณ์เครื่องเขียนภาพวาด อักษรเขียนพู่กันต่างๆ เป็ต้น
ทันทีที่พวกเขามาถึงร้านหนังสือหังไจ ลูกจ้างที่ดูเฉลียวฉลาดก็รีบออกมาต้อนรับแขก แม้ว่าอวิ๋นเจียวสามพี่น้องจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เรียบง่าย สวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อดีทั้งสามคน แต่ท่าทางของพวกเขากลับสง่างาม ไม่ปรากฏความรู้สึกต่ำต้อยหรือกลิ่นอายของชาวบ้านที่ปะปนด้วยความถ่อมตนแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะเด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกเด็กหนุ่มจูงมือมา ไม่เพียงแต่มีใบหน้าที่งดงามน่ารัก เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูประณีต ทั้งแขนเสื้อ คอเสื้อ และชายกระโปรง ล้วนปักลวดลายดอกไม้ที่งดงาม อีกทั้งยังเข้าชุดกับเครื่องประดับเงินงดงามบนศีรษะของนางอีกด้วย
อย่างน้อยที่สุด ชาวบ้านทั่วไปก็หาคนที่มีรสนิยมเช่นนี้ได้ยาก ดังนั้นแม้ว่าทั้งสามคนจะอายุยังน้อย แต่ลูกจ้างก็ไม่กล้าแสดงกิริยาละเลยแม้แต่น้อย
“เชิญด้านในขอรับ ร้านหนังสือของเรามีหนังสือเกี่ยวกับการสอบคัดเลือกขุนนางทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง่นี้เพิ่งได้หนังสือคำอธิบายสี่ตำราห้าคัมภีร์ [2] ของนักปราชญ์ชื่อดังมาใหม่ เป็ประโยชน์ต่อการสอบคัดเลือกขุนนางเป็อย่างยิ่ง” ลูกจ้างคนนั้นเห็นว่าบนร่างกายของอวิ๋นฉี่เยว่มีกลิ่นม้วนหนังสือจางๆ จึงเดาว่าเขาเป็บัณฑิต จึงตั้งอกตั้งใจแนะนำสินค้า
ในเวลานั้นมีลูกค้าอยู่ในร้านไม่น้อย อวิ๋นฉี่เยว่จึงเอ่ยขึ้นว่า “คุยกันในห้องรับรองเถอะ”
ลูกจ้างใเล็กน้อย พลางพิจารณาอวิ๋นฉี่เยว่อย่างละเอียด เด็กหนุ่มผู้นี้ดูอายุไม่มาก น่าจะราวๆ สิบสามปีเท่านั้น แต่คำพูดของเขากลับดูเป็ธรรมชาติ ราวกับว่าทำบ่อยจนเป็เื่ปกติ
ต้องเข้าใจว่าห้องรับรองเป็สถานที่สำหรับต้อนรับแขกคนสำคัญ ลูกจ้างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กัดฟันโค้งคำนับ เชิญพวกอวิ๋นเจียวสามพี่น้องเข้าไปในห้องรับรอง
หากทั้งสามคนเป็แขกธรรมดา เขาคงถูกหลงจู๊ด่าเป็แน่ แต่หากพวกเขาไม่ใช่... ลูกจ้างผู้นั้นแอบมองอวิ๋นฉี่เยว่อีกครั้ง เขาคิดว่านี่อาจจะเป็การเสี่ยงที่คุ้มค่า
หลังจากเข้ามาในห้องรับรอง อวิ๋นฉี่เยว่ก็หยิบสมุดที่คัดลอกด้วยลายมือออกมาจากอกเสื้อ แล้วพูดกับลูกจ้างคนนั้นว่า “รบกวนนำไปให้หลงจู๊ของพวกเ้าดู”
อวิ๋นฉี่ซานเพิ่งนั่งลง พอเห็นเช่นนั้นก็ถามขึ้นว่า “พี่ใหญ่ นั่นคืออะไรหรือ?”
อวิ๋นฉี่เยว่ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หนังสือที่ข้าคัดลอกขึ้นมา นำมาให้หลงจู๊ดูว่าสามารถแลกเงินได้สักสองตำลึงหรือไม่”
อวิ๋นฉี่ซานคิดว่าลายมือของพี่ชายสวยจริงๆ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ลูกจ้างที่ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้ากลับซีดเผือด ล้อเล่นอันใด คนคัดหนังสือธรรมดาๆ ถึงกับกล้าขอเข้าห้องรับรองอย่างหน้าด้านๆ! เขาคิดว่าตัวเองเป็ใครใหญ่มาจากไหนกัน?
เขาอยากจะไล่พวกเขาออกไปเสียจริงๆ แต่กฎของร้านหนังสือเข้มงวดมาก เขาไม่กล้าล่วงเกินลูกค้า จึงทำได้เพียงกัดฟันนำหนังสือในมือไปมอบให้หลงจู๊ แม้จะไม่กล้าไล่พวกเขาออกไปจากห้องรับรอง แต่เขาไม่ยอมรินชาให้พวกเขาเด็ดขาด บ้าจริงเชียว คิดจะหลอกเขาหรือ อยากดื่มชาหรือ ไม่มีทางซะหรอก!
ด้านอวิ๋นฉี่เยว่มองเห็นสีหน้าของลูกจ้างอย่างชัดเจน แต่เขายังคงสงบนิ่ง ไม่เอ่ยวาจาใดๆ ส่วนอวิ๋นเจียวที่มองเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา ต่างจากอวิ๋นฉี่ซานที่ไม่ได้คิดมาก อวิ๋นฉี่เยว่พูดอะไรเขาก็เชื่อไปหมด
อวิ๋นเจียวรู้ดีว่าพี่ชายของนางเป็คนอย่างไร เขาไม่มีทางทำเื่อะไรบุ่มบ่ามแน่นอน ห้องรับรองนั้นเป็สถานที่สำหรับร้านค้าไว้ต้อนรับแขกคนสำคัญ แต่ดูอย่างไรพวกเขาทั้งสามคนก็ไม่เหมือนแขกคนสำคัญ
แต่พี่ชายของนางกลับขอเข้ามาในห้องรับรองทันทีที่มาถึง แถมยังทำท่าทางราวกับเป็เื่ที่สมควรทำอยู่แล้วอีกด้วย ต้องรู้เอาไว้ว่าคนคัดหนังสือธรรมดาๆ ไม่มีทางได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
ด้านลูกจ้างที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องรับรอง ก็มีลูกจ้างคนอื่นๆ มารุมล้อม พลางถามด้วยรอยยิ้ม “เ้าสี่เซียว เ้าเจอลูกค้ารายใหญ่มาหรือ? ถึงกับเชิญเข้าไปในห้องรับรองเชียว!”
“นั่นสิ ดูจากการแต่งกายแล้วก็มิได้ร่ำรวยอะไร เ้าคงตาถั่วแล้วกระมัง?”
“ฮ่าๆๆ เ้าสี่เซียวคงอยากเจอลูกค้ารายใหญ่จนเพ้อเจ้อไปแล้ว ถึงได้เชิญใครก็ไม่รู้เข้าไปในห้องรับรองได้”
“เอ๊ะ ข้าถามเ้าหน่อย เ้ารับลูกค้าอะไรมา? พวกเขา้าจะซื้อสิ่งใด? พวกเขาพักอยู่ที่ใด? ้าซื้อของเยอะหรือไม่? อยากให้พวกเราช่วยขนของไปส่งที่จวนหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาแดงก่ำ และสีหน้าไม่สบอารมณ์ ทุกคนก็พากันหัวเราะเยาะ
“ไม่อยากได้ค่าแรงกันแล้วหรือไง? ส่งเสียงโหวกเหวกอะไรกัน!” ชายวัยกลางคนสวมชุดยาวสีครามเข้มปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้ามืดครึ้มพร้อมกับเอ่ยตำหนิเสียงเย็น
“ท่านหลงจู๊” ทุกคนรีบหุบปากราวกับหนูเห็นแมวต่างพากันแยกย้ายอย่างรวดเร็ว ทว่าทุกคนไม่ได้เดินไปไหนไกลนัก แสร้งทำเป็ทำงาน แต่ยังลอบมองเ้าสี่เซียวกับหลงจู๊ อยากรู้ว่าหลงจู๊จะสั่งสอนเขาอย่างไร
ลูกจ้างหนุ่มยืนหงอยเหมือนมะเขือต้องน้ำค้างแข็ง [3] อยู่ตรงหน้าหลงจู๊อย่างหมดเรี่ยวแรง ก่อนจะยื่นหนังสือในมือให้หลงจู๊ “มีแขกบอกว่าคัดลอกหนังสือมา อยากจะแลกเป็เงินสองตำลึงขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลงจู๊ก็ยกมือขึ้นราวกับจะตบเ้าสี่เซียวสักหนึ่งที ทำเอาเ้าสี่เซียวรีบหดคอด้วยความหวาดกลัว ถอยหลังหลบไปสองก้าว ยิ่งเรียกเสียงหัวเราะขบขันจากลูกจ้างคนอื่นๆ ได้เป็อย่างดี
“ลายมือของเขาทำจากเงินหรือไง? คัดลอกหนังสือเล่มเดียว กล้าขอเงินตั้งสองตำลึง! ยิ่งไปกว่านั้น คนคัดหนังสือธรรมดาๆ เ้ากลับพาเขา...” หลงจู๊เปิดปากด่าทันที แต่ยังไม่ทันด่าจบ พอสายตากวาดมองเห็นตัวอักษรสองสามตัวบนหน้าปกหนังสือ เขาก็ชะงักค้าง เขารีบเปิดหนังสือออก ยิ่งอ่านก็ยิ่งตื่นเต้น สุดท้ายก็ไม่สนใจเ้าสี่เซียว วิ่งปรี่ตรงเข้าไปในห้องรับรองราวกับลมพัด
“เ้าสี่เซียว เ้าซวยแล้ว ดูสิว่าเ้าทำให้หลงจู๊โกรธขนาดไหน เตรียมเก็บข้าวของออกไปได้เลย!”
“เ้าสี่เซียว เ้ามันยังอ่อนหัดนัก ห้องรับรองเป็สถานที่ที่ใครจะเข้าไปก็ได้หรือไง?”
ทันทีที่หลงจู๊หายไป ทุกคนก็เริ่มซ้ำเติมเ้าสี่เซียว ตอนนี้เ้าสี่เซียวรู้สึกอยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด เขาเกลียดทั้งสามคนที่อยู่ในห้องรับรองเป็อย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันก็อยากจะควักลูกตาของตัวเองออกมาเหยียบให้แหลกคาเท้า สายตาอะไรกันเนี่ย!
ขณะนั้นหลงจู๊ก็วิ่งออกมาจากห้องรับรอง แล้วเตะก้นเ้าสี่เซียวเข้าอย่างจัง “ไยยังยืนโง่อยู่อีก? รีบไปรินชา ชาดีๆ! แล้วก็เอาขนมกับผลไม้มาให้พวกเขาด้วย อย่าให้ขาดตกบกพร่องกับแขกคนสำคัญ!”
เอ่อ... เ้าสี่เซียวมองหลงจู๊อย่างไม่อยากเชื่อ เขาเพิ่งพูดว่าอะไรนะ? หลงจู๊ถลึงตามองเขาอย่างหัวเสียที่อีกฝ่ายช่างไม่ได้ความเอาเสียเลย “ไอ้โง่ ยังไม่รีบไปอีก!”
บ้าจริงเชียว นี่เป็บทประพันธ์เล่มใหม่ของท่านอาจารย์หลานหลิง จะเป็หนังสือที่คัดลอกขึ้นมาได้อย่างไร? สายตาอะไรกันเนี่ย? อยากจะควักออกมาเหยียบให้แหลกคาเท้าเสียเลย!
ทุกคน : ...บ้าจริง! ไอ้เด็กนั่นเจอแขกคนสำคัญจริงๆ ด้วย!
เชิงอรรถ
[1] ร้านหนังสือซินหัว (新华书店) คือสำนักพิมพ์และร้านจัดจำหน่ายหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
[2] สี่ตำราห้าคัมภีร์ (四书五经) คือหนังสือคลาสสิกของลัทธิขงจื๊อ ที่ประกอบไปด้วยหนังสือ 9 เล่ม
[3] มะเขือต้องน้ำค้างแข็ง (霜打的茄子) ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ดูห่อเหี่ยว เหมือนมะเขือที่ถูกน้ำค้างแข็งแล้วเหี่ยวเฉา ไม่สดชื่น