“เ้าอุตส่าห์นั่งทำทั้งวันทั้งคืน ไม่ยอมหลับยอมนอน ถึงเวลานี้เ้าคงเสียใจไม่น้อยสินะ” องค์ชายรองหยิบขนมเข้าปากแล้วกินจนหมด ก่อนจะถือถาดเปล่านำกลับไปคืนยังเ้าของ สองเท้าเดินดุ่มๆ มุ่งตรงไปยังจวนของแม่ทัพลู่ ระหว่างทางเหล่าขุนนางต่างๆ พากันก้มทำความเคารพอย่างมีระเบียบ
“คารวะองค์ชายรอง”
“เหิงเยว่ล่ะ” ชายหนุ่มกล่าวถามจากทหารเฝ้าหน้าจวน ก่อนจะมุ่งตรงไปยังลานซักผ้าที่ตั้งอยู่หลังจวน เขายืนดูร่างบางที่กำลังก้มซักผ้าตามลำพัง ั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่ว่าขยับไปทางใด กิริยาอันอ่อนช้อยดึงสายตาขององค์ชายรองจนมิอาจละได้
“ท่านพ่อประทานสาวรับใช้กับจวนแม่ทัพลู่เป็จำนวนมาก เหตุใดจึงไม่ใช้พวกนาง” ร่างบางสะดุ้งตัว หันกลับมายังต้นเสียง จึงรีบลุกขึ้นแล้วก้มทำความเคารพด้วยกิริยาอ่อนน้อม
“ข้านำถาดขนมมาคืน แต่พึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า สาวใช้ที่ท่านพ่อประทานให้ กลับมีนิสัยเกียจคร้าน ปล่อยให้เ้าทำงานพวกนี้เองตามลำพัง”
“ขอองค์ชายรองอย่าได้ตำหนิพวกนาง เป็ข้าเองที่อยากทำ” เหิงเยว่รีบกล่าวรับหน้าแทน เพราะกลัวว่านางกำนัลเ่าั้จะถูกทำโทษ ดวงตากลมเล็กหลุบต่ำอยู่ตลอดเวลา ด้วยเพราะฐานันดรที่แบ่งเส้นกันอย่างชัดเจน ชายหนุ่มเดินวนดูรอบๆ พลางวางถาดขนมลงกับโต๊ะไม้ด้านหน้า
“องค์รัชทายาทชอบขนมของหม่อมฉันไหมเพคะ” คำถามของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มผู้มากด้วยยศถาบรรดาศักดิ์นิ่งเงียบ พลางรอบสังเกตสายตาตั้งความหวังของนาง แต่ไม่อาจทนเห็นนางเสียใจได้
“องค์รัชทายาทชมว่าอร่อย” เป็ครั้งแรกที่องค์ชายรองพูดโกหก เพียงเพราะ้าปกป้องความรู้สึกของสาวงามตรงหน้า
“เช่นนั้นหรือเพคะ”
“ข้าจะหลอกเ้าทำไม” หลังจากนั้นรอยยิ้มแสนสวยค่อยๆ คลี่ออกมาด้วยความหวัง ย้อนไปในอดีต สระมรกตแห่งนั้น คือสถานที่ลงเล่นน้ำของเหล่าเด็กๆ และนางคือหนึ่งในเด็กจอมซนทั้งหลาย ที่พากันไปแอบเล่นน้ำในจุดต้องห้าม ครั้นสายตาหันไปเห็นดอกบัวสีชมพูอ่อน ที่งอกเด่นตระหง่านอยู่เพียงปลายนิ้วเกี่ยวถึง จึงพยายามจะเอื้อมมือเด็ด หากแต่พลัดตกลงไปในร่องน้ำลึก เสียงแตกตื่นของเหล่าเด็กๆ พากันะโเรียกให้คนช่วย ในจังหวะห้วงเวลารอยต่อของชีวิต เหิงเยว่พยายามตะเกียกตะกายเอาตัวรอด ก่อนจมดิ่งร่างลอยระลิ่วลงสู่ด้านล่าง ใน่เวลานั้น มีมือของใครบางคนมาฉุดคว้าไว้ แล้วดึงขึ้นสู่้า
“เ้าปลอดภัยแล้ว” เสียงเด็กชายที่โตกว่า พูดด้วยน้ำคำราบเรียบ พลางวางตัวเหิงเยว่ลงบนขอบสระด้วยกิริยาสำรวม ใบหน้านิ่งราวกับคนไร้ความรู้สึกในเวลานั้น ไม่ได้แตกต่างกันจากวันนี้เท่าไหร่นัก
“เ้าเป็อย่างไรบ้างเหิงเยว่ โชคดีจังที่องค์ชายมาช่วยไว้ได้ทัน” เพื่อนนางหนึ่งรีบเข้ามาประคอง ในขณะที่ร่างของเด็กชายกำลังเดินจากไป และทันเห็นเพียงชายผ้าของเขาเท่านั้น
“เ้าว่าอะไรนะ” เด็กหญิงผู้เปียกปอนพยุงตัวนั่งช้าๆ สังเกตอาการของเหล่าบรรดาเพื่อนทั้งหลาย ที่กำลังตระหนกอยู่ไม่น้อย สายตาทุกคนจับจ้องไปยังร่างของเด็กชายที่พึ่งหายวับไป ตามด้วยเสียงงึมงำที่เอาแต่พูดถึงองค์ชายซ้ำๆ ไม่ขาด
“คนที่มาช่วยข้า คือใครเ้าพูดอีกครั้งสิ” เหิงเยว่ถามเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“องค์ชายโจวอี้เฟย องค์ชายลำดับที่หนึ่ง ต่อไปในภายหน้าเขาจะได้รับตำแหน่งเป็องค์รัชทายาท และดำรงเป็องค์จักรพรรดิคนต่อไป โดยปกติแล้วองค์ชายไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใดมากนัก และน้อยคนจะได้ยลพระพักตร์ แต่เ้าถูกองค์ชายโจวอี้เฟยช่วยไว้ นับเป็วาสนายิ่ง”
เหิงเยว่หันมองถาดขนมไม่ละสายตา หลังจากภาพในอดีตจางไป นางได้สติจึงเห็นว่าองค์ชายรองกำลังจับจ้องใบหน้านางอยู่เช่นเดียวกัน แววตาเข้มที่มองตรงมามีความหมายหลายอย่าง หากแต่นางไม่อาจเอื้อมคิดสบตา จึงก้มหน้าลง แล้วถามอย่างไม่มั่นใจ
“หน้าหม่อมฉันมีอะไรติดฤาไม่เพคะ” องค์ชายรองส่ายศีรษะ พลางส่งยิ้มให้ แล้วหันหลังเดินกลับไป
“เดี๋ยวก่อนเพคะ” หลังจากกล่าวรั้งเขาไว้ เหิงเยว่รีบวิ่งเข้าไปในครัว แล้วออกมาพร้อมกับขนมถั่วดำสี่ห้าชิ้น
“อันนี้ขององค์ชายรองเพคะ ยังอุ่นอยู่เพราะพึ่งขึ้นจากเตาเมื่อครู่” เพียงสบตาแสนอ่อนโยนคู่นั้น พร้อมด้วยน้ำคำหวานของนาง ทำให้หัวใจขององค์ชายรองเต้นรัวถี่ ค่อยๆ เอื้อมมือมารับไว้ ส่งยิ้มอบอุ่นสุดท้ายแล้วเดินจากไป เหิงเยว่มองตามร่างสง่างาม อันที่จริงแล้วหากนางไม่ได้เป็คนสนิทของพระสนมเจียวจิน องค์ชายรองคงไม่เมตตาถึงเพียงนี้
สายน้ำไหลรินลงสู่ด้านใต้ ธารน้ำใสไหลหล่อเลี้ยงชาวเมืองจ้านหลิวมานานนับล้านๆ ปี มิเคยเหือดแห้ง เด็กชายตัวเล็กแต่งตัวด้วยชุดชาวบ้านธรรมดาเดินมาตักน้ำ เพื่อนำไปรดสวนผักและหุงหาอาหารเป็กิจวัตรประจำวัน
“เอ๊ะ...นั่นผู้ใดกัน มานอนอยู่ตรงนั้น” เด็กชายวางหาบแล้วรุดไปตรวจสอบ สองเท้าก้าวเข้าไปหาช้าๆ สำรวจนางั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า สะดุดตากับชุดที่ถักทอด้วยเส้นไหมราคาแพง เป็ของหายากสำหรับประชาชนคนธรรมดา แลเหตุใดหญิงปริศนาผู้นี้ จึงมานอนหลับใหลตรงพงหญ้า เด็กชายตัวเล็กเงยหน้ามองรอบๆ ให้แน่ใจอีกครั้งว่ามีนางเพียงผู้เดียว
“การแต่งกายเยี่ยงนี้ ข้ามิเคยเห็น หรือว่านางจะเป็คนของวังหลวง” มือน้อยๆ ขยับเข้าไปใกล้แล้วอังที่ปลายจมูก ปรากฏว่ายังมีลมหายใจอ่อนๆ แทรกมากระทบนิ้วก่อนชักมือกลับ ดวงตาเล็กสำรวจร่างที่นอนหลับใหลเป็ครั้งสุดท้าย
“พี่สาวๆ ” เขาตัดสินใจเรียก ทว่าร่างบางยังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ในตอนนี้เด็กชายตัวเล็กเข้าใจแล้วว่านางไม่ได้แค่หลับใหลเท่านั้น เขามองรอบๆ อย่างใช้ความคิด แล้วตัดสินใจหันหลังวิ่งกลับไปบ้าน ไม่นานนักจึงกลับมาพร้อมหญิงชราผู้หนึ่ง ทั้งสองเดินตรงมาด้วยท่าทางรีบร้อน
“พี่สาวอยู่ตรงนั้น แม่ช่วยข้าพยุงนางกลับบ้านที” หลังจากหญิงชรามองเห็น จึงรีบเข้าไปประคองร่างอันไร้สติของซูเจินกลับมาด้วยความทุลักทุเล ก่อนวางนางลงบนเตียงไม้เก่า ซึ่งอยู่ในกระท่อมไม้ขนาดพอดี ภายในตบแต่งด้วยสิ่งของเรียบง่ายไม่มีราคา สองแม่ลูกใช้ชีวิตแบบพอเพียงปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ไว้กินตามมีตามเกิด
“ทำอย่างไรดี นางไม่ยอมฟื้น” เด็กชายตัวเล็กถามมารดาด้วยความเป็ห่วง
“ไปเอาน้ำแกงที่แม่ต้มไว้มา นางอาจหมดแรงเพราะไม่ได้กินอาหารหลายวัน” สองแม่ลูกประคองซูเจินนั่ง แล้วหยอดน้ำแกงใส่ปากช้าๆ อย่างใจเย็น หลังจากน้ำแกงหมดถ้วย จึงเอนกายนางลงนอนราบ พลางยกผ้ามาปิดเพื่อให้ความอบอุ่น ในขณะที่สองแม่ลูกต้องย้ายลงมานอนกับพื้น
“คืนนี้เรานอนกันที่พื้น เจ็บหลังเสียหน่อย เ้าทนไหวไหมเฟยหลง”
“ข้าทนได้ ข้าอยากเป็ทหาร พ่อบอกกับข้าเสมอว่าการเป็ทหารต้องอดทน และมีระเบียบวินัยเป็อย่างมาก ดังนั้นกับแค่การนอนพื้น เหตุใดข้าจึงทนไม่ได้กันเล่า” หญิงชราได้ฟังจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กชายด้วยความเอ็นดู ทั้งสามนอนหลับใหล ข้ามพ้นผ่านคืนมา ยามใกล้รุ่งเสียงไก่ที่เลี้ยงไว้ขันรับปลุกเรียกให้หญิงชราลุกขึ้นหุงหาอาหาร
“แม่หนู เป็อย่างไรบ้าง” หลังจากได้สติ ซูเจินมีแรงขยับกายลุกขึ้นนั่ง พลางมองไปรอบๆ ด้วยสายตาอ่อนล้า พบกับข้าวของเครื่องใช้ไม่คุ้นตา เมื่อย้อนเหตุการณ์ต่างๆ อันเลวร้ายที่ผ่านมาได้ รู้สึกใจหายวาบเจ็บลึกอยู่ในอก
“ข้ายังไม่ตาย” นางหันพูดกับหญิงชราแปลกหน้า ภาพสุดท้ายที่จำได้คือท้องฟ้าสีคราม หากตายแล้วได้พบกับพี่ลี่เซียน นั่นอาจเป็ความสุขเดียวที่นางปรารถนา
“โชคดีนัก ที่เฟยหลงไปพบเ้าทันเวลา” ร่างเล็กหลุบตาต่ำลง พบกับเด็กชายส่งยิ้มอ่อนให้ ในมือถือถ้วยข้าวและน้ำแกง