“ไฉ่เตี๋ยไม่ใช่ว่าโรงงานยาสูบซางตูเป็ผู้ผลิตหรือ?ทำไมถึงไม่มีของเล่า?”
บุหรี่หนึ่งคอตตอนแค่ 3.5 หยวน เซี่ยเสี่ยวหลานมิใช่ซื้อไม่ไหว
แม้เธอจะมีประสบการณ์ความรอบรู้เป็เวลากว่า 30 ปีเกินยุคสมัย แต่สำหรับตลาดยาสูบในปี 83 เธอไม่รู้จักเลยสักนิด ใบยาสูบเป็ของที่ประเทศผูกขาดถ้ายกตัวอย่างจาก ‘ไฉ่เตี๋ย’ โรงงานยาสูบซางตูผลิต ‘ไฉ่เตี๋ย’ ได้เท่าไรต่อปีล้วนมีจำนวนที่แน่นอน ‘ไฉ่เตี๋ย’ ที่ผลิตออกมาก็ไม่ใช่ว่าจะขายในขอบเขตของเมืองซางตูหรือแม้แต่ทั้งมณฑลเท่านั้นทว่าจะแบ่งสันปันส่วนไปยังแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ—‘ไฉ่เตี๋ย’ ที่โรงงานยาสูบซางตูผลิตนั้นคนซางตูกลับหาซื้อได้ยากยิ่ง
อยากซื้อก็ย่อมได้ ต้องหาเครือข่าย ต้องโก่งราคา! ขนาดคนซางตูซื้อปลีกหนึ่งซองสองซองยังยากเซี่ยเสี่ยวหลานออกปาก้าหนึ่งคอตตอน ตอนนี้บุหรี่เขาซื้อเป็ ‘คอตตอน’ ที่ไหนกันเว้นเสียแต่หน่วยงานรัฐจัดการประชุมอะไรสักอย่างมีการอนุมัติเป็พิเศษโดยคนตำแหน่งหัวหน้าถึงจะสามารถซื้อบุหรี่ที่มีสินค้าไม่เพียงพอในหน่วยคอตตอนได้
‘ต้าเฉียนเหมิน’ ที่เซี่ยงไฮ้ถูกผลิตในราคา 0.35 หยวนต่อหนึ่งซองเช่นกัน ลุงของเซี่ยเสี่ยวหลานก็สูบบุหรี่ยี่ห้อนี้สำหรับเขตชนบทอย่างหมู่บ้านชีจิ่ง ได้สูบบุหรี่ยี่ห้อนี้ก็ถือว่ามีหน้ามีตามากแล้วชื่อเสียงของ ‘ต้าเฉียนเหมิน’ ในประเทศนั้นโด่งดังทีเดียวโดยสรุปแล้วเป็บุหรี่ขายดีของเซี่ยงไฮ้ ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานสามารถซื้อ ‘ต้าเฉียนเหมิน’ ได้ในซางตู แต่กลับซื้อ ‘ไฉ่เตี๋ย’ ไม่ได้...ขายใบยาสูบต้องกำไรงามเป็แน่ ความคิดนี้โผล่ออกมาในสมองของเซี่ยเสี่ยวหลานทำอย่างไรก็ข่มไว้ไม่ได้
บุหรี่หลายแสนลังต่อหนึ่งปี ถูกแบ่งสรรไปยังทุกพื้นที่ทั่วประเทศบุหรี่เป็ธุรกิจที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของภูมิภาคสูงมาก นอกเสียจาก ‘บุหรี่โด่งดัง’ ไม่กี่ยี่ห้อที่แข็งแกร่งเป็พิเศษคนในแต่ละพื้นที่จะสูบบุหรี่แบบไหนล้วนสูบตามความพึงพอใจของตนเองคนซางตูเชื่อมั่นในบุหรี่สามยี่ห้อซึ่งผลิตโดยโรงงานยาสูบซางตูเมืองโดยรอบซางตูก็อาจจะชื่นชอบสินค้าประจำถิ่นของพวกเขาเช่นกัน แม้คนซางตูซื้อ ‘ไฉ่เตี๋ย’ ไม่ได้ แต่ ‘ไฉ่เตี๋ย’ ในที่อื่นอาจอยู่ในสภาวะขายไม่ออกก็เป็ได้
ถ้านำ ‘ไฉ่เตี๋ย’ ที่แบ่งสรรไปยังพื้นที่อื่นกลับมาขายในซางตูเล่า?
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกหัวหมุนวิงเวียน
“คุณยังจะซื้ออยู่บุหรี่ไหม?”
ถูกพนักงงานขายเรียกให้หลุดจากภวังค์ เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้ารับ “เอาต้าเฉียนเหมินให้ฉันหนึ่งคอตตอนแทนแล้วกัน”
ต้าเฉียนเหมินหนึ่งคอตตอนนั้นยังมี
แต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีตั๋วยาสูบ บุหรี่ที่กำหนดราคาไว้ 0.35 หยวนต่อซอง ทำเธอต้องจ่าย 5 เหมาต่อหนึ่งซองแทน นี่ก็เป็เพราะ ‘ต้าเฉียนเหมิน’ ผลิตได้มาก มิเช่นนั้นเธออย่าคิดว่าอยากซื้อก็สามารถได้เลย
ถือบุหรี่ที่ต้องถูหนังปากตนเองจนสึก [1] กว่าจะซื้อมาได้ ผ่านไปสักพักเซี่ยเสี่ยวหลานถึงได้อารมณ์สงบลง
ใช่แล้ว ยาสูบกำไรดีมากเหลือเกิน ทว่าเธอต้องหาเครือข่ายให้ได้นี่ไม่ใช่การค้าขายส่วนบุคคล ดังนั้นจำเป็ต้องมีคนของหลวงเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีหนทางทำได้ในระยะเวลาสั้นๆแต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่มีทางรู้จักบุคคลแบบนี้เื่พัฒนาเครือข่ายก็เริ่มจากหูหย่งไฉแล้วกัน
เป้าหมายเดิมคือหาลูกค้าให้กับปลาไหลแต่ไม่ใช่ว่าเธอทำได้แค่ขายปลาไหลตลอดไปหรอกนะ
เซี่ยเสี่ยวหลานขี่จักรยานไปทางตะวันตก
เมื่อก่อนชานเมืองตะวันตกคือผืนดินร้างว่างเปล่า แต่หลังจากยุค 50 โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างฝ้าย ล้อหินเจียระไนเครื่องขุดถ่านหิน การพิมพ์ย้อมและอื่นๆ ได้ทยอยก่อตั้งในชานเมืองตะวันตกของซางตูคณะกรรมการประจำเมืองจึงตัดสินใจสร้างอาคารสำนักงานใหม่ที่ชานเมืองตะวันตกในเมื่อสถานที่ตั้งสำนักงานก็ย้ายแล้วจึงสร้างบ้านพักรับรองคณะกรรมการประจำเมืองไปด้วย ในปี 63 ตึกใหญ่ของบ้านพักรับรองได้สร้างเสร็จสมบูรณ์ ทุกวันนี้ผ่านไปแล้ว 20 ปี ลักษณะภายนอกของบ้านพักยังคงรักษาไว้ได้ไม่เลว สิ่งก่อสร้างสูง 5 ชั้นล้อมรอบด้วยแนวเสาระเบียง หลังคาและชายคายื่นออกด้านนอกทำให้ภาพรวมของอาคารดูไม่เนี้ยบนักแต่กลับเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ยิ่งยอดหลังคาประกอบด้วยกระเบื้องกระจก [2] กับลายฉลุแล้ว ในความยิ่งใหญ่เกรียงไกรก็เจือด้วยความวิจิตรบรรจง
สถานที่นี้พัฒนาได้ยี่สิบสามสิบปีแล้วจึงไม่ได้รกร้างดั่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานคิดไว้ทว่าคนซางตูดั้งเดิมเคยชินกับการเรียก ‘ชานเมืองตะวันตก’ เพื่อให้แตกต่างกับใจกลางเมืองเก่า ผู้ที่มาบ้านพักรับรองไม่มาเพื่อประชุมก็มาทำธุระงานหลวงพวกเขาล้วนเป็พนักงานของหน่วยงานและบุคลากรของรัฐ
เซี่ยเสี่ยวหลานขี่จักรยานมาถึงนี่ จดหมายแนะนำก็ไม่มีหน้าตาสวยแค่ไหนก็ยังมีรูปลักษณ์แบบคนชนบทอยู่ดี
บ้านพักรับรองมิได้บอกว่าห้ามคนชนบทเข้าไปแต่ในเมื่อไม่มีจดหมายแนะนำ ไม่ต้องคิดถึงเื่รับประทานอาหารหรือพักอาศัยเลย ทั้งหมดย่อมเป็ไปไม่ได้แน่นอนเซี่ยเสี่ยวหลานแจ้งว่าเธอมาหาญาติ คนของบ้านพักรับรองจึงให้เธอรออยู่ที่ประตูหลัง
ผ่านไปสักครู่หนึ่งผู้ชายร่างเตี้ยอายุราวสามสิบกว่าปีออกมาจากประตูหลังเขาไม่มีความแตกต่างอะไรกับคนที่เซี่ยเสี่ยวหลานเคยพบในยุคนี้นอกเสียจากคนคนนี้ค่อนข้างอวบอ้วน ทุกวันนี้ใครๆ ล้วนท้องไส้ไม่มีสารอาหาร ในปี 83 มีคนผอมมากคนอ้วนน้อยสมกับที่เป็คนดูแลการจัดซื้อของบ้านพักรับรองคณะกรรมการประจำเมืองเป็งานที่อมผลประโยชน์ได้ดีจริงๆ
พอใบหน้าอวบอ้วน ดวงตาก็ปิดเล็กลง
หูหย่งไฉเบิกตาขนาดเม็ดถั่วเขียวงงงวยไม่รู้ว่าตนมีญาติเป็เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่มมาั้แ่เมื่อไร
เซี่ยเสี่ยวหลานดูโดดเด่นถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็ญาติห่างๆ กันแค่ได้พบหน้ากันหนึ่งครั้ง หูหย่งไฉต้องไม่ลืมแน่นอนเซี่ยเสี่ยวหลานจะปล่อยให้เขาครุ่นคิดรายละเอียดได้อย่างไร
“ฉันชื่อเซี่ยเสี่ยวหลาน คุณลุงจู้เหลียงให้ฉันมาหาคุณค่ะ”
หูหย่งไฉนึกๆ ดู “หูจู้เหลียงที่ขายบะหมี่ปลาไหลหรือ?”
เขาและหูจู้เหลียงเป็ญาติกัน ทว่าการไปมาหาสู่ของทั้งสองคนมีไม่บ่อยนักหูหย่งไฉถือว่าพอมีอำนาจในมืออยู่บ้างจึงเกรงว่าจะมีคนมาขอให้เขาช่วยเหลือโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเซี่ยเสี่ยวหลานรีบส่งถุงในมือให้ “มีเื่เล็กน้อยจะรบกวนพี่หูสักหน่อยค่ะ”
หูหย่งไฉเห็นสิ่งของในถุงแล้วเปลือกตาก็เลิกขึ้น
เื่เล็กน้อยนี่ใหญ่เท่าไรกันถึงขนาดให้ต้าเฉียนเหมินหนึ่งคอตตอนเลยหรือ?
ปฏิกิริยาตอบรับแรกของเขาคือการปฏิเสธ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ยอมให้เขาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมากไปกว่านี้จึงกล่าวเื่อยากเชิญหูหย่งไฉสร้างสัมพันธ์รับซื้อปลาไหลออกไปโดยตรง
“ถ้าคุณคิดว่าได้ ฉันนำสินค้าตัวอย่างมาด้วย”
สินค้าตัวอย่างอะไร เป็ของเหลือจากการขายในตลาดสินค้าเกษตรชัดๆ
หูหย่งไฉพอเข้าใจสถานการณ์แล้วรับซื้อของนิดหน่อยไม่ใช่เื่ใหญ่โตเซี่ยเสี่ยวหลานมอบบุหรี่หนึ่งคอตตอนให้ถือว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ
ปลาไหลที่เซี่ยเสี่ยวหลานนำมาขนาดก็ไม่เล็กพูดตามตรงคือได้มาตรฐานของการรับซื้อทั้งหมดแต่เซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจเดินทางมาถึงที่นี่ อีกทั้งส่งของขวัญให้คงมิใช่เพียงเพื่อปลาไหลยี่สิบกว่าชั่งนี้แน่ นี่เธอตั้งใจจะหาเงินเท่าไรกัน? ไม่ควรค่าใช้ต้าเฉียนเหมินหนึ่งคอตตอนสานสัมพันธ์เอาเสียเลย
หูหย่งไฉเองอยากไว้หน้าหูจู้เหลียงผู้แนะนำเซี่ยเสี่ยวหลานมาและด้วยความเห็นแก่ต้าเฉียนเหมิน จึงพูดเื่สัตย์จริงกับเซี่ยเสี่ยวหลานไป
“เธออย่าดูแค่ว่าบ้านพักขนาดมันไม่เล็กนะ วัตถุดิบอย่างปลาไหลนี้จริงๆ ก็ใช้ไม่เท่าไร คนมาประชุมไม่ว่าจะเป็ระดับหัวหน้าหรือหน่วยงานรัฐทั่วไปหนึ่งวันก็เป็มาตรฐานอาหาร 1 หยวนทั้งนั้น ปลาไหลที่เธอนำมาวันนี้ฉันสามารถรับผิดชอบรับซื้อไว้ได้...แต่ถ้าเยอะเท่านี้ทุกวัน บ้านพักรับรองกินไม่หมดแน่นอน”
บ้านพักรับรองมีมาตรฐานอาหารของตัวเองนอกจากรับรองหัวหน้าหน่วยงานแต่ละระดับที่มาพักในซางตูแล้วยังมีสถานที่จัดการประชุมขนาดใหญ่ซึ่งกุมบังเหียนโดยรัฐบาลท้องถิ่นและคณะกรรมการประจำเมืองรวมถึงการประชุมผู้แทนทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็หน่วยงานระดับไหนมาล้วนเป็มาตรฐานอาหารเดียวกันจ่ายด้วยเงินจากการคลังจำนวนหนึ่งหยวนให้ทุกคนในทุกวันคนที่รับประทานอาหารจ่ายเพียงตั๋วอาหารจำนวนหนึ่งชั่งเท่านั้น
เงิน 1 หยวนกินอาหารหลักต้องอิ่มท้องเพียงพออยู่แล้วมีทั้งเนื้อสัตว์และผัก แต่ไม่อาจกินปลาไหลทั้งวันได้หรอก!
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ถอดใจในคำพูดของหูหย่งไฉมีความหมายมากกว่านั้น ยี่สิบกว่าชั่งต่อทุกวันกินไม่หมดอย่างนั้นเว้นสักสองสามวันเล่า? ทำธุรกิจต้องพูดถึงการลงทุนที่เธอ้ามิใช่กำไรมหาศาลในทันทีทันใดขอเพียงสร้างสัมพันธ์อันดีกับหูหย่งไฉได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าปลาไหลของเธอจะขายไม่ออก
“ฉันฟังตามที่คุณว่าค่ะ”
หูหย่งไฉเห็นเธอไม่ตอแย ใจกว้างอีกทั้งหน้าตาสะสวยความประทับใจของเขาต่อเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นดีทีเดียว
“หูจู้เหลียงมีศักดิ์โตกว่าฉัน เธอก็อย่าเรียกคุณเลยเรียกชื่อฉันก็ได้”
“ได้ค่ะพี่หู!”
หูหย่งไฉยิ้มแย้มจนดวงตากลายเป็เส้นเล็กๆ “เธอรอตรงนี้สักครู่ ฉันจะไปเรียกคนออกมาชั่งปลาไหลให้”
เชิงอรรถ
[1]磨破嘴皮子 ถูหนังปากจนสึกหมายถึง อดทนอดกลั้นในการขอร้องหรืออธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
[2]玻璃瓦 กระเบื้องกระจกคือ กระเบื้องมุงหลังคาชนิดหนึ่ง เป็วัสดุก่อสร้างแบบดั้งเดิมของจีนไม่ได้ทำจากกระจกจริง แต่ใช้ความดันและความร้อนสูงในการผลิตทำให้มีคุณสมบัติแข็งแรงทนทาน เรียบ ดูดน้ำน้อย ทนกรดและด่าง