หลังอาหารมื้อเย็น ถือโอกาสตอนหูฉางกุ้ยไปล้างหน้าแปรงฟัน
เจินจูยกชาอุ่นหนึ่งถ้วยแอบเข้ามาในห้องของหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อกำลังนั่งใจลอยอยู่บนขอบเตียงอิฐหันหน้าเข้าสู่หน้าต่าง แม้แต่เจินจูเข้ามาภายในห้อง นางล้วนไม่มีการสังเกตเห็น
“ท่านแม่ ท่านไม่ได้ทานอาหารเย็นเลยสักคำ ไม่สบายหรือเ้าคะ?” เจินจูยื่นถ้วยชาไปถึงในมือนาง หลี่ซื่อท่าทางจิตใจไม่ค่อยดี ในชานั้นนางจึงเติมน้ำแร่จิติญญาลงไป
หลี่ซื่อรีบรับถ้วยชามาแล้วฝืนยิ้มมาทางนาง “เปล่า แม่ไม่ได้เป็อะไร”
“เช่นนั้นท่านดื่มชาเถอะ ข้าใส่ความเย็นลงไปนิดหน่อยเป็พิเศษเลย” เจินจูเปลี่ยนเื่เพื่อให้นางดื่มชาตั้งสติ
“ได้” หลี่ซื่อมองบุตรสาวแสนรู้ความและกตัญญู ก้นบึ้งของหัวใจอบอุ่นขึ้น หวังเป็อย่างมากว่าจะมองดูพวกเด็กๆ เติบโตและเป็ฝั่งเป็ฝาได้
หลี่ซื่อแสบจมูกขึ้นทันที อีกนิดเดียวน้ำตาก็จะร่วงลงมาแล้ว
นางรีบถือถ้วยชาขึ้นมาดื่มสองสามอึกเป็การยับยั้งจิตใจ กลิ่นหอมอันเป็เอกลักษณ์ของชาหลงจิ่งตีเข้าที่ปลายจมูก น้ำชาหอมหวานกลิ่นหอมนุ่มและเย็นฉ่ำไหลลงลำคอ หลี่ซื่อที่ตื่นตระหนกและหวาดกลัวอยู่ครึ่งค่อนวัน เริ่มสงบลงช้าๆ
ชานี้... อร่อยจริงๆ หลี่ซื่อเม้มปากขบคิดความหวานอร่อยที่อยู่ในนั้น
เห็นว่านางดื่มชาแล้ว เจินจูจึงค่อนข้างสบายใจขึ้นเล็กน้อย ความผิดปกติในวันนี้ของหลี่ซื่อต้องเกี่ยวพันกับหญิงชราของสกุลโหยวผู้นั้นแน่นอน แต่หลี่ซื่อไม่ยอมพูดถึงนี่สิ
“ท่านแม่ พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกัน หากเจอเื่อะไรที่รู้สึกลำบากใจ อย่าเก็บไว้ในใจคนเดียว ควรกล่าวออกมานะเ้าคะ หากทุกคนตัดสินใจด้วยกัน ปัญหาที่ท่านคิดว่าหาทางออกไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจมีวิธีแก้ปัญหาอย่างอื่น ท่านต้องเชื่อใจพวกข้านะเ้าคะ” คำพูดเจินจูกล่าวด้วยความจริงใจอย่างมาก สกุลหูในตอนนี้อบอุ่นและสงบจิตสบายใจอย่างยิ่ง นางไม่อยากให้เป็เพราะปัจจัยภายนอกบางอย่างที่ไม่อาจรู้ได้มาทำลายความสงบครอบครัวของนาง
หลี่ซื่อกัดริมฝีปากล่าง น้ำตาคลอหน่วยอยู่ในดวงตาไหลกลิ้งลงมา บุตรสาวของนางฉลาดเฉียบแหลมและรู้ความเพียงนี้จนทำให้หัวใจของนางละลายไปหมดแล้ว
แต่บอกเื่เ่าั้แก่นางไป ก็เพียงทำให้นางกังวลและได้รับความหวาดกลัวตามไปด้วยเท่านั้นเอง
หลี่ซื่อข่มความเจ็บแปลบหัวใจที่อัดอั้นตันใจไว้ เค้นรอยยิ้มออกมา “เจินจู แม่รู้แล้วล่ะ มีเื่อะไรแม่จะบอกพวกเ้าแน่นอน”
ใบหน้าฝืนยิ้มของนาง ทำให้ดวงตาเจินจูแสบร้อน
เจินจูสีหน้าอึมครึมเดินกลับมาห้องของตนเอง
หน้าประตูห้องของนาง กลับมีเงากายสูงชะลูดหนึ่งกายยืนอยู่
“ยู่เซิง ยังไม่พักผ่อนหรือ?“ เจินจูไม่มีเรี่ยวแรงจะทักทาย
นางดันประตูห้องให้เปิดออกและเดินตรงเข้าไป หย่อนก้นนั่งบนขอบเตียงแล้วเขยิบถอยหลัง
ท่าท่างปล่อยตัวตามสบาย นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงโดยไม่สนใจภาพลักษณ์แม้แต่น้อย
หลัวจิ่งตามเข้ามา คิ้วเอียงยาวขมวดกลายเป็หนึ่งเส้นทันที
เจินจูมองไปแวบหนึ่ง เ้าหนุ่มนี่ตามเข้ามาทำไมกัน
นางเบะปาก อดหยัดกายลุกขึ้นนั่งไม่ได้
“มีธุระหรือ?”
หลัวจิ่งเลิกคิ้วไม่ได้ตอบ เขาเดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะหนังสือ
วันนี้ตอนสกุลหูมีแขก เขาตั้งใจเลี่ยงไปเป็พิเศษ
คุณหนูสี่ของสกุลโหยวผู้นั้น เขารู้จัก
เมื่อก่อนเคยเจออยู่ที่งานชุมนุมเลี้ยงน้ำชาและงานเลี้ยงชมบุปผาสองสามครั้ง คิดขึ้นมาได้ว่าคุณหนูสี่สกุลโหยวก็คงรู้จักเขาเช่นกัน
ฐานะตอนนี้ของเขาไม่เหมาะให้ปรากฏอยู่ต่อหน้าพวกนาง
แต่... แม้เขาจะไม่อยู่ เื่ที่เกิดขึ้นในบ้านสกุลหู เขากลับรู้แจ้งเป็อย่างดี
เขามีสายรายงานข่าว
พานเสวี่ยหลันซาบซึ้งในบุญคุณหลัวจิ่งเป็อย่างมาก สามารถพาพวกนางออกจากสถานที่เนรเทศนั้นได้ สำหรับนางแล้วจะกล่าวว่าเป็พระคุณที่ช่วยชีวิตก็ไม่เกินไปนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยเหลือชีวิตของทั้งสามคนอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อหลัวจิ่งถามนางว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้องโถง พานเสวี่ยหลันจึงบอกเขาอย่างละเอียดไม่ตกหล่นเลยแม้แต่นิด
เื่ในนั้น... รวมไปถึงการยั้งสติไม่อยู่อย่างผิดปกติของหลี่ซื่อด้วยเช่นกัน
หลัวจิ่งฟังจบ จับความสำคัญได้ทันที
เมื่อก่อนหลี่ซื่ออาจเป็คนรับใช้หญิงของจวนท่านโหวเหวินชาง แล้วทำความผิดหรือรู้ความลับบางอย่างภายในจวนเข้า จึงถูกกรอกยาพิษให้เป็ใบ้แล้วขายออกไป
วิธีการจัดการคนรับใช้หญิงอย่างนี้ ครอบครัวขุนนางที่ตำแหน่งสูงและมีอำนาจโดยส่วนมากแล้วเหมือนกันทั้งสิ้น
เสียงของหลัวจิ่งมีความแหบอันเป็เอกลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่าน่วัยหนุ่ม เสียงทุ้มต่ำไม่มีอะไรเจือปนกลับน่าฟัง
แต่เื่ที่เสียงนี้เล่าออกมา กลับทำให้คิ้วเจินจูขมวดแน่นขึ้น
“เ้าจะบอกว่า ท่านแม่ข้าอาจเป็คนรับใช้หญิงที่ขายออกมาจากจวนท่านโหวเหวินชางอย่างนั้นหรือ?”
“เป็ไปได้มาก”
“ต่อให้เมื่อก่อนทำผิดแล้วถูกขายออกไป แต่ตอนนี้ท่านแม่ข้ามีชีวิตเป็อิสระแล้ว ทำไมนางยังต้องวิตกกังวลด้วยเล่า?”
หลัวจิ่งมองนางอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง ความคิดของนางมักแตกต่างกับคนทั่วไปอย่างมาก
ผู้ที่เป็คนรับใช้หรือเป็ทาส แม้ไถ่ตัวคืนสู่สภาพเดิมที่ดีได้แล้ว แต่การเคารพและความหวาดกลัวต่อตระกูลเดิมที่เคยปรนนิบัติไม่ใช่เื่ปกติหรอกหรือ?
หรือนางคิดว่าคืนสู่สภาพเดิมแล้วก็สามารถกำจัดประสบการณ์เมื่อก่อนที่เคยผ่านมาไปได้หรืออย่างไร?
เจินจูถูกเขามองเสียจนขุ่นเคือง “เชอะ จะสนใจว่ามันเป็ท่านโหวเหวินชางหรือท่านโหวชางเหวินอะไรกัน อย่างไรเสียตอนนี้ท่านแม่ข้าก็ไม่ใช่คนรับใช้ของบ้านผู้ใดแล้ว ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาแสดงสีหน้าไม่ดีต่อหน้านางเช่นกัน”
หลัวจิ่งมองแก้มกรุ่นโกรธของนาง อดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้
“ก็จริง ตอนนี้ท่านแม่ของเ้าเป็สุจริตชน ขอแค่ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรท่านแม่ของเ้าได้ แต่รายละเอียดยังต้องดูว่าสาเหตุในตอนแรกที่กรอกยาใบ้และขายอาสะใภ้หูออกมาคืออะไร หากมีส่วนเกี่ยวข้องกับความลับแล้วเสียงของนางยังกลับมาดีขึ้น เช่นนั้นก็จัดการยากอยู่บ้าง”
เจินจูตกตะลึง ทำไมต้องใช้ยาใบ้แล้วขายออกมา? ก็เพื่อป้องกันข่าวอื้อฉาวของตนเองเปิดเผยออกมาใช่หรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น เสียงของมารดาถูกนางใช้น้ำแร่จิติญญารักษาจนหายแล้ว
หากไม่บังเอิญพบเข้ากับตระกูลเ้านายเก่า การที่เสียงดีขึ้นแล้วย่อมเป็เื่ที่น่ายินดีอย่างมาก
หากบังเอิญพบเข้าแล้วล่ะ เช่นนั้นเื่น่ายินดีนี้ก็จะกลายเป็เื่ยุ่งยากขึ้น
ระหว่างคิ้วของเจินจูขมวดจนเป็รอยย่น ล้วนโทษกู้อู่ทั้งสิ้น มาบ้านนางแล้วยังพาลูกพี่ลูกน้องอะไรนั่นมาอีก ช่างทำให้เกิดความขัดแย้งมากมายเพียงนั้นขึ้นโดยไม่มีสาเหตุเลย
นางต้องไปถามเขาให้ชัดเจน...
“เ้าไม่ต้องกังวลใจจนเกินไป อย่างไรเสียท่านแม่ของเ้าก็ออกมาจากเมืองหลวงสิบกว่าปีแล้ว เื่ราวมากมายสรรพสิ่งเหมือนเดิมแต่คนเปลี่ยนไป [1] นานแล้ว ไม่แน่ว่าจะสืบถามสาเหตุของเื่ได้” ใบหน้าของเด็กสาวเกือบจะยับย่นจนกลายเป็ซาลาเปา หลัวจิ่งจึงรีบกล่าวปลอบใจ
“อื้ม มีบางเื่ต้องเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดเื่ไม่ดีขึ้น” สมองเจินจูกำลังใช้ความคิด
“เหมียว” เสี่ยวเฮยพรวดเข้ามาอย่างสบายอกสบายใจจากนอกห้อง
มองข้ามการจ้องเขม็งของหลัวจิ่ง ะโตรงไปบนขาของเ้านายสาว
“…”
เ้านี่ ใช้ขาของนางเป็ม้านั่งทุกทีเลย “เ้าดูง่ามเท้าที่สกปรกนี่สิ ยังจะะโมาบนตัวข้าอีก เ้าคันก้น หาคนเฆี่ยนใช่ไหม?”
พลิกเอาเท้าสี่ข้างของมันชี้ฟ้าแล้วจับอุ้งเท้าของมันตั้งขึ้น
“หง่าว” แมวปีศาจทำท่าทางน่ารักออดอ้อน
เจินจูมองบนอย่างจนปัญญา เห็นว่าหลัวจิ่งยังอยู่...
เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง มองท่าทางเทพเ้ายืนปักหลั่นของเขา อดรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
“ทำไม เ้ารู้เื่มากมายเพียงนี้?” นางถามออกมาตามตรง
หลัวจิ่งมองนางแวบหนึ่งอย่างคลุมเครือ “เมื่อก่อนข้าเคยอยู่ในเมืองหลวง”
ประโยคเดียวสื่อความนัยมากมาย...
เช้าตรู่วันต่อมา หูฉางกุ้ยเร่งเกวียนล่อพาเจินจูไปส่งในเมือง
เมื่อวานกู้ฉีจากไปอย่างรีบร้อน ผักกับสัตว์ล้วนไม่ทันได้นำไปด้วย
เจินจูเด็ดถั่วฝักยาวหนึ่งกำแต่เช้า แล้วยังเก็บแตงกวาห้าลูก ตัดวอซุ่นสามหน่อ แล้วเพิ่มโหยวหมาไช่หนึ่งกำ ล้วนเป็พืชผักธรรมชาติที่ใช้น้ำแร่จิติญญารดอยู่บ่อยๆ สีเขียวเป็มันขลับและสดฉ่ำ
หูฉางกุ้ยไปจับกระต่ายมาสองตัวทางบ้านเก่าแล้วจึงออกเดินทาง
กระต่ายโตของบ้านเก่าตนเอง ภายใต้การดูแลอย่างดีของจ้าวหงซาน มีแนวโน้มเติบโตที่น่ายินดีอย่างมาก
กระต่ายโตแต่ละครั้งที่มาส่ง ทางด้านกู้ฉีจะขนส่งกลับไปเมืองหลวง โดยรวบรวมไว้สิบตัวเว้นไปสิบวันเช่นนี้ทุกครั้ง
ส่วนกู้ฉีสามวันห้าวันจับไปเพียงหนึ่งหรือสองตัว นับั้แ่สกุลหูปลูกผักอย่างพวกแตงและถั่ว ในที่สุดคุณชายกู้อู่ก็หลุดพ้นจากชีวิตที่ทานเนื้อทุกมื้อได้เสียที
ผักจำพวกแตงและถั่วทานได้เอร็ดอร่อยนัก แตงกวาฉ่ำน้ำ เขาสามารถกัดกินดิบๆ ได้เลยหนึ่งลูก หากไม่ใช่ร่างกายเขาอ่อนแอกลัวความเหน็บหนาวไม่เหมาะให้ทานอาหารดิบและเย็นมาก เขายังอยากจะทานอีกหลายลูกเลย
แตงกวาของสกุลหูสดชื่นหวานกรอบ อร่อยจนหยุดไม่ได้จริงๆ
หูฉางกุ้ยหิ้วตะกร้าส่งเจินจูที่หน้าประตูฝูอันถังแล้วตนเองจึงไปซื้อของในตลาด
ตอนนี้ที่บ้านคนเยอะเื่แยะ สิ่งของมากมายจำเป็ต้องเพิ่มเติม
หลิวผิงหิ้วผักแตงและถั่วที่อยู่เต็มตะกร้าด้วยใบหน้ากระตือรือร้น นำทางเจินจูเข้าหลังร้าน
เจินจูเข้ามาหลังร้านฝูอันถังเป็ครั้งแรก
ห้องของกู้ฉีอยู่ทางตะวันออกของลานบ้าน ทันทีที่เข้าไปในห้อง กู้ฉีก็พร้อมให้การต้อนรับเป็อย่างดีแล้ว
แสงในยามเช้าตรู่ของเดือนหก สดใสและน่ารื่นรมย์ แสงแดดส่องเข้ามาจากซี่กรงหน้าต่างที่แง้มเปิดอยู่ครึ่งบาน
กู้ฉีค่อนข้างชอบสีขาว วันนี้เขาสวมเสื้อคลุมชายยาวสีขาวนวลจันทร์ ส่วนบนของเสื้อและปลายกระบอกแขนเสื้อปักลวดลายประณีตงดงาม ร่างสูงโปร่งสง่างามและสุภาพอย่างไม่เป็รองผู้ใด
“น้องสาวเจินจู นั่งตรงนี้”
จุ๊ๆ แม้แต่เสียงล้วนยังสดใสไพเราะปานนี้ มิน่าถึงจะเจ็บป่วยมาตลอดแต่ยังมีหมีเม่ยหนึ่งกลุ่มไล่ตามอยู่ด้านหลัง
สองคนนั่งลง กู้จงยกชาเข้ามาวาง
เมื่อเขาถอยออกไป จึงพินิจพิเคราะห์เจินจูด้วยความประหลาดใจอยู่สองสามที
กู้จงติดต่อกับแม่นางสกุลหูไม่มาก ทุกครั้งที่กู้ฉีไปหมู่บ้านวั้งหลินไม่เคยพาเขาไปด้วยเลย แม้กระทั่งเขาได้เจอนางอยู่สองสามครั้งก็ไม่สามารถพูดคุยกันได้สักประโยค
“เื่เมื่อวาน เป็ความผิดของข้า คิดไม่ถึงเลยว่าพวกนางจะวิ่งไปบ้านพวกเ้าได้ รบกวนครอบครัวพวกเ้านัก ขออภัยด้วย” กู้ฉีกล่าวด้วยความจริงใจ การที่พี่น้องโหยวอวี่เวยจะปรากฏออกมา เขาก็คิดไม่ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหมือนว่ายังนำความยุ่งยากไปให้ครอบครัวสกุลหูอีกด้วย
เจินจูยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งอึกเบาๆ ชารสฝาดน้อยๆ กระจายไปทั่วปาก “พี่ชายกู้อู่ ท่านน่าจะทราบเื่ของท่านแม่ข้าใช่หรือไม่?”
นางมองตรงไปที่เขา แววตาราบเรียบ ั์ตาดำขลับมีความบริสุทธิ์เข้าใจแจ่มแจ้งมองทะลุใจคน
กู้ฉีชะงักงัน คิดไม่ถึงว่านางจะถามออกมาตรงเช่นนี้
“อื้ม ทราบอยู่บ้าง” เขาไม่ได้ปฏิเสธ อย่างไรเสียเื่ก็เกิดขึ้นเพราะเขา เขาต้องรับผิดชอบ
เจินจูหนังตากระตุก เป็ไปตามคาด... พวกเขารู้ทั้งหมด
ส่วนตนเองกลับเป็คนนั้นที่รู้ช้าที่สุด
คิดแล้วก็ใช่ คนครอบครัวใหญ่โตระดับเช่นพวกเขา สำหรับสกุลหูที่ไปมาหาสู่อย่างใกล้ชิดอย่างมากแล้ว หากไม่ตรวจสอบพื้นเพลึกซึ้งชัดเจนจะวางใจได้อย่างไร
เช่นนั้น เื่เมื่อวานเขาน่าจะแจ่มแจ้งด้วยกระมัง
เจินจูใจกระตุกเล็กน้อย ขมวดคิ้วขึ้น ท่าทางลังเลไม่สงบ “ท่านแม่ข้า นาง…”
น้ำเสียงหยุดลง ไม่ได้กล่าวต่อด้วยความลังเล
“น้องสาววางใจ ท่านแม่เ้าไม่มีทางเป็อะไร ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเกิดเื่อะไรขึ้นก็ตาม ล้วนผ่านไปแล้ว ท่านแม่เ้าคืนสู่ความเป็อยู่เดิมนานแล้ว ไม่ใช่พวกทาสที่ไร้อิสระเช่นนั้น” กู้ฉีรีบปลอบโยนนาง
ที่แท้มารดานางเคยถูกขายเป็ทาส ดวงตาเจินจูไหววูบ “แต่ เมื่อวาน…”
“ไม่เป็ไร เมอเมอหวังเป็หญิงชราที่ท่านน้าสะใภ้พามาที่จวนท่านโหวเหวินชางจากสกุลเฉิน ดังนั้นนางเลยจำท่านแม่เ้าได้ หากท่านน้าสะใภ้้าซักถาม ข้าจะไปอธิบายกับนางด้วยตัวเอง ไม่มีทางให้ท่านแม่เ้าได้รับความไม่เป็ธรรมอย่างเด็ดขาด” ความเป็ไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนที่หลี่ซื่อจะเป็สาวรับใช้ที่ขายออกจากจวนสกุลเฉิน ถึงไม่ใช่ก็ต้องเกี่ยวอะไรกับจวนสกุลเฉิน คนใช้หญิงหนึ่งคนที่ถูกขายออกไปสิบกว่าปีก่อน กู้ฉีเองสามารถปกป้องได้
จวนสกุลเฉิน? มารดาของนางเคยเป็สาวรับใช้ที่ขายออกมาจากจวนสกุลเฉิน สกุลกู้กับสกุลเฉินเป็ญาติกัน กู้ฉีได้รับบุญคุณจากสกุลหู ล้วนกล่าวได้ว่าเป็การไร้ความบังเอิญไม่กลายเป็หนังสือ [2] เื่ราวก็ไม่ใช่ว่าบังเอิญเพียงนั้นหรือ
ในเมื่อกู้ฉีบอกว่าไม่ต้องกังวลใจ เช่นนั้นนางวางเื่นี้ไว้ด้านข้างก่อนแล้วกัน
อย่างไรเสีย เื่ที่นางต้องรีบทำยังมีอีกมากมายนัก
เชิงอรรถ
[1] สรรพสิ่งเหมือนเดิมแต่คนเปลี่ยนไป หมายถึง วันเวลาผ่านไปนานแล้ว คนย่อมล้มหายตายจากไปแล้ว
[2] การไร้ความบังเอิญไม่กลายเป็หนังสือ เป็คำอุปมาที่หมายความว่า เื่ราวเต็มไปด้วยความบังเอิญ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้