เล่มที่ 8 บทที่ 233 หาเจอแล้ว
ตอนแรกหลินเฟยคิดจะใช้ชิ้นส่วนประตูมิติเพื่อกลับไปยังพิภพหลัวฝูเท่านั้น แต่่หลังๆมานี้ยิ่งอยู่เมืองวั่งไห่นานเท่าไร ก็ยิ่งรู้ว่าชิ้นส่วนประตูมิตินี้ นอกจากจะช่วยให้กลับไปพิภพหลัวฝูได้แล้ว สิ่งล้ำค่านี้ยังมีประโยชน์สำคัญอีกอีกอย่าง…
เช่น เปิดขุมทรัพย์ลับเจ็ดแห่งของสำนักเวิ่นเจี้ยน…
เมื่อชาติก่อน ตอนที่ตาเฒ่าผู้เป็อาจารย์จะเข้าสู่เหวทมิฬเฮยยวน เขาได้แจ้งที่ตั้งขุมทรัพย์ลับทั้งเจ็ดแห่งไว้ให้ ทว่าหลังจากนั้นอีกสามสิบปี หลินเฟยก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับการลอบสังหารเ้าแห่งเหวทมิฬ จึงไม่มีความคิดที่จะไปเปิดขุมทรัพย์ลับเหล่านี้เลย เพราะรู้ดีว่านี่เป็สิ่งที่ตาเฒ่ามอบให้ศิษย์ที่เหลือของสำนักเวิ่นเจี้ยน…
แต่ว่าชาตินี้นั้น…
หลินเฟยมีเื่ต้องทำมากมาย แถมทุกเื่ยังไม่ใช่เื่ที่ผู้บำเพ็ญทั่วไปจะคาดคิดได้ หากทำเช่นเดียวกับเมื่อชาติก่อน ที่เอาแต่วางแผนอย่างเดียวละก็ น่ากลัวว่าชาตินี้ก็จะไม่ได้อะไรเหมือนเดิม
ขุมทรัพย์ลับทั้งเจ็ดแห่งนี้ จึงเป็ไพ่ไม้ตายสำคัญที่สุดของตนเองในชาตินี้ก็ว่าได้…
ทว่าจุดที่ขุมทรัพย์ลับทั้งเจ็ดแห่งตั้งอยู่นั้น หากไม่ใช่ช่องว่างระหว่างห้วงมิติ ก็ต้องเป็ห้วงมิติที่ปั่นป่วน ถึงกับมีขุมทรัพย์ลับแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่ใจกลางดวงอาทิตย์เชียว หากหวังจะใช้พลังของตนเองเปิดขุมทรัพย์เ่าั้ละก็ เกรงว่าต่อให้มีขั้นบำเพ็ญระดับฟ่าเซิน ก็ยังไม่อาจเปิดได้อยู่ดี ดังนั้นชิ้นส่วนประตูมิติที่เป็ของล้ำค่าเช่นนี้ จึงถือว่าเป็ตัวช่วยเดียวที่มีอยู่…
นอกจากนี้หลินเฟยยังอยากรู้อีกว่าที่รกร้างทางใต้นั่น มีเปลวไฟที่ตกทอดมาจากในอดีตด้วยหรือไม่…
แต่น่าเสียดายที่นักพรตเฮยซานได้จากไปแล้ว
คงต้องถามครั้งหน้าตอนที่เจอกันใหม่แล้วล่ะ…
“เอาล่ะ ลงมาได้แล้ว ลอยไปลอยมาอยู่นั่นแหละ คิดว่าลอยอยู่เหนือหัวข้าแล้วจะชิงหนีไปก่อนได้งั้นหรือ?” หลินเฟยอยากจะคว้าคัมภีร์บนหัวลงมาเสียจริง เมื่อกี้ตอนที่เจอนักพรตเฮยซาน เ้านี้ก็หงอจนแทบจะเรียกอีกฝ่ายว่าบิดาแล้วด้วยซ้ำ ถือว่าละทิ้งศักดิ์ศรีโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียว…
“อ้อ จะลงมาเดี๋ยวนี้แหละ…” แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเ้าอสุรกายจะเชื่อฟังได้ดีมาก หลังจากโดนหลินเฟยแขวะ มันก็ไม่โต้เถียงเลยแม้แต่น้อย กลับลอยลงมาในมือหลินเฟยอย่างว่าง่าย…
หลินเฟยเห็นดังนั้นก็อดลูบจมูกน้อยๆไม่ได้
“เ้าเป็แบบนี้แล้ว ข้าไม่ค่อยชินเลย…”
“พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าในฐานะศาสตราวุธของเ้า ก็ต้องเชื่อฟังเ้านายสิ เ้าให้ข้าไปทางไหน ข้าก็ไม่กล้าไปอีกทางแม้แต่น้อย ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่พูดมาคำเดียวเท่านั้น จะให้ทำอะไรก็ย่อมได้หมด!”
เ้าอสุรกายพูดออกมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
และที่เป็เช่นนี้ก็ไม่แปลก…
เพราะเมื่อครู่ ขณะที่หลินเฟยคุยกับนักพรตเฮยซาน ต่อให้เว่ยฟงกับหวังหลงจะไม่เข้าใจ แต่เ้าอสุรกายที่มีชีวิตยืนยาวเช่นนี้ ย่อมเคยพบเจอเื่ต่างๆมามาก จึงดูออกว่าผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันที่เอาชนะปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหกสองตนได้อย่างง่ายดายผู้นั้น เมื่อเจอเข้ากับหลินเฟยแล้ว กลับมีอาการหวาดกลัวอย่างหนัก…
แต่คิดก็เสียวสันหลังไม่ไหว…
คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะมีเ้านายที่แสนร้ายกาจเช่นนี้!
‘บ้าจริง แล้วหลังจากนี้ใครจะไปสนผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันอีก?’
หลินเฟยไม่มีทางรู้เลยว่าเพียงเวลาสั้นๆ เ้าอสุรกายจะมีความคิดมากมายผุดขึ้นในใจเช่นนี้ เมื่อเห็นว่ามันมีท่าทีว่านอนสอนง่ายยิ่งกว่าเดิม ก็คิดเพียงว่าอีกฝ่ายอาจจะพลาดกินยาผิดสำแดงเข้าไป จนสติเลอะเลือนก็เท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้มันไปขุดลูกแก้วปีศาจของเ้าปีศาจเยาเจี้ยงทั้งสองตนที่ตายไปออกมา เพราะนักพรตเฮยซานหนีไปอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งลูกแก้วิญญาที่ใช้สังหารยังลืมเอาไป จึงนับว่าเป็ลาภลอยของหลินเฟย…
หลังจากสั่งงานเ้าอสุรกายเสร็จแล้ว หลินเฟยก็หันไปเรียกเว่ยฟงกับหวังหลงให้ออกเดินทางต่อ เมื่อข้ามผ่านป่าไม้ที่หนาทึบแล้ว ประมาณครึ่งชั่วยามผ่านไป ทั้งสามก็เดินทางมาถึงถ้ำที่ว่า…
ปากถ้ำไม่กว้างเท่าไรนัก แถมด้านหลังยังมีเนินเขาขนาดย่อมลูกหนึ่งอีกด้วย ส่วนรอบด้านก็เต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบ นอกจากนี้ตลอดทางที่ผ่านมาก็ไม่มีร่องรอยของมารปีศาจหรือผู้บำเพ็ญที่ย่างกรายผ่านมาเลยแม้แต่น้อย
“แปลกมาก…” หลังจากเข้าไปในถ้ำ หลินเฟยก็ขมวดคิ้วแน่นทันที เพราะที่นี่มีร่องรอยการต่อสู้ของเหล่าผู้บำเพ็ญ แถมร่องรอยนั้นยังสดใหม่มาก น่าจะเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน เพราะไอิญญาที่หลงเหลืออยู่นั้น ยังสลายไปไม่หมด
และดูจากไอิญญาแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะเป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตัน!
เพียงสงบใจรับรู้เพียงครู่เดียว หลินเฟยก็รู้ได้ทันทีว่าผู้บำเพ็ญที่ประมือกันที่นี่จะต้องมีขั้นบำเพ็ญอย่างน้อยระดับจิงตันขึ้นไป ไม่อย่างนั้นละก็ไอิญญาที่หลงเหลือคงไม่ประหลาดเช่นนี้ เพราะมันให้ความรู้สึกคล้ายกับะเิออกมา หลังจากถูกสะกดเอาไว้ และก็มีความเป็ไปได้สูงว่า นี่จะต้องเป็ห้วงมิติแห่งความเป็ตายของผู้บำเพ็ญขั้นจิงตัน…
‘แย่แล้วล่ะ…’
เพราะถ้ำแห่งนี้เงียบสงบมาก ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลยแม้แต่น้อย ชั่วขณะนั้น หลินเฟยก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลแปลกๆ จึงรีบปลดปล่อยเทียนกุ่ยกับปีศาจกระบี่ออกมาทันที จากนั้นก็บงการให้พวกมันสืบหาร่องรอยของเหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่ภายในถ้ำ…
และแล้วก็เป็อย่างที่คิดไว้…
ประมาณหนึ่งชั่วยามผ่านไป เทียนกุ่ยกับปีศาจกระบี่ก็บินกลับมา และทุกอย่างก็เหมือนกับที่คิดไว้ เพราะปีศาจกระบี่และเทียนกุ่ยไม่ได้เบาะแสอะไรกลับมาเลย
“สงสัยพวกเราจะมาช้าเกินไป…”
หลินเฟยส่ายหัวน้อยๆด้วยความเสียดาย ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าออกจากถ้ำ เว่ยฟงที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ศิษย์พี่หลินกำลังหาอะไรอยู่งั้นหรือ?”
“อื้อ…” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบรับ โดยไม่คิดปิดบัง
“ก่อนหน้านี้เ้ากับศิษย์น้องหวังบอกว่าเคยเจอสายฟ้าที่ถ้ำแห่งนี้ จากนั้นก็มีบางอย่างลอยออกมา และสิ่งที่ข้า้าก็คือสิ่งที่ลอยออกมานั่นแหละ…”
“ข้าช่วยเอง!” เว่ยฟงพูดจบ ก็รีบปล่อยหนูทองออกมาทันที หลังจากป้อนหินิญญาชิ้นหนึ่งเข้าไป เว่ยฟงก็กัดนิ้วตนเอง เพื่อให้เืหยดหนึ่งเข้าไปในปากของเ้าหนูทอง
หลังจากเ้าหนูได้รับเืเข้าไปแล้ว มันก็กลายร่างเป็ลำแสงสีทองสายหนึ่งทันที จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังส่วนลึกของถ้ำ…
“ขอบคุณนะ” หลินเฟยรู้ดีว่าหยดเืนี้ล้ำค่าเพียงใด เพราะนี่เป็เคล็ดวิชาลับของหุบเขาหมื่นอสูร อย่าคิดว่ามันเป็เพียงหยดเืธรรมดาเชียว เพราะสำหรับเว่ยฟงแล้ว เรียกได้ว่าสูญเสียอายุขัยไปอย่างน้อยสามปีเลยทีเดียว หากไม่เข้าตาจนจริงๆ ศิษย์หุบเขาหมื่นอสูรส่วนมากย่อมไม่ทำเช่นนี้
ทั้งที่พวกเขาเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เว่ยฟงกลับยอมสูญเสียอายุขัยสามปี เพื่อช่วยเหลือเขา เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะให้หลินเฟยเอ่ยขอบคุณแล้ว
และก็ต้องยอมรับว่าเคล็ดวิชาของหุบเขาหมื่นอสูรนั้นไม่เลวเลยทีเดียว หลังจากได้รับหยดเืของเว่ยฟงเ้าไป เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ลำแสงสีทองก็พุ่งกลับออกมาจากส่วนลึกของถ้ำ ก่อนที่จะสลายร่างกลับเป็หนูสีทองเช่นเดิม จากนั้นมันปีนกลับขึ้นมาบนมือของเว่ยฟงอีกครั้ง แต่บัดนี้เ้าหนูดูอิดโรยเป็อย่างมาก หลังจากเว่ยฟงป้อนหินิญญาให้มันอีกชิ้น ก็ค่อยๆเก็บเ้าหนูเข้าไปยังแขนเสื้ออย่างปวดใจ
“เจอแล้วล่ะ ศิษย์พี่หลิน!”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------