เล่มที่ 2 บทที่ 50
ทันทีที่ชุ่ยเอ๋อร์คุกเข่าลง คนอื่นๆ ก็คุกเข่าลงทีละคน “ฮูหยินน้อยโปรดลดโทสะ บ่าวไม่กล้า”
“ไม่กล้า? ไม่กล้าอะไรหรือ? มิหนำซ้ำยังให้ข้าเลิกสนใจคนของข้าโดยไม่ต้องพูดมากอีก พวกเ้ายังมีอะไรที่ไม่กล้าอีกหรือ?”
นางขุ่นเคืองจ้าวจื่อซินั้แ่ก่อนนี้แล้ว แม้ว่าการกระทำของจ้าวจื่อซินจะถูกใจนางมาก แต่ครั้นคิดได้ว่า วิธีการของจ้าวจื่อซินจะถูกนำมาใช้กับนางเมื่อใดก็ได้ มู่หรงฉิงย่อมรู้สึกวิตกกังวลในใจเป็อย่างมาก
สาเหตุที่นางพูดเช่นนั้นมีจุดประสงค์สองประการ ประการที่หนึ่งคือ เพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็น สาวใช้คนสนิทของนางถูกทำลายฝ่ามือในจวนเฉิน หากนางซึ่งเป็เ้านายไม่แม้กระทั่งพูดอะไรสักคำ ย่อมส่งผลให้บ่าวที่ชั่วร้ายรังแกนางทีละคน
นอกจากนี้ยิ่งนางออกอาการหงุดหงิดมากเท่าไร ย่อมเป็ผลดีต่อแผนการในภายภาคหน้ามากยิ่งขึ้น อย่างน้อยหลังจากที่ยวี้เอ๋อร์ตื่นขึ้นมา แม้ว่าจะไม่พอใจนางเล็กน้อย ถึงกระนั้นยวี้เอ๋อร์ก็จะไม่สงสัยในตัวนาง
สำหรับอีกประการหนึ่ง นางแค่เพิ่มความกล้าให้ตัวเองเพื่อเป็การตักเตือนจ้าวจื่อซิน ทุกครั้งที่นึกถึงวิธีการของจ้าวจื่อซิน นางถึงกับรู้สึกตื่นตระหนกในใจ การแสดงอำนาจในคราวนี้จะถึงหูของฮูหยินผู้เฒ่าในเวลาไม่ช้าไม่นาน และแม้ว่าสถานะของจ้าวจื่อซินในจวนไม่ต่ำต้อยแต่การกระทำของจ้าวจื่อซินก็โหดร้ายเกินไป
คิดว่าหลังจากฮูหยินผู้เฒ่าได้รับทราบเื่ราวย่อมต้องวิตกกังวลว่า จ้าวจื่อซินจะคุกคามมู่หรงฉิงในเรือนแห่งนี้หรือไม่ ด้วยวิธีข้างต้นฮูหยินผู้เฒ่าจะให้ความสนใจมากขึ้นอย่างแน่นอน และแม้ว่าจ้าวจื่อซินจะคลุ้มคลั่งในวันใดวันหนึ่ง เขาคงไม่กล้าที่จะปลิดชีพนางอย่างโจ่งแจ้ง
ความคิดอันคดเคี้ยวซับซ้อนของมู่หรงฉิง คนอื่นไม่มีทางเข้าใจทว่าจ้าวจื่อซินกลับสามารถมองเห็นได้และเข้าใจอย่างกระจ่างชัดเจน เขาหัวเราะในใจ มู่หรงฉิงผู้นี้ช่างน่าสนใจจริงๆ นางมีความคิดแปลกๆ มากมายเ่าั้ได้อย่างไร?
หลังจากเห็นดวงตาของจ้าวจื่อซินกะพริบสองสามหนกับการกระตุกริมฝีปาก มู่หรงฉิงก็ได้ยินบางอย่างที่ทำให้นางหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้
“มู่หรงฉิง การฆ่าเ้าก็เหมือนการบีบมด เช่นนั้นมันไม่สนุกเลย แทนที่เ้าจะคิดต่อสู้กับข้า เ้าควรคิดว่าจะใช้ประโยชน์สุดท้ายจากหนอนบ่อนไส้คนนี้ได้อย่างไรจะเป็การดีกว่า ข้าเคยได้ยินแต่การทะเลาะภายในเท่านั้น แต่ไม่คาดคิดเลยว่าการทะเลาะภายในนั้นถูกสร้างขึ้นโดยการคาดเดามั่วๆ ของคนคนหนึ่ง”
คำพูดของจ้าวจื่อซินคล้ายกับเส้นด้ายบางๆ ที่เจาะเข้าไปในรูหูของมู่หรงฉิง นางใและรีบเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าบ่าวแต่ละคนไม่ได้มีทีท่าผิดแปลกอะไร นางถึงตระหนักได้ว่าจ้าวจื่อซินจะต้องใช้วิธีการส่งเสียงลับอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม คำพูดของจ้าวจื่อซินเป็สาเหตุให้มู่หรงฉิงไม่สามารถขุ่นเคืองได้อีกต่อไป แม้นางอยากจะหัวเราะ ถึงกระนั้นก็ไม่อาจหัวเราะได้เช่นเดียวกัน
จ้าวจื่อซินผู้นี้ช่างทำให้คนเข้าใจยากจริงๆ แปลความหมายจากคำพูดของเขา นั่นเป็การดูิ่ต่อการป้องกันตัวของนางจากเขาอย่างยิ่ง
แม้ว่าคำพูดของจ้าวจื่อซินช่างน่ากระทืบอย่างมาก แต่มันกลับให้ความรู้สึกแปลกๆ ซึ่งอธิบายเป็คำพูดไม่ถูก หลังจากฟังคำพูดเ่าั้ อารมณ์ของมู่หรงฉิงก็ดีขึ้นอย่างลึกลับ
ด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มู่หรงฉิงจึงอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ทุกวันนี้ความคิดของนางผันแปรได้มากจริงๆ ขณะเดียวกันอารมณ์ของนางก็มีขึ้นมีลงด้วย ปล่อยให้เป็เช่นนั้นต่อไปไม่ได้ เป็เื่ต้องห้ามขั้นสูงสุดที่จะปล่อยให้จิตใจว้าวุ่นและแปรเปลี่ยนเนื่องจากพฤติกรรมของคนนอก
ในจังหวะที่มู่หรงฉิงยังคงครุ่นคิดเป็พันตลบ จู่ๆ นางก็เห็นปี้เอ๋อร์สาวเท้าเข้ามาในลานสนามหญ้า
เมื่อเห็นปี้เอ๋อร์ มู่หรงฉิงจึงเบี่ยงสายตาไปมองดวงอาทิตย์ที่กำลังคล้อยต่ำทางทิศตะวันตกโดยสัญชาตญาณ ปี้เอ๋อร์ไปสืบข่าวคราวโดยใช้เวลาถึงสี่หรือห้าชั่วยาม นี่เป็เื่ที่คาดไม่ถึงจริงๆ
ทันทีที่ปี้เอ๋อร์เข้ามาในลานสนามหญ้า นางได้เห็นยวี้เอ๋อร์นอนคว่ำอยู่บนพื้นโดยไม่ทราบว่ามีชีวิตหรือตายไปแล้ว ถึงกระนั้นนางกลับเดินผ่านไปเฉยๆ โดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อยกระทั่งไปหยุดยืนอยู่ด้านข้างมู่หรงฉิง พิสูจน์ให้เห็นว่าปี้เอ๋อร์ได้สอบถามถึงเื่ราวอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว
“ฮูหยินน้อย ในระหว่างทางที่บ่าวกลับมา บ่าวได้เจอกับฟางเอ๋อร์ซึ่งเป็บ่าวเคียงข้างฮูหยินผู้เฒ่า โดยบอกว่า ฮูหยินผู้เฒ่าได้สั่งการไว้ ในเมื่อพูดแล้วว่าจะทำตามกฎของจวน ดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องหยุด ไม่เช่นนั้นจะทำให้กฎไม่ศักดิ์สิทธิ์ และย่อมไม่มีใครจะปฏิบัติตามกฎของจวนอีกต่อไป ด้วยสาเหตุนั้นจะต้องเฆี่ยนตีด้วยไม้กระดานหนึ่งร้อยทีให้เสร็จสิ้น”
คำพูดของปี้เอ๋อร์เบาดุจขนปีกกระพือบิน ส่งผลให้มู่หรงฉิงรู้สึกสบายและรื่นหู อย่างไรก็ดีแม้ว่านางจะรู้สึกสบายใจ ทว่าก็ต้องทำหน้าใ “เ้าพูดอะไรหรือ? คนคนนี้หมดสติไปแล้ว จะเฆี่ยนตีอีกได้อย่างไร?”
“เรียนฮูหยินน้อย ฮูหยินผู้เฒ่าพูดแล้วว่ายวี้เอ๋อร์ติดตามฮูหยินน้อยมาสักระยะหนึ่งแล้ว สิ่งที่เกิดในวันนี้บางทีอาจจะถูกคนวางกับดัก หลังจากถูกเฆี่ยนตีด้วยไม้กระดานถึงหนึ่งร้อยที จึงงดเว้นการลงโทษไม่กินและไม่ดื่มเป็เวลาสามวัน”
หลังจากปี้เอ๋อร์พูดจบ นางได้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของนางเป็ประกายขณะลอบสบตากับมู่หรงฉิง การมองหนนี้ทำให้มู่หรงฉิงกระจ่างทันที ความจริงที่ว่ากระดูกมือของยวี้เอ๋อร์ถูกเหยียบย่ำจนแหลกละเอียดได้ถูกส่งต่อถึงหูของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่้าให้มู่หรงฉิงเกลียดชัง ดังนั้นอีกฝ่ายจึงส่งฟางเอ๋อร์มารายงาน
ทว่าขณะฟางเอ๋อร์พบกับปี้เอ๋อร์ระหว่างทาง บางทีในคำพูดเดิมของฮูหยินผู้เฒ่าอาจจะบอกว่า สิบห้าทีที่เหลือไม่จำเป็ต้องเฆี่ยนตีต่อไปแล้ว ไม่แน่ว่าบางทีอาจเป็เพราะปี้เอ๋อร์และฟางเอ๋อร์พูดอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็สาเหตุให้ฟางเอ๋อร์ทิ้งความหมายดังกล่าวไว้ครึ่งหนึ่ง
คิดได้ดังนั้น มู่หรงฉิงก็หัวเราะเยาะในใจ นางมองไม่ออกเลยจริงๆ ว่า ปี้เอ๋อร์คนนี้ก็เป็คนฉลาดมีไหวพริบเช่นกัน
สิ้นสุดคำพูดของปี้เอ๋อร์ มู่หรงฉิงกลับไม่พูดอะไรอีกเลย การเฆี่ยนตีต่อไป นั่นเป็ความตั้งใจของนางเช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่ายวี้เอ๋อร์จะสามารถรอดชีวิตต่อไปได้หรือไม่?
“คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ ไม่ตายแน่ๆ” ราวกับเข้าใจถึงความวิตกกังวลของมู่หรงฉิงอย่างไรอย่างนั้น ปี้เอ๋อร์ถึงได้ขยับเท้าเข้าใกล้มู่หรงฉิง และพูดเบาๆ ด้วยระดับเสียงที่ได้ยินเพียงพวกนางสองคนเท่านั้น
ด้วยถ้อยคำรับรองของปี้เอ๋อร์ทำให้มู่หรงฉิงประหลาดใจอยู่หลายส่วน เฆี่ยนตีด้วยไม้กระดานหนึ่งร้อยทีไม่ใช่น้อยๆ เลย ปี้เอ๋อร์กล้ารับรองได้อย่างไรว่า ยวี้เอ๋อร์จะสามารถทนได้?
“ฮูหยินน้อย ท่านดูนี่สิ…” ชุ่ยเอ๋อร์ได้ยินสิ่งที่ปี้เอ๋อร์พูด จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าข่าวคราวของฮูหยินผู้เฒ่านั้นมาเร็วเกินไป หากยังดึงดันต่อไป พวกนางที่เป็บ่าวก็จะถูกเกี่ยวโยงเข้าไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยท่าทีลำบากใจของชุ่ยเอ๋อร์ มู่หรงฉิงจึงหันไปทางด้านข้างด้วยท่าทีของคนตาบอด
เมื่อเห็นท่าทีของมู่หรงฉิง ชุ่ยเอ๋อร์ก็คำนับมู่หรงฉิง จากนั้นรีบร้องสั่งพวกบ่าวที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง “พวกเ้ายังรออะไรอีกหรือ? รีบเฆี่ยนตีให้เสร็จเสียทีสิ ได้เวลาเตรียมอาหารเย็นแล้ว”
พวกบ่าวได้ยินคำนั้น แต่ละคนก็โล่งใจและรีบลุกขึ้น ลากยวี้เอ๋อร์ยกขึ้นไปบนม้านั่ง จากนั้นเฆี่ยนตีด้วยไม้กระดานตามจำนวนที่เหลืออย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นถ้ามู่หรงฉิงเกิดเปลี่ยนใจ มันคงไม่ใช่เื่ดีนัก
แม่นมจิ่นเห็นพวกบ่าวลากยวี้เอ๋อร์กลับไปลงโทษอีกหน นางก็คุกเข่าลงตรงหน้ามู่หรงฉิงพร้อมร้องไห้ประดุจฝนตก “คุณหนูใหญ่ คุณหนูจะต้องช่วยยวี้เอ๋อร์นะ ยวี้เอ๋อร์ทุ่มเทเพื่อคุณหนูใหญ่ด้วยใจเดียว ยวี้เอ๋อร์จะทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนั้นได้อย่างไร? เฆี่ยนตีด้วยไม้กระดานจนเสร็จ มันจะไม่เป็การปลิดชีวิตของยวี้เอ๋อร์หรือ?”
แม่นมจิ่นหลั่งน้ำตาจนชุ่มนองใบหน้าเป็เหตุให้คนมองถึงกับถอนหายใจ ถ้าไม่รู้ความเป็จริง ก็คงจะคิดว่าแม่นมจิ่นเป็แม่ผู้ให้กำเนิดของยวี้เอ๋อร์
แม่นมจิ่น เกิดอะไรกับแม่นม? ยวี้เอ๋อร์เกือบจะฆ่าแม่นมแล้ว และนางก็เป็หนึ่งในฆาตกรที่ทำร้ายท่านแม่ แม่นมปกป้องนางเช่นนั้นได้อย่างไร? นางทำอะไรแม่นมหรือ?
แม่นมจิ่นหยุดสะอื้นไม่ได้ แค่ไม่ทุบหน้าอกเพื่อแสดงความปวดใจเท่านั้น มู่หรงฉิงกำลังตั้งคำถามอยู่ในใจ และหัวใจของนางก็เ็ปยิ่งกว่าราวกับตกลงไปในห้องใต้ดินที่มีแต่น้ำแข็ง
“แม่นมจิ่น ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อ แต่... แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อ” มีความแค้นอยู่ในใจ ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถเผยให้เห็นแม้แต่ครึ่งหนึ่ง นางกดความขุ่นเคืองระคนเกลียดชังพร้อมพูดกับแม่นมจิ่นด้วยท่าทางเศร้าใจและเยือกเย็น “แม่นมก็เห็นอย่างกระจ่างแจ้งแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ คุณชายรองและข้าถูกวางยาพิษ แต่กลับไม่รู้ว่ายาพิษนั้นมาจากไหน แตงโมนั่น แม่นมกับแม่นมฟางเป็คนซื้อกลับมา และยวี้เอ๋อร์เป็คนหั่นและแช่น้ำแข็งด้วยตัวเอง แตงโมนั้นไม่ผ่านมือที่สี่ ตอนนี้พบว่าแตงโมมีพิษ ยวี้เอ๋อร์ต้องโทษและยากที่จะพ้นความผิดได้”
พูดจบ มู่หรงฉิงจึงยื่นมือออกเพื่อช่วยประคองแม่นมจิ่น “แม่นม ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของยวี้เอ๋อร์ และแม่นมกับแม่นมฟางก็ดูแลข้าเสมือนลูกสาวแท้ๆ ย่อมไม่วางยาพิษข้าอย่างแน่นอน ในขณะที่พวกเราจัดการกับยวี้เอ๋อร์ บางทีคนร้ายตัวจริงอาจจะกำลังเฝ้าดูด้วยความตื่นเต้นอยู่ก็เป็ไปได้”
คำพูดของมู่หรงฉิงเป็สาเหตุให้ใบหน้าของแม่นมจิ่นผ่อนคลายลง แต่กระนั้นนางก็ยังสะอึกสะอื้นก่อนพูดว่า “บ่าวรู้ว่าคุณหนูใหญ่เชื่อในยวี้เอ๋อร์ เ้าเด็กคนนี้มีจิตใจที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อคุณหนูใหญ่ และจะไม่มีวันทำอะไรที่เป็การทรยศต่อคุณหนูใหญ่อย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว นี่ก็เป็โชคชะตาของยวี้เอ๋อร์เช่นกัน อาจจะเป็เพราะชาติก่อน ข้ากับยวี้เอ๋อร์มีส่วนเกี่ยวข้องกันมากเกินไป ดังนั้นในชาตินี้ยวี้เอ๋อร์จึงต้องทนทรมานแทนข้า” หลังจากนั้น มู่หรงฉิงจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับดวงตาทั้งที่ไม่มีหยาดน้ำตาแม้แต่น้อย
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน เสี่ยวซือที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ยกไม้กระดานสูงเพื่อทำภารกิจที่ยังไม่สำเร็จ เมื่อไม้กระดานที่สามกระทบลงบนิัของยวี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งเ็ปจนหมดสติ นางกลับตื่นขึ้นเพราะความเ็ป
ขณะไม้กระดานอันหนาหนักฟาดลงบนร่างของยวี้เอ๋อร์แต่ละที ยวี้เอ๋อร์ต้องเ็ปถึงกับไม่มีเรี่ยวแรงกรีดร้อง ในลานสนามหญ้าหน้าเรือนจึงได้ยินเพียงเสียงไม้กระดานกระทบเนื้อ และได้ยินเสียงครางแ่เบาเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเนื้อหนังบนร่างของยวี้เอ๋อร์เละละเอียดเข้ากับเสื้อผ้าที่ขาดรุ่ย หัวใจของมู่หรงฉิงจึงสงบเป็อย่างมาก หากนางเห็นฉากเช่นนั้นในอดีต นางจะต้องตื่นตระหนกอย่างแน่นอน แต่ในเวลานี้นางกลับมองดูด้วยความสงบเป็อย่างมากราวกับว่าผู้ที่ถูกลงโทษนั้นไม่ใช่คน แต่เป็กองฟางก็มิปาน
‘โธ่! ด้วยการเปลี่ยนแปลงในหลายวันนี้ทำให้หัวใจของข้าเ็าหรืออย่างไร?’ ถอนสายตาออกพร้อมลอบถอนหายใจ แต่ยังได้เห็นดวงตาทั้งสองข้างของแม่นมจิ่นคลอด้วยน้ำตาขณะเฝ้ามองดูยวี้เอ๋อร์
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้แม่นมจิ่นจะมีหยาดน้ำตา ทว่านางก็ดูเหมือนไม่ได้รักและเอ็นดูเช่นก่อนหน้า
การค้นพบนั้นส่งผลให้มู่หรงฉิงถึงกับใ หลังจากคิดตรึกตรอง นางได้พบว่าก่อนหน้านี้แม่นมจิ่นเศร้าโศกเป็อย่างมาก แต่หลังจากได้ยินนางพูดว่านางเชื่อยวี้เอ๋อร์ อารมณ์ของแม่นมจิ่นกลับสงบลงทันทีทันใด
ในกรณีข้างต้น ความวิตกกังวลของแม่นมจิ่นไม่ใช่กลัวว่าไม้กระดานจะปลิดชีวิตของยวี้เอ๋อร์ แต่นางวิตกกังวลว่า มู่หรงฉิงจะไม่เชื่อยวี้เอ๋อร์
การค้นพบนั้นทำให้ร่างของมู่หรงฉิงโคลงเคลงไปมา ก่อนเซก้าวถอยหลังสองก้าวแต่กลับถูกร่างสูงขวางไว้ข้างหลัง “เป็อะไรหรือ?”
ในยามนี้ความคิดและสายตาของทุกคนต่างมุ่งไปที่ยวี้เอ๋อร์ แม้กระทั่งเฉินเทียนหยูผู้ซึ่งมักก่อปัญหาเป็เื่ปกติ ยังเอาแต่จ้องมองไปทางยวี้เอ๋อร์ที่กำลังถูกลงโทษ ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นความแปลกประหลาดของมู่หรงฉิง สำหรับคนที่สามารถเอ่ยตั้งคำถามได้จึงมีเพียงจ้าวจื่อซินเท่านั้น
จ้าวจื่อซินเห็นใบหน้าของมู่หรงฉิงซีดขาวราวกับว่านางใกับฉากนองเื เขาประคองแขนของนางเบาๆ พลางลดเสียงให้อ่อนโยนลงขณะพูดว่า “ก็นึกว่าเ้าจะมีความกล้ามากเสียอีก”
“อย่างน้อยก็กล้ามากกว่าที่เ้าคิดก็แล้วกัน” เอ่ยตอบด้วยอาการขุ่นเคือง จากนั้นดึงมือกลับมาก่อนจะเดินไปยังด้านข้างเฉินเทียนหยู
จำนวนการลงโทษด้วยไม้กระดานที่เหลืออีกสิบห้าทีได้เสร็จเรียบร้อย เสี่ยวซือจึงนำไม้กระดานที่เปื้อนเืสีแดงออกก่อนประกาศว่า การเฆี่ยนตีด้วยไม้กระดานหนึ่งร้อยทีเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เฉินเทียนหยูรู้สึกยินดีเป็อย่างมาก เขาปรบมือและร้องบอกว่าดีอยู่หลายหน “หึ กล้าวางยาพิษข้า ทำให้ข้าเ็ปเหลือทน ไม่ได้ทุบตีเ้าให้ตายก็ถือว่าเ้าได้เปรียบมากแค่ไหนแล้ว”
หลังจากพูดจบ เฉินเทียนหยูก็ยกมือขึ้นโอบเอวของมู่หรงฉิงพร้อมพิงศีรษะลงบนไหล่ของเด็กสาว “น้องหญิง ข้าปวดศีรษะ ข้าเจ็บทุกส่วนของร่างกาย น้องหญิงเจ็บหรือไม่?”
“ข้าเจ็บที่หัวใจ” มู่หรงฉิงกล่าวกับเฉินเทียนหยู แต่นางจ้องมองไปที่ยวี้เอ๋อร์
ยวี้เอ๋อร์ไม่ได้ถูกตีตาย ดูเหมือนว่ายวี้เอ๋อร์จะอายุยืนจริงๆ เพียงแต่เมื่อนางได้ยินเฉินเทียนหยูบอกว่าเจ็บทุกส่วนของร่างกาย นางถึงกับรู้สึกเจ็บหัวใจจริงๆ
เฉินเทียนหยูฝึกฝนทักษะการต่อสู้มาั้แ่วัยเยาว์ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว เขาจะไม่ยอมพูดเกี่ยวกับอาการาเ็เล็กน้อย หรือบอกเล่าถึงความเ็ปเล็กน้อยเ่าั้ แต่คราวนี้เขาบอกว่าเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นหมายถึงเขาเ็ปจริงๆ
ครั้นนางคิดถึงตรงนี้ มู่หรงฉิงจึงรู้สึกผิดในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะนาง้าใช้เฉินเทียนหยู เขาจะต้องทนทุกข์กับความเ็ปได้อย่างไร?
การเล่นสำนวนของมู่หรงฉิงเป็การบอกว่านางรู้สึกปวดใจต่อเฉินเทียนหยู แต่มันเหมือนกับนางกำลังบอกว่านางรู้สึกปวดใจสำหรับยวี้เอ๋อร์
ยวี้เอ๋อร์ซึ่งดูราวกับจะเหลือเพียงลมหายใจอึดเดียว น้ำตาไหลซึมหลังจากได้ยินคำพูดของมู่หรงฉิง นางสำลักทั้งพยายามจะอ้าปากพูด แต่ในท้ายที่สุดนางก็ไม่ได้พูดอะไร
“รออะไรอยู่หรือ? ยังไม่ส่งยวี้เอ๋อร์กลับไปที่ห้องอีก”
ด้วยเสียงะโของมู่หรงฉิงย่อมไม่มีใครกล้าที่จะไม่เชื่อฟัง เสี่ยวซือสองคนก้าวเข้ามาทันที คนหนึ่งแบกส่วนแขนและอีกคนหนึ่งแบกส่วนเท้า โดยแบกยวี้เอ๋อร์ไปทางห้องเก็บฟืน