ต้นไม้ด้านในจวนอู่เซียงโหวมีมากมายหลายชนิด มีหลายต้นอาจจะต้องใช้คนจำนวนมากถึงจะล้อมต้นไม้นี้ได้ ใช้หินอ่อนปูพื้นเป็ทางยาว เมื่อเทียบกับจวนจิ่นอีโหวแล้ว เหมือนกับจวนอู่เซียงโหวจะเล็กกว่าเล็กน้อย แต่หากพูดถึงการตกแต่งถือว่าหรูหราไม่น้อย การตกแต่งของห้องโถงหลัก หรูหราประณีต โต๊ะเก้าอี้ด้านในทำมาจากไม้พะยูง ในทุกมุมของห้องโถงตกแต่งได้อย่างสวยงามและละเอียด แสดงให้เห็นว่าจวนของอู่เซียงโหวนั้นเอาใจใส่ทุกอย่างไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
แต่ทว่านอกห้องโถงนั้น กลับไม่พบบ่าวไพร่เลย สำหรับคนที่เอาใจใส่ในเื่ความหรูหราแล้ว มันไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นัก
ตอนนี้หยางหนิงนั่งอยู่ในห้องโถงของจวนอู่เซียงโหว ที่นั่งอยู่ข้างๆ คือหยวนหรง หลังจากที่เข้ามาในจวนแล้ว นอกจากบ่าวไพร่ที่นำเข้ามากับสาวใช้ที่ยกน้ำชามาให้แล้ว ก็ไม่เห็นเงาของผู้ใดอีกเลย
“ทำไมถึงยังไม่มีผู้ใดมา?” หยวนหรงนั่งรออยู่ครู่ใหญ่ ก็เริ่มจะทนไม่ไหว เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ซูจื่อเฉิงทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน? เอาพวกเราสองคนมาทิ้งไว้ตรงนี้ไม่มาถามไถ่อะไรเลยอย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงยังคงนิ่งเฉย แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา เป่าให้เย็นเล็กน้อย จากนั้นก็จิบมัน เขาขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยิ้มแห้งเบาๆ
ตอนที่อู่เซียงโหวไปที่จวนจิ่นอีโหว ตำหนิติเตียนเื่น้ำชาที่ทางจวนจิ่นอีโหวที่นำมารับแขก ตอนนี้หยางหนิงได้ดื่มน้ำชาที่พวกเขายกมาให้ ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยรู้เื่ของรสชาสักเท่าไหร่นัก แต่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่ชาที่ดีอะไร ใบชาหยาบกร้าน ดูก็รู้ว่าเป็ของไม่มีคุณภาพ เขาวางถ้วยน้ำชาลง เห็นหยวนหรงเปิดฝาชา ก็เหลือบไปมอง ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่นี้หยวนหรงดื่มไปตั้งหลายคำ ไม่มีบ่นต่อว่าสักคำ เพราะสีของน้ำในถ้วยชานั้น ช่างแตกต่างกันนัก
หยางหนิงรู้เต็มอก อู่เซียงโหวถึงกับทำเื่ชั้นต่ำแบบนี้ลงไปได้ ยกน้ำชามารับแขกเหมือนกัน แต่กลับให้ชาคนละแบบ ทำตัวเองเหมือนกับเศรษฐีบ้านนอก ไม่มีความองอาจความสง่างามของคนมีบรรดาศักดิ์เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นหยวนหรงหงุดหงิดมาก หยางหนิงก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า “วันนี้คงไม่เจอซูจื่อเฉิงแล้วล่ะ”
เขารู้อยู่แล้วว่า ซูจื่อเฉิงเป็ลูกชายของชายาเอกของอู่เซียงโหวซูเจิน ที่ผ่านมาเขาไปมาหาสู่กับหยวนหรงเป็ประจำ เที่ยวเล่นกัน เป็เพื่อนที่ดีต่อกัน
“อะไรนะ?” หยวนหรงใ “ไม่เจอเขาอย่างนั้นหรือ? ทำไมเล่า?”
หยางหนิงพูดว่า “หากจะได้เจอเขาจริง เขาคงออกมานานแล้ว ป่านนี้แล้วก็ยังไม่ออกมา แสดงว่าอู่เซียงโหวคงไม่ให้เขาออกมาพบกับพวกเรา”
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลกแล้วล่ะ” หยวนหรงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เหตุใดอู่เซียงโหวถึงไม่ให้ซูจื่อเฉิงออกมาพบพวกเราเล่า? ท่านโหวก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเราเป็มิตรที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ทุกครั้งที่มา ท่านโหวไม่เคยขัดขวางพวกเราสักนิด” จากนั้นก็เหลือบไปมองที่ถ้วยชา “ในเมื่อไม่ให้ซูจื่อเฉิงออกมาพบพวกเรา แล้วจะยกน้ำชามาให้พวกเราทำไมกัน?”
หยางหนิงยิ้ม แล้วพูดว่า “เ้าวางใจเถอะ ซูจื่อเฉิงไม่มา แต่ว่าอู่เซียงโหวมาแน่”
“อู่เซียงโหว?” หยวนหรงยืนขึ้นมา “ช่างเถอะ เราไม่ได้มาคารวะอู่เซียงโหวเสียหน่อย ในเมื่อมาไม่เจอซูจื่อเฉิง เราจะอยู่ที่นี่ทำไมอีกเล่า?”
หยางหนิงพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เ้านั่งลงก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อน”
“ไม่รอแล้ว” ความอดทนของหยวนหรงไม่ได้ดีถึงขนาดนั้น “น้องหนิง ข้าว่าเราค่อยมาวันอื่นเถอะ วันนี้ออกมาข้างนอกกันทั้งวัน ไม่ได้เื่ได้ราวอันใดเสียเลย”
“อ๋อ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ปกติเ้าได้อะไรทุกวันเลยอย่างนั้นหรือ?” จากนั้นก็เอียงตัวไปข้างๆ “เ้าอย่าลืมนะ ที่เ้ามาที่นี่กับข้า เ้ารับปากข้าเอง มันเป็หนึ่งในเงื่อนไขของข้า หากเ้าไม่ยินดีที่จะรอ ตอนนี้เ้าก็กลับไปได้เลย แต่ว่าเื่ของผู้ดูแลอู๋...!”
หยวนหรงจ้องไปที่หยางหนิง สุดท้ายก็นั่งลง แต่นั่งบิดไปบิดมา นั่งไม่ติดเก้าอี้เสียเลย
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากด้านนอก ฟังจากเสียงเหมือนตั้งใจทำ เพื่อเตือนว่ามีคนมาแล้ว จากนั้นก็เห็นอู่เซียงโหวซูเจินสวมชุดผ้าแพรหยกเดินเข้ามาด้านใน
หยวนหรงเห็นอู่เซียงโหวเดินเข้ามา ก็เปลี่ยนท่าทีมีมารยาทขึ้นมา รีบลุกขึ้น แล้วโค้งคำนับให้กับอู่เซียงโหว หยางหนิงเองก็ลุกขึ้นมา ถึงแม้ในใจของเขาจะไม่ได้เคารพซูเจิน แต่ตอนนี้เขาเองก็ต้องคำนับให้กับอู่เซียงโหว
อู่เซียงโหวพยักหน้าให้กับหยวนหรงแล้วยิ้ม เมื่อเห็นหยางหนิง รอยยิ้มนั้นก็หายไป สายตามองผ่านไป แล้วเดินไปที่เก้าอี้ จากนั้นสาวใช้ก็ยกน้ำชาเข้ามาให้ ห้องโถงทั้งสองด้านมีฉากกั้นอยู่ ด้านซ้ายเป็ภาพของสายน้ำและูเา ด้านขวาเป็ภาพของนก เมื่อมันตั้งอยู่สองข้าง ทำให้ห้องโถงหลักดูสว่างไสว
“ใต้เท้าหยวนสบายดีหรือไม่?” อู่เซียงโหวยกน้ำชาขึ้นจิบ ค่อยๆ ใช้ฝาถ้วยชากวาดน้ำชา แล้วมองไปที่หยวนหรง จากนั้นก็มองไปที่ถ้วยน้ำชา
หยวนหรงตอบกลับไปว่า “ขอบคุณท่านโหวที่เป็ห่วง ท่านปู่สบายดี”
“ลูกหลานตระกูลบัณฑิต ราศีมันต่างกันแบบนี้นี่เอง” ซูเจินยิ้มแล้วพูดว่า “หยวนหรง เ้าสนิมสนมกับเ้าลูกไม่เอาถ่านของข้า ก็อย่าลืมสอนเื่มารยาท ให้เขารู้จักอะไรมากขึ้น รู้กาลเทศะมากขึ้น จะว่าไปแล้ว ตระกูลซูของเรายังไงก็ถือบรรดาศักดิ์โหว ตำแหน่งอู่เซียงโหวของข้า สุดท้ายก็ต้องยกให้เขาอยู่ดี เป็ถึงโหว แต่ไม่รู้จักมารยาทกาลเทศะ คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ก็ก้มหน้าดื่มชา แต่สายตากับเหลือบไปมองหยางหนิง
หยางหนิงยังคงนิ่งอยู่ เหมือนกับคนที่ไม่มีเื่อะไรจะพูด ซูเจินเห็นดังนั้น ก็ทำหน้าไม่พอใจ
“ท่านโหวคิดมากเกินไปแล้ว” หยวนหรงพูดจาอย่างระมัดระวัง “ท่านโหวสั่งสอนอู่เซียงโหวซื่อจื่อ ทั้งการศึกษาทั้งวิทยายุทธในเมืองหลวง ก็ไม่มีผู้ใดเทียบกับเขาได้เลยแม้แต่น้อย”
ซูเจินเองก็ไม่ได้ถ่อมตัวเขายิ้มแล้ววางถ้วยชาลงแล้วพูดว่า “ท่านปู่ของเ้าให้เ้ามาหรือ? หรือว่าท่านพ่อของเ้าให้เ้ามา?”
หยวนหรงคิดในใจว่าเื่นี้มันไม่เกี่ยวกับพวกเขาเลย เป็เพราะหยางหนิงลากข้ามาต่างหาก แต่ในตอนนี้จะพูดออกไปตรงๆ คงจะไม่ได้ ก็เลยตอบกลับไปว่า “คิดจะมาคุยเล่นเื่บทกลอนกับอู่เซียงซื่อจื่อ จึงแวะเข้ามา”
“เ้าไม่ต้องปกปิดข้าหรอก” ซูเจินพูดอย่างเรียบเฉย “เื่อื่น ข้าจะไว้หน้าท่านเหวียน แต่ทว่าเื่ในวันนี้ พวกเ้าอย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า”
หยวนหรงใ งงเป็ไก่ตาแตกในใจคิดว่ายุ่งเื่อันใดกัน? เขาเหลือบไปมองหยางหนิงที่อยู่ข้างๆ บรรยากาศที่ไม่ค่อยจะดีก็เริ่มขึ้น แอบคิดว่าเหมือนตัวเองตกหลุมพรางของหยางหนิงเข้าแล้ว ฟังจากน้ำเสียงของซูเจิน เื่ในวันนี้ไม่น่าจะเป็เื่ดี
หยางหนิงประเมินสถานการณ์อยู่ ตอนนี้คงจะยังไม่เหมาะที่จะเอ่ยปากพูดอะไร แต่ตอนนี้รู้สึกว่าด้านหลังฉากกั้นทั้งสองด้านมีเงาของผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา น่าจะมีคนอยู่ราวๆ สิบกว่าคน
หยวนหรงยิ้มเขินๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรออกไป
“จื่อเฉิงวันนี้ไม่อยู่ในจวน” จู่ๆ ซูเจินก็พูดขึ้นมา “สู่อ๋องซื่อจื่อจู่ๆ ก็มาหาข้าที่จวน เขาได้รับคำสั่งจากสู่อ๋อง ให้มาหาข้าที่จวน สู่อ๋องซื่อจื่ออายุยังน้อยแต่มีความองอาจ ดูเข้าขากันดีกับจื่อเฉิง เขามอบม้าดีตัวหนึ่งให้แก่จื่อเฉิง ได้ยินมาว่าเป็หนึ่งในเก้าม้าชั้นดีของจวนสู่อ๋อง ดูจากสายตาก็รู้ว่าเป็ม้าชั้นยอด จื่อเฉิงเห็นม้าดีแบบนี้ จึงขี่ม้าออกไปเที่ยวเล่น”
เขาพูดจาไม่รีบร้อนอะไรมากนัก ท่าทางของเขาก็ดูนิ่ง แต่น้ำเสียงกลับปกปิดความในใจเอาไว้ไม่ได้
หยวนหรงตัวสั่น เหลือบไปมองหยางหนิง เห็นหยางหนิงยังคงนิ่งเหมือนเดิม เขาแอบคิดในใจว่าเ้านี่เจออู่เซียงโหวแล้ว ถูกว่าที่พ่อตาขู่ซะขวัญกระเจิงไปแล้วหรืออย่างไรกัน?
แต่ว่าเมื่อก่อนจิ่นอีโหวซื่อจื่อก็มักจะเหม่ออยู่บ่อยครั้ง สมองไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ พอจิ่นอีโหวซื่อจื่อฉลาดขึ้นมาหยวนหรงก็ไม่ค่อยจะชินสักเท่าไหร่ เจอฉีหนิงนั่งเหม่อแบบนี้เขากลับดูคุ้นเคยมากกว่า
ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่า วันนี้ที่สู่อ๋องซื่อจื่อไปก่อเื่ที่ตลาด เพราะเพิ่งออกมาจากจวนอู่เซียงโหวนี่เอง
จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่า อู่เซียงโหวกับจิ่นอีโหวก็ถือว่าเป็ญาติกัน ถึงแม้ว่าไม่ใช่เื่ที่รู้กันทั่วไป แต่ว่าในบรรดาเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง ก็รู้กันหมด
ั้แ่ครั้งศึกซีชวน จิ่นอีโหวกับสู่อ๋องก็เหมือนน้ำกับไฟ ถึงแม้จะบอกว่าสู่อ๋องสวามิภักดิ์ต่อต้าฉู่แล้ว แต่ความแค้นของตระกูลทั้งสองก็ไม่ได้จางหายไป
ตามหลักแล้ว อู่เซียงโหวกับจิ่นอีโหวถือเป็ญาติกัน ก็ไม่น่าจะไปสนิทสนมกับสู่อ๋องได้ เพราะต้องรักษาหน้าของญาติเอาไว้ แต่ว่าอู่เซียงโหวกลับไม่ปกปิดเื่ที่ตัวเองสนิทสนมกับสู่อ๋องเลย ถึงแม้หยวนหรงจะไม่ใช่คนที่เก่งในเื่การเมือง แต่ก็รู้ดีว่าเื่นี้ไม่ปกติเอาเสียเลย
เขากำลังแอบคิดว่าเื่ยุ่งยากบางเื่กำลังจะเกิดขึ้น แล้วก็ไม่ผิดจากที่เขาคิด เห็นซูเจินยกน้ำชาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ไท่ฮูหยินฝากให้เ้ามาให้คำตอบหรือ? นางคิดว่าอย่างไรบ้างล่ะ?”
หยางหนิงรู้ดีว่าตอนนี้ซูเจินกำลังพูดเข้าประเด็นหลักกับตัวเขาเข้าแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กำลังจะพูด ซูเจินก็ยกมือขึ้นมาขวาง ท่าทางเปลี่ยนเป็เ็าแล้วพูดว่า “ข้าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้ ต่อให้ไท่ฮูหยินจะไม่เห็นด้วย ก็ไม่มีประโยชน์อันใด”
หยวนหรงคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินบทสนทนาเช่นนี้ เขาตะลึงไปครู่หนึ่ง ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือหูเขาฟาดไปหรือไม่ จะต้องฟังผิดไปแน่ๆ
“ท่านเหล่าโหวของพวกเราทั้งสองตระกูลกำหนดการแต่งงานนี้ขึ้นมา หากฟังไปแล้วมันอาจจะเป็เื่ที่ดี แต่ว่าพวกเขาไม่ใช่เทพเ้า คงคิดไม่ถึงเื่ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น” ซูเจินค่อยๆ พูดว่า “จริงๆ แล้วั้แ่ท่านเหล่าโหวทั้งสองสิ้นไป งานแต่งในครั้งนี้ก็ไม่เป็ผลแล้ว”
หยางหนิงแค่ยิ้ม ดูแล้วเหมือนจะลำบากใจเสียหน่อย
“หยวนหรง จวนจิ่นอีโหวไปหาตระกูลเหวียนของเ้า คิดอยากให้ตระกูลเหวียนเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย แต่ว่าส่งแค่เ้ามา นั่นแสดงว่าท่านเหวียนเองก็พอจะรู้จักนิสัยข้าดี รู้ว่าเื่นี้คงเปลี่ยนแปลงอะไรมิได้” ซูเจินจิบน้ำชา จากนั้นก็วางถ้วยชาลง “คนอย่างข้าซูเจินจะทำการอันใด จะต้องเด็ดขาดไม่มีการเปลี่ยนแปลง กลับไปบอกใต้เท้าเหวียนด้วยว่า เื่นี้ใช่ว่าข้าจะไม่ให้เกียรติตระกูลเหวียนของพวกเ้า เขาน่าจะเข้าใจดี”
ตอนนี้หยวนหรงแน่ใจแล้วว่า ตัวเขานั้นไม่ได้ฟังผิดไป เขาอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้เห็น คิดว่าเื่นี้มันน่าสนใจยิ่งกว่าที่หยางหนิงท่องกลอนดอกบัวบทนั้นออกมาเสียอีก
“ท่านโหว ข้า...ท่าน...เื่นี้...!” เขาถึงกับติดอ่าง ไม่รู้จะต้องพูดอะไรต่อ ในใจกลับคิดว่า เ้าหยางหนิง เ้าลากข้ามาที่นี่ ที่แท้ก็เพราะเื่นี้ การแต่งงานจะสำเร็จหรือไม่ มันเป็เื่ของตระกูลฉีกับตระกูลซูของพวกเ้า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตระกูลเหวียนของข้าเลย คราวนี้เป็อย่างไรเล่า ลากตระกูลเหวียนของข้ามาร่วมวงด้วย
ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ซูเจินแสดงชัดเจนว่าตระกูลเหวียนมาเพื่อไกล่เกลี่ยให้กับตระกูลฉี
เขาแอบโมโห เื่ความแค้นของตระกูลใหญ่ เป็เื่ยุ่งยากที่สุด คนที่ฉลาดจะไม่มีทางเอาตัวเองกับวงศ์ตระกูลมายุ่งด้วยเด็ดขาด แต่ว่าเขาถูกหยางหนิงลากมาถึงหน้าบ้าน เื่นี้มันวุ่นวายเสียจริง ตอนนี้เขาแค่กังวลว่าเกียรติยศของตระกูลจะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับความแค้นของสองตระกูลนี้ เห็นทีจะลำบากตัวเขาเองเสียแล้ว
“ฉีหนิง ใช่ว่าข้าจะดูถูกเ้านะ แต่ใครๆ ก็รู้ เ้ามันก็แค่ดินโคลนที่ไม่คู่ควรกับกำแพง” ซูเจินสะบัดชายเสื้อโดยไม่มองหยางหนิง “เ้ามันคนความรู้น้อย ไม่มีคุณธรรม จื่อเซวียนของข้ารอบรู้ เ้าไม่มีความรู้เื่วรยุทธ จื่อเซวียนของข้าเล่นดนตรี เล่นหมากรุก วาดรูปเป็ เ้ามันโง่ทำอะไรไม่เป็สักอย่าง จื่อเซวียนของข้าฉลาดหลักแหลม...แต่ช่างเถอะ ข้าอธิบายชัดเจนแล้ว ต่อให้เ้าโง่กว่านี้ ก็น่าจะรู้ เ้าไม่เหมาะสมกับจื่อเซวียนของข้า พูดมากันขนาดนี้แล้ว ข้าคิดว่าคงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก” จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น เอามือไขว้หลัง พูดเสียงเข้มๆ ว่า “ใครก็ได้ ส่งแขกให้ข้าที!”
หยางหนิงเหลือบไปมองที่ซูเจิน จากนั้นก็ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “อู่เซียงโหว ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือไม่?”
“ไม่มีสิ่งใดที่ข้าเข้าใจผิดทั้งนั้น” น้ำเสียงของซูเจินแข็งกระด้าง “ข้ายังมีเื่ต้องทำอีกมาก ข้าจะไม่รั้งพวกเ้าไว้แล้วกัน”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อู่เซียงโหว ท่านเข้าใจผิดเป็แน่ ท่านคิดว่าที่ข้ามาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านไม่ยกเลิกงานแต่งอย่างนั้นหรือ?”
ซูเจินใ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือว่ามิใช่เล่า?”
“ก็ไม่ใช่อย่างไรเล่า” หยางหนิงนั่งลง พิงเก้าอี้ จากนั้นก็ยกถ้วยน้ำชามา “ข้าไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับลูกสาวท่าน การยกเลิกงานแต่งเป็เื่ที่ต้องทำกันอยู่แล้ว ที่ข้ามาในวันนี้ มาเพื่อถอนหมั้น ข้าจะบอกพวกท่านให้ชัดเจนตรงนี้เลยว่า ลูกสาวของท่าน ไม่มีทางได้เหยียบเข้าตระกูลฉีแม้แต่ก้าวเดียว” จากนั้นก็ยกน้ำชามาดื่ม แล้วก็พ่นมันออกมาจากปาก ด่ากลับไปว่า “นี่มันอะไร? คนกินได้ด้วยหรือ? อู่เซียงโหว จวนของท่านดื่มชาแบบนี้กันหรือ? ชาแบบนี้แม้แต่สุนัขในจวนข้ามันยังไม่กินเลย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้