เวินลี่ไม่มีเื่อะไรที่ต้องไปทำ จึงเฝ้าชวีเสี่ยวปออยู่ในห้องพักฟื้นตลอดทั้งบ่าย
ส่วนชวีเสี่ยวปอก็ถูกแม่ของเขาจ้องมองจนรู้สึกระแวงไปทั้งตัว เขาจึงหลับตาลงให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ผ่านไปเพียงไม่นานก็ผล็อยหลับไปในที่สุด แต่กลับหลับไม่สนิทสักเท่าไหร่ ระหว่างนั้นดูเหมือนว่าชวีอี้เจี๋ยจะให้คนขับรถของเขามาเยี่ยมอยู่รอบหนึ่ง ชวีเสี่ยวปอได้ยินในตอนที่กำลังสะลึมสะลือ ต่อมาพยายาบาลก็เข้ามาอีกครั้ง เมื่อชวีเสี่ยวปอลืมตาตื่นขึ้นมาฟ้าก็มืดเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
ในห้องพักฟื้นไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
“แม่ครับ? ” ชวีเสี่ยวปอเรียกออกไปหนึ่งครั้ง แต่ไม่มีคนตอบกลับมา
ว่างเปล่า
ในหัวของชวีเสี่ยวปอปรากฏคำขึ้นมาคำหนึ่ง
นอนอยู่ในท่าเดียวเป็เวลานาน จนทำให้หลังแข็งไปหมด ทั้งชวีเสี่ยวปอก็ยังไม่ชินกับเฝือกที่ขาเลย เพราะไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ต้องระวังอยู่ตลอด
แต่ความว่างเปล่านี้ไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยสิ่งหนึ่งขึ้นมาโดยทันที
อยากชิ้งฉ่อง โดยด่วนที่สุด
ชวีเสี่ยวปอตัดสินใจพยายามลองพยุงตัวเองขึ้นมา เพราะถึงยังไงก็มีคำพูดที่กล่าวไว้ว่า คนเป็ไม่สามารถตายจากการอั้นฉี่ได้
“ก่อนอื่น” ชวีเสี่ยวปอพูดขึ้นมาเบาๆ ในใจ อาศัยการที่ในห้องพักฟื้นไม่มีใครอยู่เริ่มการแสดงของตัวเองขึ้นมา “ลุกขึ้นนั่ง”
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเจ็บขาแค่ข้างเดียวจะทำให้ลำบากถึงเพียงนี้ ชวีเสี่ยวปอลงน้ำหนักทั้งหมดไปเอาไว้ที่เอว ใช้มือประคองด้านหลังของบั้นท้ายเอาไว้ และในที่สุดก็ขึ้นมานั่งได้แล้ว
“ให้ตายสิ...” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าบั้นท้ายของเขาเริ่มเป็ตะคริวขึ้นมา การเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำเจ็บขาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเหมือนผู้ป่วยอัมพาตครึ่งท่อนที่กำลังฝึกทำกายภาพบำบัดมากกว่า
ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา ทั้งยังรู้สึกว่าตัวเองโง่มากเลยจริงๆ
ทำไมถึงไม่กดกริ่งให้พยาบาลเข้ามาช่วย! มาพยุงเขาไปถึงหน้าห้องน้ำก็ไม่ใช่เื่ยากอะไรนี่!
ชวีเสี่ยวปอหันหลังกลับไปใช้สายตาวัดระยะห่างระหว่างตัวเองกับกริ่งกดเรียกพยาบาลที่อยู่ตรงหัวเตียง จากนั้นจึงทำการตัดสินใจ
การกระทำเช่นนี้ถือว่ายากกว่าการลุกขึ้นมานั่งเมื่อครู่นี้เป็เท่าตัว
ขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังครุ่นคิดพิจารณาอยู่ว่าจะขยับก้นต่อไปดีหรือไม่ ประตูก็ถูกผลักเข้ามาทั้งอย่างนั้น
ทันทีที่เซี่ยเจิงเข้ามาแล้วเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เขาจึงเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่ชื่นชมเป็อย่างยิ่ง : “พิการแต่ใจยังสู้เหรอ? เป็ถึงขนาดนี้แล้วยังฟิตกล้ามอีก? ”
ชวีเสี่ยวปอ : “ฟิตกล้ามบ้านนายสิ...ฉันจะไปชิ้งฉ่อง !”
เซี่ยเจิงวางของที่อยู่ในมือลงบนพื้น แล้วรีบก้าวเข้าไปที่ข้างเตียง ไม่ได้ประคองเขาลุกขึ้นมาจากเตียง แต่กลับกดเขาให้นั่งลงไปเหมือนเดิม
ชวีเสี่ยวปอ : “ ? ? ? ” อย่าคิดว่าเป็แฟนแล้วฉันจะไม่กล้าต่อยนายนะ !
“อย่าขยับ” เซี่ยเจิงมองเขาไปครั้งหนึ่ง เหมือนรู้ว่าชวีเสี่ยวปอกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นจึงรีบก้มลงไปหยิบกระบอกปัสสาวะชายขึ้นมาจากใต้เตียง พร้อมทั้งยื่นใส่มือชวีเสี่ยวปอ “เอาเลย”
เอาเลย?
แบบนี้จะฉี่ยังไงฮะ?
ทำไมถึงได้พูดออกมาง่ายๆ เหมือนกับถามว่า “นายกินข้าวเย็นหรือยัง” อย่างไรอย่างนั้นเลย?
ใบหน้าของชวีเสี่ยวปอกลั้นไว้จนแดงไปหมดแล้ว แต่ก็ยังปัดกระบอกปัสสาวะนั้นออกไปอย่างแรง : “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ !”
เซี่ยเจิงพูดอย่างใจเย็น : “ตอนนี้ขานายยังไม่สามารถขยับไปไหนได้ กระดูกหักต้องพักฟื้นหนึ่งร้อยวันรู้ไหม? ”
ชวีเสี่ยวปอมองเขา แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าสายตาของเซี่ยเจิงหลังจากพูดประโยคนี้จบเต็มไปด้วยการส่งกำลังใจมาให้เขา เขาเข้าใจ เขาเข้าใจเป็อย่างดี แต่มันก็น่าอายเกินไป
เขาสองคนก็ไม่ได้ไม่เคยเข้าในห้องน้ำด้วยกันมาก่อน ทั้งการเห็นน้องชายของกันและกันก็ถือได้ว่าเป็เื่ปกติไปแล้วด้วย แต่จะให้ตัวเองมาปัสสาวะใส่กระบอก แล้วเซี่ยเจิงก็ยืนดูอยู่ข้างๆ ...เมื่อชวีเสี่ยวปอนึกถึงภาพฉากเช่นนี้ก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัวแล้ว
“นายใช้ไม่เป็เหรอ? ” เซี่ยเจิงถามขึ้นมา
“ใช้เป็” ชวีเสี่ยวปอกัดฟันกล้ามด้านหลัง “คือว่า นายเอาผ้าห่มมาปิดเอาไว้ให้ฉันหน่อยได้ไหม? ”
หลังจากได้ยินเสียงน้ำดังมาจากในห้องน้ำ ชวีเสี่ยวปอที่กำลังมองเพดานจึงเหม่อลอยขึ้นมาทันที
ความสัมพันธ์แบบไหนที่ทำให้คนเรารู้สึกลึกซึ้งมากกว่ากัน
ตอบ : เพื่อนรักที่เสียสละชีวิตแทนกันได้ คู่รักวัยเด็กอะไรทำนองนี้หลีกทางไปให้พ้น ท่านใดเคยมีความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายเทกระบอกปัสสาวะให้บ้างหรือเปล่า !
“คุณป้าล่ะ? ”
ความคิดในหัวของชวีเสี่ยวปอที่ถามเองตอบเองไม่ได้ทำงานต่อแล้ว เพราะเซี่ยเจิงออกจากห้องน้ำมาพอดี
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอจงใจหลบสายตาของอีกฝ่าย “พอตื่นมาก็ไม่เห็นใครแล้ว น่าจะออกไปซื้อข้าวละมั้ง? ”
“อืม” เซี่ยเจิงนั่งลงที่ข้างเตียง “วันนี้ซ้อมถึงดึกไปหน่อยเลยรีบมา เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้ฉันตุ๋นซุปกระดูกมาให้นะ”
“ไม่ต้อง” ชวีเสี่ยวปอส่ายหน้าไปมา การฝึกซ้อมของทีมบาสเกตบอลก็หนักมากอยู่แล้ว ถ้าหากเซี่ยเจิงยังต้องแบ่งใจมากังวลเื่ของเขาทางนี้อีก ชวีเสี่ยวปอรู้สึกทนไม่ได้จริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยเจิงพูดถึงเื่นี้ขึ้นมาด้วยแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาจากผ้าห่มเพื่อไปลูบบนมือของเซี่ยเจิง :
“นายฝึกอย่างสบายใจเถอะนะ”
ฉันรู้แล้ว
ในใจของเซี่ยเจิงพูดออกมาเช่นนี้ แต่เขาเพียงแค่พลิกมือกลับขึ้นมาลูบเบาๆ ไปบนฝ่ามือของชวีเสี่ยวปอ
ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างในอากาศอุณหภูมิสูงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนใดใด ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็ยื่นแขนยาวออกไปคล้องเข้าที่คอของเซี่ยเจิง พร้อมทั้งเอนตัวขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้สึกว่าท่าทางในตอนนี้ของตัวเองต้องดูแปลกประหลาดมากอย่างแน่นอน ถ้าหากให้พาดหัวข่าวภาพฉากนี้ขึ้นมาก็คงจะเป็ : ช็อก! ชายสองคนทำเื่อย่างว่ากันในโรงพยาบาล!
แต่ในวินาทีที่กดจูบลงไปบนริมฝีปากของเซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอกลับลบความคิดไร้สาระเ่าั้ออกไปภายในคลิกเดียว
ส่วนเซี่ยเจิงก็เพิ่มจูบให้ลึกซึ้งยิ่งไปกว่าเดิม
ในตอนนี้ตราบใดที่มีคนเดินผ่านหน้าห้องพักฟื้น และหันศีรษะมาเพียงนิดก็จะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาทั้งสองคนกำลังทำอะไรกัน
เมื่อผละตัวออกจากกันทั้งคู่ยังดูเสียดายอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆ ที่โอกาสในการทำเช่นนั้นสองต่อสองก็มีอยู่มากพอสมควร แต่ก็มักจะรู้สึกว่าเพิ่งจะทำไปได้แค่ครู่เดียวราวกับว่าเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ
แขนของชวีเสี่ยวปอยังคงคล้องเอาไว้อยู่บนคอของเซี่ยเจิง เขามองไปยังขาที่ถูกพันเอาไว้ด้วยเฝือก แล้วจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา : “มันขัดขวางการโชว์พาวของฉันสุดๆ เลย”
“ดีแล้วละ” เซี่ยเจิงขยับเข้าไปใกล้กดจูบลงบนริมฝีปากเขาไปทีหนึ่ง จากนั้นจึงพูดเสียงเบาขึ้นมาว่า : “ตอนบ่ายฉันเป็ห่วงแทบแย่น่ะ”
“ไม่เป็ไร ลูกผู้ชายตัวจริงต้องกล้าเผชิญหน้ากับเหตุการณ์กระดูกหักได้อยู่แล้ว” ชวีเสี่ยวปอบีบลงไปบนเอวของเซี่ยเจิงหนึ่งที พร้อมทั้งมองเซี่ยเจิงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างไม่หนักและไม่เบามาก แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก “ฉันลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าลงไปนอนที่พื้นได้ยังไง”
“นั้นเป็เพราะว่านายเจ็บไง” เซี่ยเจิงถอนหายใจ
“น่าจะใช่มั้ง” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะแหะๆ “แต่ตอนที่นายเข้ามาฉันเห็นชัดสุดๆ เลยนะ”
“ถ้างั้นก็คงจะไม่เจ็บเท่าไหร่”
ทั้งสองคนคุยกันอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดป้าหลี่ก็โทรศัพท์มาตามเซี่ยเจิงให้กลับบ้าน บอกว่าวันนี้แม่ของเขาอาการไม่ค่อยดี ให้เขารีบกลับบ้านโดยด่วน
“ไปก่อนนะ” เซี่ยเจิงจับมือของชวีเสี่ยวปอเอาไว้แน่น “เดี๋ยวพรุ่งนี้มาหาใหม่”
“เป็ยังไงบ้างมาบอกฉันด้วยนะ” ชวีเสี่ยวปอใช้แรงของเซี่ยเจิงพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่ง แล้วจ้องมองเซี่ยเจิง “ได้ยินหรือเปล่า”
“รู้แล้วค้าบ” เซี่ยเจิงเดินออกไปได้เพียงสองก้าว แต่แล้วก็หันหลังกลับเข้ามาจุ๊บแก้มชวีเสี่ยวปอไปทีหนึ่ง พร้อมทั้งพูดกระซิบซ้ำอีกครั้งว่า : “รู้แล้วค้าบ”
คุณแฟนเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว
หลังจากที่เซี่ยเจิงเดินออกไป ชวีเสี่ยวปอจึงเอนตัวพิงไปด้านหลังราวกับหมดกำลังใจ
ไม่รู้ว่าห้องพักฟื้นห้องอื่นเป็เช่นนี้หรือเปล่า เพราะห้องเขาเงียบสงัดจนน่ากลัว อันที่จริงเขาก็ได้ยินเสียงแตรรถยนต์จากด้านนอกหน้าต่างดังเข้ามารางๆ อยู่เช่นกัน แต่ชวีเสี่ยวปอมักจะรู้สึกราวกับว่าสิ่งเ่าั้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ในตอนที่เซี่ยเจิงอยู่เคียงข้างเขาเท่านั้น ถึงจะสามารถทำให้ผนังสีขาวของโรงพยาบาลไม่ได้ดูเด่นชัดขึ้นมา
ทั้งยังทำให้โลกใบนี้ดูครึกครื้นมีชีวิตชีวามากขึ้นด้วยเช่นกัน