ผลคือหลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เมิ่งอู่กลับเข้าห้องนอน เพิ่งล้มตัวลงนอนได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงฝนตกหนักดังโครมครามอยู่ข้างนอก
พายุฤดูร้อนนั้นมาเร็วไปเร็ว ท้องฟ้าแจ่มใสแดดเจิดจ้ามาหลายวัน ราวกับจะชำระล้างความร้อนอบอ้าวนี้ให้จางหายไป
หยาดพิรุณตกกระทบกระเบื้องมุงหลังคาเสียงดังโครมคราม น้ำฝนไหลลงมาจากชายคาเรือนเร็วรี่ ทั่วทั้งหมู่บ้านจมอยู่ท่ามกลางเสียงฝน กลบเสียงแมลงและกบที่มักร้องระงมในยามค่ำ
ในไม่ช้าจากฝนตกหนักก็กลายเป็ฝนตกปรอยๆ เสียงฝนตกกระทบหลังคาเรือนดังต่อเนื่องจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
ยามเช้าพอเปิดหน้าต่างออก ก็เห็นพื้นดินเปียกชุ่มเป็แอ่ง
ชาวบ้านคลุมเสื้อกันฝนที่ทำจากฟางข้าว แบกจอบ ออกไปพรวนดินในไร่นา
เมื่อคืนเมิ่งอู่จับแม่ไก่ป่าไปไว้ในครัว เช้านี้จึงปล่อยมันออกมา พบว่ามันเงื่องหงอยคล้ายไม่ค่อยสบาย ทั้งวันมันทำท่าทางเหมือนกับท้องผูก
นางเลี้ยงแม่ไก่ป่าตัวนี้ได้สักระยะหนึ่งแล้ว มันกินธัญพืชไปไม่น้อยจึงอ้วนท้วนขึ้นมาก
ยามนี้หากมันป่วยจริงๆ เมิ่งอู่ที่เป็หมอรักษาคน ไม่ใช่สัตวแพทย์ ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะรักษามันอย่างไร
ซวี่เฉินฟางจึงแนะนำว่า “ไม่สู้เอาไปตุ๋นดีหรือไม่?”
ดูคล้ายแม่ไก่ป่ารับรู้ว่ามีคนหมายตาเนื้อของมัน มันร้องดังกะต้ากๆๆ พลางเดินไปรอบๆ ลานเรือน ราวกับจะประกาศว่าตนเองแข็งแรงมีชีวิตชีวามาก
ผลปรากฏว่าเพียงเมิ่งอู่เผลอไผล มันก็วิ่งกลับเข้าครัว ก่อนไปซ่อนตัวอยู่ใต้กองฟืน
เป็เช่นนี้ทั้งวัน พอตกเย็น เมิ่งอู่เข้าไปจับมันออกมาเดินเล่น มันก็ร้องดังลั่นอย่างไม่ทันตั้งตัวอยู่ในครัว
อินเหิงกับซวี่เฉินฟางได้ยินเสียงก็รีบตรงไปยังครัว เห็นเมิ่งอู่วิ่งออกมา มือหนึ่งอุ้มแม่ไก่ป่าไว้ มือหนึ่งกำไข่ขาวๆ กลมๆ ไว้
ั์ตาของเมิ่งอู่เจือยิ้มสดใสประหนึ่งถูกแสงดาวชะล้าง กล่าวว่า “ข้าก็ว่าแล้ว ไยมันถึงได้เอาแต่อยู่ตรงนั้น ที่แท้มันออกไข่นี่เอง!”
วงหน้าของอินเหิงกับซวี่เฉินฟางพลันอ่อนโยนลง
เมิ่งอู่กอดแม่ไก่ป่าไว้พลางลูบขนมันเบาๆ เกือบจะจูบมันด้วยความยินดีปรีดาแล้ว นางกล่าวว่า “ไม่เสียแรงที่เลี้ยงแก!” แม่ไก่ป่าเชิดคออย่างหยิ่งผยอง ก่อนส่งเสียงกะต้ากๆ สองครั้ง
จากนั้นเมิ่งอู่ก็ฮัมเพลงเบาๆ ขณะนั่งยองอยู่ในลานเรือน และสร้างเล้าไก่ให้มันด้วยความกระตือรือร้น
วัสดุที่ใช้ทำเล้าไก่เป็ลำไผ่ที่เพิ่งตัดกลับมาใหม่จากป่าไผ่ เอามาเหลาเป็เส้นๆ จากนั้นนำมาสานเป็เพิง มุงหลังคาด้วยหญ้าคาอีกชั้นหนึ่ง
เวลานั้นอินเหิงค่อยๆ นั่งเหลาไม้ไผ่ให้เมิ่งอู่อยู่ใต้ชายคา
หยาดพิรุณที่ยังตกค้างอยู่บนชายคาเรือนหยดลงมาเป็บางครั้ง บรรยากาศผ่อนคลายสบายๆ
ซวี่เฉินฟางหยิบไม้ไผ่ที่เหลาแล้วมาสานเป็ตั๊กแตนสีเขียว พอโยนไปในลานเรือน แม่ไก่ป่าก็ะโโลดเต้นจิกกินอย่างตื่นเต้น
แม้ว่าเขาเป็คนเกียจคร้าน แต่ก็ยังช่วยส่งไม้ไผ่ที่เหลาแล้วให้นาง พอเห็นเมิ่งอู่สานด้วยความตั้งใจ จึงเดินไปนั่งลงข้างๆ นาง ช่วยนางสานพลางกล่าวว่า “ญาติผู้น้องอาอู่ เ้าช่างดีต่อแม่ไก่ตัวนี้ ไม่เห็นดีต่อข้าเช่นนี้บ้างเลย”
เมิ่งอู่คร้านจะต่อปากต่อคำกับเขา กล่าวอย่างจริงจังว่า “เล้าไก่นี้ต้องกันลมกันฝนได้ อบอุ่นในฤดูหนาว เย็นสบายในฤดูร้อน ต้องทำให้แม่ไก่อยู่สุขสบาย มันถึงจะออกไข่ให้”
หลังจากทำเล้าไก่เสร็จ เมิ่งอู่ก็ปูฟางลงในเล้า
ซวี่เฉินฟางยืนกอดอกยิ้มระรื่นก่อนเอ่ย “เล้าไก่ก็เสร็จแล้ว แต่ยังขาดอันใดไปอย่างหนึ่ง”
เมิ่งอู่ถาม “ขาดอันใด?”
ซวี่เฉินฟางกะพริบตาปริบๆ “ขาดพ่อไก่”
เมื่อเมิ่งอู่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเห็นภาพ ในหัวของนางพลันผุดฉากที่แม่ไก่กกไข่ ฟักออกมาเป็ลูกไก่ และให้กำเนิดกองทัพไก่ออกมา เวลานั้นสิ่งที่นางคาดหวังก็ไม่ใช่แค่ไข่ฟองเดียวต่อวันแล้ว แต่เป็ไข่ทั้งเล้า!
เมิ่งอู่กล่าวด้วยความปีติยินดี “ประเดี๋ยวข้าไปขอยืมไก่ตัวผู้ แล้วให้พวกมันนอนด้วยกันสักพัก”
ครั้นนางเซี่ยได้ยินประโยคนี้ก็เอ็ดว่า “หลับนอนอันใดกัน นี่เ้าพูดออกมาได้อย่างไร ไม่รู้จักอาย!” ยิ่งกว่านั้น ในลานเรือนยังมีบุรุษตั้งสองคน พูดเื่แบบนี้ต่อหน้าพวกเขาได้อย่างไร
เมิ่งอู่ท้วง “ท่านแม่ ไก่ก็มีความ้าเหมือนกันนะเ้าคะ”
นางเซี่ยฟื้นกำลังขึ้นบ้างแล้ว นางบิดหูเมิ่งอู่แล้วลากเข้าไปในเรือน “เ้ายังจะพูดอีก!”
“ท่านแม่ ท่านแม่ เบาหน่อย หูข้าจะหลุดแล้ว! ที่ข้าหมายถึง คือ หากแม่ไก่นอนกับพ่อไก่แล้ว ไข่ที่ออกมาย่อมฟักเป็ลูกไก่เ้าค่ะ!”
ตกเย็น เมิ่งอู่นำไข่กลมๆ ฟองนั้นมาทำไข่ฝูหรง [1] หนึ่งชาม
แต่ในเรือนมีสี่คนจึงแบ่งกันไม่พอ นางเซี่ยกับซวี่เฉินฟางเพิ่งหายป่วย อินเหิงก็แขนเจ็บ เมิ่งอู่คิดว่านอกจากตัวนางเองแล้ว ทั้งสามคนสมควรได้รับการบำรุงร่างกาย
ดังนั้นนางจึงแบ่งไข่ตุ๋นออกเป็สามส่วน ตักให้พวกเขาคนละช้อน
ทั้งสามคนเงียบกริบ เมิ่งอู่กล่าว “รีบกินเถิด ประเดี๋ยวเย็นชืดแล้วจะมีกลิ่นคาว ไม่อร่อย”
จากนั้นทั้งสามคนก็ยกช้อนขึ้นตักไข่ตุ๋น แต่ไม่ได้นำเข้าปากตนเอง กลับยื่นไปทางเมิ่งอู่อย่างพร้อมเพรียงกัน
คราวนี้ทุกคนต่างผงะ
นางเซี่ยยิ้มเอ็นดู เอ่ยว่า “อาอู่ เ้าลองชิมดู แม่กินยาบำรุงที่เฉินฟางนำมาให้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็ต้องกินสิ่งนี้หรอก”
แต่ก่อนนางเซี่ยไม่ค่อยได้กินไข่ตุ๋นร้อนๆ เช่นนี้
ซวี่เฉินฟางกล่าว “ท่านป้ากินเถิด ข้าไม่กิน ข้าไม่ชอบกลิ่นคาว ของข้ายกให้อาอู่กิน” เขายิ้มกริ่มก่อนกล่าวกับเมิ่งอู่ “เด็กดี อ้าปาก ข้าป้อนเอง”
ดวงตาทั้งคู่ของเขาดั่งทะเลดาว เปล่งประกายเจิดจ้าไร้ขอบเขต
อินเหิงไม่พูดอันใด เขาก้มหน้ากินไข่ตุ๋นไปครึ่งช้อน จากนั้นจึงยื่นส่วนที่เหลือไปจ่อริมฝีปากของเมิ่งอู่ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กินหรือไม่”
เมิ่งอู่กลืนน้ำลาย หากต้องเลือกจริงๆ แน่นอนว่านาง… งับช้อนของอินเหิง กินส่วนที่เขาป้อนให้จนหมด
อินเหิงถาม “อร่อยหรือไม่?”
เมิ่งอู่เลียริมฝีปาก จ้องมองเขาก่อนเอ่ย “อร่อย”
การกระทำที่เปิดเผยและกล้าหาญชาญชัยเยี่ยงนี้ ทำเอานางเซี่ยโมโหจนเกือบปาตะเกียบทิ้ง
ซวี่เฉินฟางเพิ่มน้ำมันเติมน้ำส้มสายชู [2] อยู่ด้านข้าง “ท่านป้า หวังสิงผู้นี้ใช้ความงามล่อลวงญาติผู้น้องอาอู่อย่างโจ่งแจ้ง ช่างไร้ยางอายจริงๆ”
นางเซี่ยกล่าวด้วยความโมโห “หวังสิง! หากเ้ายังสอนอาอู่มั่วซั่วอีก ระวังข้าจะไล่เ้าออกไป!”
นี่จะเรียกว่าสอนมั่วซั่วได้อย่างไร ไม่ต้องสอนนางก็เป็อยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นนางก็ชอบแบบนี้ด้วย
เมิ่งอู่ถลึงตาจ้องซวี่เฉินฟางแวบหนึ่ง รีบกล่าว “ท่านแม่ อย่าหลงเชื่อคำยุยงของคนชั่ว รีบกินข้าวเถิดเ้าค่ะ ประเดี๋ยวกับข้าวชืดหมด”
อินเหิงเพียงรู้วิธีที่ทำให้เมิ่งอู่กินไข่ตุ๋นที่เขาป้อนให้ เขาอยากลิ้มรสมันกับนางมากกว่า ทำให้นางมีความสุขและสบายใจ
เมิ่งอู่คีบกับข้าวให้นางเซี่ยไปพลาง ปลอบโยนไปพลาง “จะมีอะไรเล่า อย่างมากข้าก็เพียงกินน้ำลายของอาเหิงไปนิดหน่อย หากกล่าวว่าชายหญิงไม่สมควรใกล้ชิดกัน นี่ก็คลุมเครืออยู่บ้าง ดูเหมือนเป็การจูบทางอ้อมนิดหน่อย… จูบกันก็ต้องมีน้ำลายติดกันบ้างเป็ธรรมดา…”
นางยิ่งพูดยิ่งเพ้อเจ้อไปไกล กระบวนความคิดที่ผ่านมาไม่รู้ว่าคิดไปถึงที่ใดแล้ว นางแสดงสีหน้าล่องลอย ลุ่มหลงมัวเมาสุดขีด
นางเซี่ยที่อยู่ข้างๆ หน้าดำดุจก้นหม้อ
อินเหิงไอเบาๆ อย่างทันท่วงที กล่าวว่า “อาอู่ เ้าแน่ใจหรือว่ากำลังปลอบใจฮูหยิน”
เมิ่งอู่ได้สติกลับคืนมา รีบกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไอ้หยา ข้าพูดไปไกล ไปไกลแล้ว”
ซวี่เฉินฟางมองอินเหิงกับเมิ่งอู่ เลิกคิ้วก่อนเอ่ย “ญาติผู้น้องอาอู่ ดูคล้ายเ้าจะมีประสบการณ์มากนะ”
เมิ่งอู่ถลึงตาใส่เขา “เ้าหุบปากไป! กินข้าว!”
……….
[1] ไข่ฝูหรงมีวิธีการทำสองแบบ ทั้งแบบไข่ตุ๋นและแบบไข่เจียว
[2] หมายถึง พูดเกินจริง บิดเบือนเื่ราว