“วังโบราณจิ่วซานก็คือซากวังใต้ดินที่หลงเหลือมาจากยุคโบราณ จากข่าวลือบอกเอาไว้ว่า ในตอนนั้นมีผู้แข็งแกร่งที่เหนือกว่าระดับหยวนตานผู้หนึ่งภายในดินแดนเป่ยหยวนได้สร้างมันขึ้นมาเพื่อเป็สุสานของตัวเอง และภายในวังโบราณจิ่วซานก็มีสมบัติหายากของเขาเก็บซ่อนเอาไว้อยู่มากมาย
“แต่ภายในนั้นก็มีอันตรายอยู่มากมายเช่นกัน และเพราะสมบัติที่ถูกเก็บอยู่ภายในนี้ ทำให้มีผู้ที่้าที่จะเข้าไปสำรวจภายในวังโบราณจิ่วซานจำนวนไม่น้อย แต่พวกเขาเ่าั้ก็ล้วนเสียชีวิตลงที่นั่น ทางสำนักศึกษาเทียนอวิ่นของเราก็มีภารกิจเกี่ยวกับการสำรวจวังโบราณจิ่วซานเช่นกัน และภารกิจนี้ก็ทำในเหล่าบัณฑิตเสียชีวิตไปเป็จำนวนมาก
“ทว่ามีคนเคยพบอาวุธิญญาภายในวังโบราณจิ่วซานมาก่อน ซึ่งนั่นถือเป็สมบัติล้ำค่า ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเป็เสมือนสถานที่ที่สามารถใช้แสวงหาโอกาสและความตายได้ในแหล่งเดียวกัน อีกทั้งยังเป็สถานที่แห่งหนึ่งที่มีความอันตรายเป็อย่างมากในดินแดนเป่ยหยวน”
มู่หลิงเอ๋อร์อธิบาย
“สุสานที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้แข็งแกร่งเหนือระดับหยวนตาน!”
หลังได้ฟังเื่ราวเหล่านี้แล้วมู่เฟิงก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที เขาจึงรีบเอ่ยถามต่อว่า “พี่หญิง การดำรงอยู่ที่เหนือกว่าระดับหยวนตานคืออะไรหรือขอรับ?”
ล้วนเป็ที่ทราบกันดีว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรหนานหลิงคือผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตาน ดังนั้นเขาจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับการดำรงอยู่ที่เหนือกว่าระดับหยวนตานมากนัก
“ระดับที่เหนือกว่าระดับหยวนตานก็คือระดับหลิงไห่ ผู้แข็งแกร่งระดับหลิงไห่คือผู้ที่สามารถทะลวงเปิดจุดตันเถียนในตำแหน่งจื้อไห่ได้ ทำให้เกิดจิตรับรู้ขึ้นจนสามารถรับรู้ถึงความเป็ไปในใต้หล้านี้ได้ ผู้แข็งแกร่งระดับหลิงไห่สามารถใช้พลังิญญาของตัวเองสร้างจิตรับรู้ที่เชื่อมต่อกับฟ้าดิน และเข้าใจการต่อสู้ในระดับที่ล้ำลึกยิงกว่านี้ได้ เข้าใจถึงระดับที่ว่าเพียงแค่โบกมือก็สามารถเปลี่ยนทิศทางลม หรือทำให้สายน้ำไหลย้อนกลับได้เลยทีเดียว”
นอกจากนี้ผู้แข็งแกร่งระดับหลิงไห่ยังได้รับความเคารพในฐานะปรมาจารย์แห่งยุค มีคุณสมบัติในการจัดตั้งสำนักอีกด้วย
“ในสถานที่เช่นดินแดนเป่ยหยวนแห่งนี้ หากผู้ใดสามารถฝึกฝนจนบรรลุถึงระดับหลิงไห่ได้ คนผู้นั้นย่อมจะมีพลังที่ยิ่งใหญ่เหนือผู้คน”
หมอโอสถเหลิ่ง อาจารย์ของหลิงเอ๋อร์เป็คนอธิบายในประโยคหลัง
“สามารถเปลี่ยนทิศทางลม และทำให้สายน้ำไหลย้อนกลับได้”
ดวงตาของมู่เฟิงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง บุคคลที่สามารถทำเช่นนี้ได้จะมีพลังเหนือธรรมชาติเพียงใดกัน
“กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ วังโบราณจิ่วซานเป็สุสานของผู้แข็งแกร่งระดับหลิงไห่ผู้หนึ่งใช่หรือไม่?”
มู่เฟิงเอ่ยถาม
“อาจจะเป็เช่นนั้น เพราะไม่มีใครรู้ระดับวรยุทธ์ที่แท้จริงของผู้ที่สร้างสุสานขึ้น ภายในสุสานแห่งนั้นถูกแบ่งออกเป็สี่ชั้น และแต่ละชั้นก็จะยิ่งทวีความอันตรายมากขึ้น ที่ชั้นสามนั้นต่อให้เป็ผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตาน แต่หากไม่ระวังให้ดีก็อาจจะมีอันตรายถึงชีวิตได้
“ภูมิประเทศของวังโบราณจิ่วซานนั้นถูกล้อมไว้ด้วยูเาเก้าลูก สถานที่แห่งนี้ล้วนถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายของภูตผีิญญา แต่ก็มีเพียงที่นั่นเท่านั้นที่มีความเป็ไปได้ว่าจะมีหญ้าโลหิตมรกตอยู่
“ข้าสามารถช่วยระงับพิษของเด็กคนนี้ได้เพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น หลังจากผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว หากเ้ายังไม่สามารถเก็บหญ้าโลหิตมรกตกลับมาได้ พิษจะเริ่มเข้าสู่หัวใจของเขา ถึงเวลานั้นต่อให้เ้าจะเก็บหญ้าโลหิตมรกตมาได้ก็ไร้ประโยชน์แล้ว”
หมอโอสถเหลิ่งกล่าวเสียงเ็า
“ครึ่งเดือน...”
เมื่อได้ยินดังนั้นมู่เฟิงก็กำหมัดแน่น เขาหันไปมองทางไป๋จื่อเยว่ที่ยังคงหลับใหลอยู่บนเตียง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจในที่สุดว่าจะต้องไปที่วังโบราณจิ่วซานเพื่อค้นหาหญ้าโลหิตมรกตนั่นกลับมาให้ได้ ต่อให้มันจะเป็ูเาดาบหรือทะเลเพลิงเขาก็จะพุ่งเข้าไป
“เ้าแน่ใจแล้วหรือ?”
เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฟิง มู่หลิงเอ๋อร์ก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มได้ตัดสินใจไปแล้ว
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะช่วยจื่อเยว่ให้ได้ เขาเป็เหมือนกับน้องชายของข้า”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
มู่หลิงเอ๋อร์จับมือมู่เฟิงและกล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกันว่า “พี่หญิงจะไปกับเ้าด้วย”
“ไม่ต้องหรอกขอรับ ข้าจะไปเอง ตระกูลมู่ในสำนักศึกษาจะขาดท่านไปไม่ได้”
มู่เฟิงส่ายหน้า เนื่องจากมันเป็สถานที่ที่อันตราย เขาจะปล่อยให้มู่หลิงเอ๋อร์ต้องไปเผชิญอันตรายร่วมกับเขาได้อย่างไร
“เ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่? เ้าอย่าได้คิดจะแบกรับมันเอาไว้คนเดียวเลย พี่หญิงของเ้าเป็ถึงยอดฝีมือที่มีรายชื่อติดอันดับของสำนักศึกษาเชียวนะ แน่นอนว่าข้าย่อมต้องแข็งแกร่งมาก”
มู่หลิงเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มของนางทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน นางยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของมู่เฟิงอย่างทะนุถนอม
“พี่หญิง…”
“หลิงเอ๋อร์ เ้าจะไปไม่ได้”
แต่ทันใดนั้นหมอโอสถเหลิ่งก็กล่าวขัดขึ้น
“ด้วยเหตุอันใดหรือเ้าคะ?”
มู่หลิงเอ๋อร์ประหลาดใจ
“เพราะร่างกายของเ้า สถานที่แห่งนั้นมีกลิ่นอายของภูตผีิญญาเข้มข้นเกินไป หากเ้าไปที่นั่นเ้าจะไม่สามารถระงับพลังนั้นเอาไว้ได้”
หมอโอสถเหลิ่งอธิบาย
“ข้า…”
เมื่อได้ยินคำพูดเ่าั้มู่หลิงเอ๋อร์ก็เงียบไป สีหน้าของนางดูไม่ค่อยดีขึ้นมาทันที
แม้ว่ามู่เฟิงจะไม่เข้าใจว่าทั้งสองคนกำลังพูดถึงเื่อะไร แต่เขาก็ไม่้าให้มู่หลิงเอ๋อร์ต้องไปเผชิญอันตรายกับเขาอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่หญิง ข้าบอกท่านแล้ว ท่านเพียงสงบใจรอข้าอยู่ที่นี่ก็พอ น้องชายของท่านไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น เขาเป็ถึงอันดับแรกในการประเมินบัณฑิตใหม่ในรุ่นนี้เชียวนะ”
“เฮ้อ...เอาเถอะ เช่นนั้นพี่หญิงจะรอเ้ากลับมาอย่างปลอดภัย”
มู่หลิงเอ๋อร์ถอนหายใจ
มู่เฟิงเอื้อมมือออกไปกอดหญิงสาวก่อนจะตบหลังของนางอย่างปลอบโยน พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่หญิงวางใจเถอะ ข้าจะไม่เป็อะไร ถึงอย่างไรในอนาคตข้าก็ยังต้องอยู่ดูท่านแต่งงาน”
“หึ เ้าเด็กบ้า คิดอยากจะให้พี่สาวไปจากเ้าแล้วหรือ”
มู่หลิงเอ๋อร์ดุมู่เฟิงพร้อมกับดึงหูของเขา
“ข้าเองก็อยากจะอยู่กับพี่หญิงตลอดไป แต่ท่านก็ต้องไล่ตามความสุขของตัวเองเหมือนกันไม่ใช่รึ”
“เอาเถอะ อย่าได้พูดเื่เป็ตายหรือแยกจากกันอีกเลย จริงสิ ข้าจำได้ว่าทางสำนักศึกษามีภารกิจสำรวจวังโบราณจิ่วซาน ดูเหมือนว่าจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ เ้าสามารถเข้าร่วมการสำรวจในครั้งนี้ได้ ดูเหมือนครั้งนี้อินทรีดำหลังค่อมจะไปส่งผู้ทำภารกิจ คาดว่าใช้เวลาครึ่งวันก็น่าจะไปถึงวังโบราณจิ่วซานแล้ว”
มู่หลิงเอ๋อร์ยอมปล่อยมู่เฟิงในที่สุด หลังจากนึกเื่นี้ขึ้นมาได้
เมื่อได้ยินดังนั้นมู่เฟิงก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปดูเดี๋ยวนี้”
กล่าวจบ มู่เฟิงก็ออกจากเรือนโอสถมุ่งหน้าไปยังวิหารรับภารกิจทันที
ใช้เวลาไม่นาน มู่เฟิงก็มาถึงวิหารรับภารกิจ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ยังคงมีผู้คนเข้าออกอย่างคึกครื้นเช่นเคย มีทั้งบัณฑิตหน้าเก่าและบัณฑิตหน้าใหม่
หลายคนในที่แห่งนี้สามารถจดจำมู่เฟิงได้ พวกเขามีสีหน้าประหลาดใจและพากันกระซิบกระซาบกับเหล่าสหาย
“นี่ นั่นมู่เฟิงผู้นั้นไม่ใช่หรือ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อตอนเที่ยงเขาเพิ่งไปก่อความวุ่นวายในเขตของศิษย์สายในมา อีกทั้งเขายังสามารถเอาชนะหลิวเซิ่งคนของจวนเป่ยอ๋องได้ด้วย”
“เป็มู่เฟิงนี่นา ข้าได้ยินมาว่าเขาถึงกับท้าสู้แบบเป็ตายกับหนานหลิงด้วย เป็เขาที่รนหาเื่ตายแล้วจริงๆ”
มีบัณฑิตเก่าบางคนที่อยู่ร่วมเหตุกาณณ์ในตอนเที่ยงวันของวันนี้ พวกเขาต่างก็มองมู่เฟิงและพูดจาเสียดสีอีกฝ่ายอย่างไม่คิดจะปิดบัง
มู่เฟิงไม่สนใจบทสนทนาของคนเ่าั้ เขาเดินตรงไปยังโถงรับภารกิจ และมุ่งไปที่โต๊ะของภารกิจชั้นหนึ่งทันที เนื่องจากวังโบราณจิ่วซานนั้นอันตรายเป็อย่างมาก จึงไม่จำเป็ต้องเสียงเวลาคิดก็ทราบได้ว่ามันจะต้องเป็ภารกิจชั้นหนึ่งอย่างแน่นอน
บริเวณนั้นมีบัณฑิตสายในจำนวนไม่น้อยกำลังมองหาภารกิจชั้นหนึ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง และในแถวบนสุดของภารกิจชั้นหนึ่งก็คือการเดินทางไปสำรวจวังโบราณจิ่วซาน
ภารกิจนี้จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมเพียงยี่สิบคนเท่านั้น หลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้ว แต่ละคนจะได้รับรางวัลสามหมื่นคะแนน โดยจะต้องทำการสำรวจชั้นที่สามที่จะนำไปสู่ทางเข้าของชั้นที่สี่
แม้ว่าวังโบราณจิ่วซานจะถูกพบว่ามีทั้งหมดสี่ชั้น แต่ก็ยังไม่มีใครค้นพบทางเข้าไปยังชั้นที่สี่เลย
“เฮ้ เป็เ้านี่เอง ว่าอย่างไร เ้า้าจะรับภารกิจชั้นหนึ่งอีกหรือ?”
ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามสามารถจดจำมู่เฟิงได้ในทันที
“ถูกต้องแล้วขอรับ ศิษย์พี่ ข้า้าทำภารกิจนี้”
มู่เฟิงชี้นิ้วไปยังภารกิจสำรวจวังโบราณจิ่วซาน
หลังจากได้ยินดังนั้น ผู้ดูแลในชุดคลุมสีคราม รวมถึงผู้คนโดยรอบต่างก็ตื่นตะลึงทันที พวกเขามองไปทางมู่เฟิงอย่างเหลือเชื่อ
“เ้าหนุ่ม เ้า้าจะทำภารกิจนี้อย่างนั้นหรือ?”
ผู้ดูแลในชุดคลุมเอ่ยถามด้วยความใ
“ทำไม มีปัญหาอะไรหรือขอรับ?”
มู่เฟิงเอ่ยถามด้วยความฉงน
“ไม่ได้มีปัญหาอันใดหรอก เพียงแต่จำนวนคนในภารกิจนี้เต็มแล้ว เวลานี้ศิษย์พี่ข่งย่วนกำลังจัดการแข่งขันสำหรับผู้ที่้าจะเข้าร่วม หากว่าเ้าเองก็อยากเข้าร่วม เช่นนั้นก็ไปประลองและผ่านการคัดเลือกให้ได้เถอะ”