พยับเมฆตั้งเค้าดำทะมึนฟ้าคำรนครืนครั่น สายอสุนีบาตประดุจคมเลื่อยแล่นแปลบปลาบสว่างวาบอยู่เหนือตำหนักเย็นอันเงียบเหงาวังเวงที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
“ปล่อยข้าออกไปนะจ้งเอ๋อร์...จ้งเอ๋อร์ของข้า”เหยาโม่ซินทุบประตูไม้สีชาดของตำหนักเย็นอย่างบ้าคลั่งอาภรณ์สีขาวซีดอาบย้อมไปด้วยโลหิตเกรอะกรังหลังการคลอดบุตรเพียงชั่วข้ามคืนร่างกายอันอ่อนแอก็ทนฝืนต่อไปไม่ไหวทรุดฮวบลงมากองที่พื้นปลายนิ้วมือเรียวลากผ่านบานประตูไม้ฝากคราบเืสิบสายทิ้งไว้เป็ทางยาว
“ข้ากระทำความผิดอันใด?ผิดอันใดกันหรือ เย่หงอี้ ไฉนท่านจึงปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงนี้”เหยาโม่ซินแผดเสียงร่ำไห้ด้วยความโศกศัลย์ น้ำตาไหล พรั่งพรูจนเปียกชุ่มปกเสื้อความหนาวเหน็บแทรกลึกถึงขั้วหัวใจ
เมื่อคืนวานนางยังคงสถานะหวงโฮ่วผู้สูงศักดิ์แห่งต้าฉู่ความเ็ปจากการคลอดบุตรยังแจ่มชัดในห้วงคะนึง การได้โอบกอดบุตรชายตัวน้อยสุดแสนจะน่ารักไว้ในอ้อมแขนนำความสุขเปี่ยมล้นมาให้จนลืมสิ้นว่าความทุกข์คือสิ่งใด ทว่าความสุขนั้นแสนสั้นยิ่งขณะที่นางยังไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็ถูกองครักษ์กองหนึ่งบุกเข้ามาจับกุมถึงพระแท่นบรรทมลากไปทิ้งไว้ที่ตำหนักเย็นอย่างไม่แยกแยะถูกผิดดีชั่ว ตราบถึงเพลานี้เหยาโม่ซินยังรู้สึกว่านี่เป็เพียงแค่ความฝัน
เสียงโซ่เหล็กลั่นครืดคราดประตูตำหนักถูกเปิดกว้าง สายลมคลั่งหอบม้วนใบไม้แห้งกรูเข้ามาด้านในความหนาวเหน็บพุ่งเข้าปะทะร่างอย่างเฉียบพลันทำให้เหยาโม่ซินขดตัวงอพร้อมหลับตาลงด้วยสัญชาตญาณ
“พี่หญิง...”น้ำเสียงเจือไปด้วยความหวาดหวั่นดังขึ้น ขณะที่เหยาโม่ซินลืมตา ก็เห็นภาพลี่กุ้ยเฟยอุ้มทารกน้อยอยู่ในอ้อมอกปรากฏอยู่เบื้องหน้า
“ซู่หลวน...รีบส่งจ้งเอ๋อร์มาให้ข้าเร็ว”เหยาโม่ซินดีใจจนแทบคลั่ง เอื้อมมือออกไปเพื่อขอทารกน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็น้องสาวแต่กลับถูกขวางกั้นด้วยกระดาษแผ่นหนึ่ง
“ลงนามเสีย!”น้ำเสียงเ็าดังขึ้นภายในตำหนักเย็นอันเงียบสงัดทันใดนั้นเหยาโม่ซินจึงเหลือบขึ้นมองจนประสานกับดวงตาสีนิลคมกล้าคู่นั้นเข้าพอดียามนี้เหยาซู่หลวนได้อุ้มทารกน้อยถอยไปยืนอยู่ด้านข้าง
ความประหลาดใจสายหนึ่งวาบผ่านก้นบึ้งดวงตา“หงอี้...นะ...นี่มันคือสิ่งใด?”
เหยาโม่ซินมองบุรุษที่สวมฉลองพระองค์ปักลายัด้วยเส้นไหมทองคำเหลืองอร่ามไปทั่วร่างด้วยแววตาฉงนหัวใจดั่งถูกแช่แข็งอย่างเฉียบพลัน อยู่กินฉันสามีภรรยามาเจ็ดปีเขาและนางต่างถ้อยทีถ้อยอาศัย เคารพให้เกียรติซึ่งกันและกันสายตาเ็าแบบนี้นางไม่เคยได้รับจากเขามาก่อน
“ดูเอาเองแล้วกัน!”เย่หงอี้เอ่ยปากเหยียดเยาะ ไม่ปิดบังซ่อนเร้นความเกลียดชังในแววตาแม้แต่น้อยเหยาโม่ซินน้ำตาร่วงเผาะ นิ้วทั้งสิบสั่นระริกหยิบกระดาษเซวียนจื่อขึ้นมา”หม่อมฉันเหยาโม่ซินบกพร่องในศีลธรรมจรรยาไม่รักนวลสงวนตัว ลอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับซู่ชินหวาง [1]จนตั้งครรภ์...”นี่มันคำให้การใส่ความว่าตนเองคบชู้สู่ชายชัด ๆ นางจะลงนามรับสารภาพได้อย่างไรเล่าหยาดน้ำตาแห่งความระทมร่วงรินอยู่เงียบ ๆ หยดแล้วหยดเล่า จนสุดท้ายก็พรั่งพรูพังทลายประดุจสายฝนพรำ
“หม่อมฉันกับซู่หวางเป็ผู้บริสุทธิ์ไยฝ่าาจึงต้องปรักปรำกันด้วย?” มือที่ถือกระดาษสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุมมองบุรุษซึ่งครองรักกันมากว่าเจ็ดปีที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อหยาดน้ำตายังคงอาบอยู่บนดวงหน้าพริ้มเพรา
“เ้ายังคู่ควรเอ่ยถึงความบริสุทธิ์อีกรึ!แล้วเื่งามหน้าที่พวกเ้าทำร่วมกันในเคหาสน์คลื่นวารีคืนนั้นเล่า”เย่หงอี้มองเหยียดลงไปใช้วาจาต่างคมมีดกรีดลงมากลางกระหม่อมของเหยาโม่ซินอย่างเ็าไร้หัวใจ
“ทรงนำพากับเื่นี้?คืนนั้นเพราะโม่ซินได้บัญชาลับจากฝ่าา ถึงไปขอร้องซู่หวางให้นำทัพออกไปช่วยพระองค์ที่กำลังตกอยู่ในอันตรายเงื่อนไขของเขามีเพียงให้โม่ซินรั้งอยู่คุยกันเป็การส่วนตัวเท่านั้นพวกเราหาได้ทำเื่อันใดที่ผิดต่อฝ่าา...”
เสียงลมวืดผ่านข้างหูตามมาด้วยเสียงกระทบแผดก้องโดยไม่รอให้วาจาจบประโยค เพียะ! โลหิตไหลย้อยกบมุมปากของเหยาโม่ซินรอยแดงเป็ปื้นของนิ้วมือทั้งห้าปรากฏบนดวงหน้าอย่างเด่นชัด
“หุบปาก!เ้ากำลังว่าเจิ้นเป็สวะไร้ประโยชน์อับจนถึงขั้นต้องส่งสตรีของตนเองไปขึ้นเตียงบุรุษอื่นเพื่อแลกกับการขอให้ช่วยชีวิตกระนั้นรึ?” นี่คือหนามตำใจเย่หงอี้มาโดยตลอดทุกคราที่เอ่ยถึงล้วนทำให้เขารู้สึกเสียหน้า ขณะที่คำรามเสียงต่ำใส่ด้วยความเกลียดชังก็กระชากข้อมือของเหยาโม่ซินขึ้นมาด้วยกำลังรุนแรงถึงขั้นได้ยินเสียงลั่นของกระดูกที่แตกหักความเ็ปสุดหัวใจราวกับคลื่นคลั่งถั่งโถมเข้ามากระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่ลดละ
“อ๊า...”เมื่อความเจ็บทรมานรุนแรงถึงขีดสุด ริมฝีปากของเหยาโม่ซินสั่นระริก ฟันกระทบกันดังกึกๆ เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก
“ข้าจะให้โอกาสเ้าอีกครั้งลงนามรับสารภาพซะ” เย่หงอี้สะบัดแขนสุดแรงร่างของเหยาโม่ซินราวกับผีเสื้อปีกขาดเซถลาไปตามแรงเหวี่ยงจนล้มลงไปตรงหน้ากระดาษเซวียนจื่อแผ่นนั้น
“หม่อมฉันไม่ได้ทำและมิอาจปรักปรำซู่หวางอย่างอยุติธรรม...” เหยาโม่ซินหน้าเผือดสี คิ้วเรียวขมวดย่นทว่าทุกคำทุกประโยคล้วนหนักแน่นทรงพลัง
“หากไม่มีเื่อย่างว่าอาศัยแค่วาจาไม่กี่ประโยคของเ้า เขาจะมีไมตรียอมยกทัพออกไปช่วยเจิ้นเชียวหรือใช่ว่าเขาไม่รู้เสียเมื่อไร ว่าหากเจิ้นตายไป ตนเองย่อมสบช่องเข้าตำแหน่งจักรพรรดิได้ทันที!”เย่หงอี้แค่นเสียงลอดไรฟัน ขบกรามกรอดอย่างเข่นเขี้ยว
“เจ็ดปีในฐานะสามีภรรยาพวกเราร่วมฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาท่ามกลางสมรภูมิอันเดือดพล่านห้าัแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ผ่านความโกลาหลวุ่นวายมาด้วยกันไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรหรือว่าแม้แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจส่วนนี้ ท่านยังไม่มีให้กับโม่ซิน?”ั์ตาโศกของหญิงสาวช้อนขึ้นมอง หวังจะได้รับความอ่อนโยนสักนิดทว่าสิ่งที่ได้รับกลับเป็เพียงความเ็าที่ฉาบเคลือบดวงตาสีนิลของสามี
“เจ็ดปีในฐานะสามีภรรยาเจิ้นทนกับเ้ามาเกินพอแล้ว ลงนามในคำรับสารภาพเสีย แล้วเจิ้นจะยอมให้ศพของเ้าอยู่ในสภาพครบถ้วนสมบูรณ์”น้ำเสียงราวปิศาจจากขุมนรกของเย่หงอี้ดังก้องอยู่ข้างหูหัวใจของเหยาโม่ซินแหลกสลายที่แท้การที่นางทุ่มทั้งชีวิตเพื่อปกป้องกลับทำให้เขาอึดอัดคับแค้นใจถึงเพียงนี้?
“การตายของโม่ซินอาจไม่มีค่าพอให้อาลัยแต่ซู่หวางทั้งออกศึกาช่วยแผ้วถางอุปสรรคปัญหามากมายเพื่อประคับประคองท่านขึ้นสู่บัลลังก์ัไยท่านกลับใช้อุบายต่ำช้าใส่ความเขา...” ขณะวาจายังไม่ทันสิ้นสุดเหยาโม่ซินก็เห็นฝ่าเท้าของเย่หงอี้กระทืบลงมาที่หน้าอกของตนเอง
เหยาโม่ซินล้มศีรษะฟาดพื้นกลิ่นเค็มคาวสวนพุ่งขึ้นมาจากกลางอก ผ่านลำคออันร้อนผ่าวกระอักพ่นออกมาเป็โลหิตสาดกระจาย “อึก พรวด...”
“นังหญิงสารเลว เจิ้นเป็กษัตริย์เขาเป็ขุนนาง หากเจิ้นจะเอาชีวิตเสียอย่าง จำเป็ต้องใช้เล่ห์กลด้วยหรือ?”เย่หงอี้โกรธจัด แผดเสียงตวาด ยิ่งเขาแสดงความก้าวร้าวออกมามากเท่าไรเหยาโม่ซินก็รู้ได้ว่าเขากำลังรู้สึกร้อนตัวมากเท่านั้น
“ฝ่าาโปรดระงับโทสะไยไม่ให้หม่อมฉันลองเกลี้ยกล่อมพี่สาวดูก่อนเล่า...” บัดนี้ลี่กุ้ยเฟยซึ่งสงวนวาจามาั้แ่ต้นสาวเท้าเข้ามาอยู่เบื้องหน้าของเย่หงอี้อย่างรวดเร็วก่อนเอ่ยวาจาด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ไม่มีคำตอบใดออกจากปากมีเพียงดวงตาเ็าที่สาดประกายความเกลียดชังผ่านมาที่เหยาโม่ซินก่อนก้าวออกไปยืนด้านข้าง
“พี่หญิง...เื่มาถึงขั้นนี้ หากท่านไม่เห็นแก่ตนเอง ก็ต้องใคร่ครวญถึงจ้งเอ๋อร์บ้าง”เหยาซู่หลวนค่อย ๆ คุกเข่าลงข้างกายเหยาโม่ซินทว่าน้ำเสียงอันนุ่มนวลกลับแฝงไปด้วยความเย็นะเือย่างไม่อาจสะกดกลั้น
“ขอข้ากอดจ้งเอ๋อร์หน่อยจ้งเอ๋อร์ของข้า” พอเห็นทารกน้อยร้องอ้อแอ้อยู่ในอ้อมอกของเหยาซู่หลวนน้ำตาของเหยาโม่ซินก็ไหลพรั่งพรู ยื่นสองมือออกไปหาอย่างอดใจไม่ไหว
“พี่หญิงเฉลียวฉลาดมาทั้งชีวิตไฉนมาถึงเพลานี้กลับเลอะเลือนได้เล่า ลองตรองดูเพราะเหตุใดฝ่าาถึงให้เปิ่นกงอุ้มจ้งเอ๋อร์มาที่นี่ท่านไม่ยอมลงนามก็หามีผู้ใดบังคับได้ ท่านยินดีตายเพื่อปกป้องชื่อเสียงของซู่หวางแต่จ้งเอ๋อร์เล่าจะทำอย่างไร หากไม่ทำตามพระประสงค์คิดว่าฝ่าาจะยังทรงดีต่อจ้งเอ๋อร์อีกกระนั้นหรือ?”เหยาซู่หลวนขยับริมฝีปากกระซิบข้างหูของเหยาโม่ซินทว่าระหว่างนั้นกลับใช้นิ้วลอบหยิกทารกในอ้อมแขนอย่างรุนแรง
“อุแว้...อุแว้...”ทันใดนั้นทารกน้อยก็แผดเสียงร้องไห้จ้า น้ำเสียงนั้นประหนึ่งคมมีดนับหมื่นพันปักเข้ามากลางใจของเหยาโม่ซินเ็ปจนแทบขาดใจ
“ไม่ร้องจ้งเอ๋อร์ไม่ร้อง”น้ำตาของเหยาโม่ซินหลั่งออกมาไม่หยุดประหนึ่งไข่มุกขาดออกจากเส้น
“พี่หญิงนี่ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ ? ยอมลงนามเถิดเพคะ” ขณะอุ้มทารกในอ้อมอก นิ้วมือของเหยาซู่หลวนกลับออกแรงหยิกหนักขึ้นจนเด็กน้อยแผดเสียงร้องไห้จ้าด้วยความเ็ปบาดลึกลงไปในความรู้สึกของผู้เป็มารดา
“อุแว้....”
“จ้งเอ๋อร์....ข้ายอมข้ายอมแล้ว” เหยาโม่ซินยอมจำนนต่อเสียงร้องไห้ของบุตรชายตัวน้อยนิ้วมือที่เกรอะกรังไปด้วยโลหิตสั่นระริก ประทับลงไปบนกระดาษเซวียนจื่อแผ่นนั้นด้วยความจนใจ
“เย่หงอี้โม่ซินขอร้อง โปรดเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาช่วยดูแลจ้งเอ๋อร์อย่างดี ส่วนซู่หวางแม้ว่าเขาจะเป็บริวารที่มีอำนาจบารมีสูงข่มนายแต่ไม่เคยมีใจคิดคดทรยศ แม้ฝ่าาจะไม่ทรงเห็นแก่แขนขา [2]แต่โปรดตระหนักถึงความเป็ ‘กษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชา’ ละเว้นเขาสักชีวิตเถิด...”เหยาโม่ซินช้อนตาขึ้นมองเย่หงอี้ ทุกถ้อยคำทุกประโยคล้วนกลั่นมาจากความโศกาอาดูรสุดหัวใจ ประดุจนกตู้เจวียนครวญคร่ำเป็โลหิต[3]
เย่หงอี้ซึ่งยืนหันหลังให้หน้านิ่วคิ้วขมวดนี่คือจุดที่เขาชิงชังเหยาโม่ซินเป็ที่สุด ยามอยู่ต่อหน้าสตรีผู้นี้ตนเองเหมือนกลายเป็ไอ้กระจอกที่ไม่อาจมีความลับได้เลยเพราะถูกนางรู้ทันไปเสียทุกกระบวนความคิด
“พี่หญิง...”เหยาซู่หลวนเอ่ยปากเร่ง จงใจส่งสายตาไปที่ทารกในอ้อมอก
เหยาโม่ซินคลี่กระดาษบนพื้นใช้ปลายนิ้วที่เปื้อนโลหิตเขียนตัวอักษรลงนามเหยาโม่ซินลงไป
จวินชิง...ชาตินี้โม่ซินติดหนี้ท่านคงต้องชดใช้ให้ชาติหน้าแล้ว
“ฝ่าาพระพี่นางลงนามแล้วเพคะ” เหยาซู่หลวนเอ่ยปากออกมาอย่างอดใจไม่ไหวน้ำเสียงเจือไปด้วยความตื่นเต้นยินดีอย่างปิดไม่มิดเย่หงอี้ได้ยินแล้วก็หมุนตัวกลับมา ย่างเท้ามายืนอยู่ข้างเหยาซู่หลวนนางส่งเด็กทารกให้เขาอย่างรู้งานหลังจากนั้นก็ก้มลงไปเก็บกระดาษที่เขียนคำรับสารภาพขึ้นมาเก็บในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
“โม่ซินสนองตอบตามพระประสงค์ของฝ่าาแล้วได้โปรดประทานอนุญาตให้โม่ซินได้อุ้มจ้งเอ๋อร์สักครั้งได้หรือไม่...”เมื่อหัวใจตายด้านไปแล้ว เหยาโม่ซินไม่อยากเหลือบแลเย่หงอี้แม้แต่แวบเดียวทว่าไม่อาจตัดอาลัยจากบุตรชายได้ลง
ยามเห็นความปรารถนาจากแววตาที่ช้อนขึ้นมองทารกน้อยของเหยาโม่ซินประกายเยียบเย็นจากก้นบึ้งดวงตาของเย่หงอี้พลันสว่างวาบ หงายมือขึ้นในฉับพลันก่อนทุ่มเด็กทารกในอ้อมแขนลงพื้นอย่างแรง
“อย่า......”เหยาโม่ซินดวงตาเหลือกกว้าง พุ่งตัวเข้าไปด้วยความตระหนกสุดชีวิตทว่ายังคงช้าไปก้าวหนึ่งอยู่ดี ดวงหน้าของทารกน้อยในห่อผ้าขาวซีดไร้สีเื โลหิตสีแดงฉานค่อยๆ ไหลออกมาจากมุมปาก หลังศีรษะชุ่มโชกไปด้วยโลหิตกองใหญ่สองมือของเหยาโม่ซินโอบอุ้มทารกน้อยไว้แนบอก กรีดร้องฟูมฟายอย่างเ็ปทรมานแสนสาหัส
“จ้งเอ๋อร์...จ้งเอ๋อร์ของแม่...”
เหยาซู่หลวนที่อยู่ด้านข้างตื่นตะลึงไปชั่วขณะทว่าเพียงชั่วพริบตามุมปากพลันกระดกยิ้มอย่างสาแก่ใจ เหยาโม่ซินนี่คือผลตอบแทนที่เ้าสมควรได้รับ
“เย่หงอี้เ้ามันสัตว์เดรัจฉาน! เขาเป็โอรสของเ้าแท้ ๆ ไฉนถึงทำได้ลงคอใจของเ้ามันทำด้วยอะไร!” เหยาโม่ซินหลั่งน้ำตาอย่างบ้าคลั่ง ถลึงดวงเนตรแดงก่ำใส่เย่หงอี้อย่างกราดเกรี้ยว
“เ้าออกไปก่อน”เย่หงอี้ปรายตาไปที่เหยาซู่หลวนก่อนเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
เหยาซู่หลวนถอยออกไปจากตำหนักเย็นตามบัญชาก่อนปิดประตูตำหนักลง ยามมองลอดออกไปตรงช่องว่างระหว่างบานประตูมุมปากของเหยาซู่หลวนกระดกยิ้มเยาะหยัน เหยาโม่ซิน...ครานี้เ้าไม่มีทางฟื้นคืนมาได้อีกแล้วชั่วนิรันดร์
“โอรสของเจิ้น?เมื่อเ้าลงนามในคำรับสารภาพไปแล้วเด็กคนนี้ย่อมเป็เืชั่วของเ้ากับเย่จวินชิง!” ก้นบึ้งดวงตาสีนิลพลันขุ่นเข้มย่างเท้าเข้าหาเหยาโม่ซินทีละก้าว ทีละก้าวทั่วร่างกรุ่นกำจายไปด้วยรังสีพิฆาตอันน่าสะพรึงกลัว
“แท้จริงแล้วปัญหามันอยู่ที่ตัวเ้าเองต่างหากที่เอาแต่อิจฉาริษยาเย่จวินชิงจนทนไม่ได้ แต่เด็กคนนี้คือเืเนื้อเชื้อไขแท้ ๆ เชื่อว่าเ้าย่อมกระจ่างกว่าผู้ใดแต่ทำไมยังทำได้ลงคอ เขาเป็ลูกของพวกเรานะ”
“เพียะ!”ขณะที่เย่หงอี้เข้ามาใกล้ เหยาโม่ซินก็หงายมือสะบัดเข้าใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มแรงด้วยความคับแค้นและเกลียดชังทั้งหมดที่มีต่อเขา
เย่หงอี้ชะงักงันไปชั่วขณะก่อนจะแลบลิ้นเลียคราบโลหิตที่กบมุมปากถลึงตาใส่เหยาโม่ซินอย่างเกรี้ยวกราดประดุจสัตว์ร้ายกระหายเื
“เจิ้นไม่รู้สึกแปลกใจกับตบฉาดนี้สักเท่าไรเพราะั้แ่ไหนแต่ไรมาเ้าไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตาอยู่แล้วไม่ว่าจะในศึกา หรืออยู่ท่ามกลางการขับเคี่ยว่ชิงบัลลังก์ เ้าก็มักจะคิดได้ก่อนเจิ้นหนึ่งก้าวเสมอสำหรับเ้าแล้ว เจิ้นมันก็แค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งที่เป็เหมือนสวะไร้ประโยชน์ทั้งบัลลังก์และใต้หล้าแห่งนี้ล้วนต้องพึ่งพาสตรีเช่นเ้าถึงได้มา เจิ้นเกลียดเ้ายิ่งยามที่ทำตัวอวดฉลาด ก็ยิ่งเกลียดจนเข้ากระดูกดำ”นิ้วมือของเย่หงอี้บีบรัดลำคอขาวซีดราวกับกรงเหล็ก ดวงตาสีหมึกจมดิ่งสู่ความมืด
“เื่เ่าั้เป็แค่ข่าวลือเหลวไหล”เหยาโม่ซินรู้สึกอึดอัดทรมานเหมือนน้ำทะเลท่วมอยู่ในโพรงอกทว่าสองมือของนางยังคงโอบกอดทารกน้อยไว้แน่น แม้ว่าเขาจะสิ้นลมหายใจไปแล้วก็ตาม
“ที่คนเ่าั้พูดมาล้วนเป็ความจริงทั้งสิ้นถ้าไม่เพราะเ้า เจิ้นคงไม่ได้นั่งบัลลังก์ัเช่นทุกวันนี้หรอกและหากไม่มีเ้าคอยสกัดเย่จวินชิงอยู่ เขาหรือจะเต็มใจมอบความจงรักภักดีให้?ยามที่พี่น้องแย่งชิงบัลลังก์ ราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย กระทั่งขณะที่เจิ้นหมดอาลัยตายอยากกับทุกสิ่งแต่เ้ากลับสามารถคิดแผนการตอบโต้ได้เสมอ นี่คือความจริง!”กำลังมือของเย่หงอี้เค้นหนักขึ้น หนักขึ้นเรื่อย ๆ เปลวไฟในดวงตาลุกโชติ่พร้อมจะแผดเผาสตรีที่อยู่ตรงหน้าดับดิ้นสิ้นชีวาได้ทุกเมื่อ
“ด้วยเหตุนี้...จากบุญคุณยิ่งใหญ่เลยกลับกลายเป็ความแค้นจนในที่สุดก็ยอมรับไม่ได้? แต่สิ่งที่ข้าทำไปทั้งหมดก็เพื่อเ้าทั้งนั้นหากไม่มีข้า เ้าจะมีวันนี้หรือ!” ทำนบน้ำตาของเหยาโม่ซินพังทลายพยายามเค้นเสียงอันแหบพร่าจากลำคออย่างสุดกำลัง
“เพียะ!”ดวงตาทั้งสองข้างของเย่หงอี้แดงก่ำ สะบัดมือตบหน้าเหยาโม่ซินสุดแรงจนร่างของนางกระเด็นไปไกลแม้แต่ร่างของทารกในอ้อมแขนยังหลุดจากมือกลิ้งตกลงไปด้านข้าง
“จ้งเอ๋อร์!”เหยาโม่ซินข่มความเ็ปที่แล่นพล่านไปทั่วร่างพุ่งตัวเข้าหาทารกน้อยทันที หากแต่ช้ากว่าเย่หงอี้ก้าวหนึ่ง
“ไม่ใช่แค่เ้าคนเดียวหรอกแม้แต่เด็กคนนี้เจิ้นก็ไม่คิดจะทน มันจะเป็ลูกชู้หรือไม่ หาได้สำคัญสำคัญที่มารดาผู้ให้กำเนิดคือเ้าต่างหาก!” เย่หงอี้ตะคอกใส่อย่างเกรี้ยวกราด ก่อนเตะซากทารกลอยวืดไปชนกำแพงอย่างแรงจนกะโหลกศีรษะแตกโพละ สมองทะลักอย่างน่ากลัว
“กรี๊ด...จ้งเอ๋อร์!เย่หงอี้ เ้ามันสัตว์นรก เลวยิ่งกว่าเดรัจฉานหากข้ามีโอกาสกลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง จะขอฉีกเ้าร่างเ้าให้แหลกเป็หมื่นชิ้นเ้าต้องแหลกเป็หมื่นชิ้น!”เหยาโม่ซินกระโจนเข้าไปคว้าร่างของลูกน้อยอย่างบ้าคลั่งสติสัมปชัญญะถูกทำลายสิ้นแล้วในชั่วเค่อนี้
“ได้สิ! เจิ้นจะรอเพียงแต่ชาตินี้ อย่าหวังว่าจะได้ตายอย่างสงบสุข เจิ้นจะให้เ้าอยู่กับซากศพเย็นชืดของเืชั่วก้อนนี้แล้วตายไปพร้อม ๆ กับมันในตำหนักเย็น”เมื่อได้เห็นเหยาโม่ซินทุรนทุรายเข้าไปกอดทารกที่จมกองเืดั่งคนเสียสติความสุขเปี่ยมล้นพลันทอประกายจากก้นบึ้งดวงตาของเย่หงอี้
...
เชิงอรรถ
[1] ชินหวาง เป็บรรดาศักดิ์ของเชื้อพระวงศ์ชายลำดับหนึ่งโดยมากแล้วมักเป็พระเชษฐาพระอนุชา หรือพระโอรสในองค์จักรพรรดิ นามซู่ชินหวาง หมายถึง หวางผู้เคร่งขรึมน่ายำเกรง
[2] แขนขาเป็ความเปรียบหมายถึงพี่น้อง
[3]นกตู้เจวียนครวญคร่ำเป็โลหิต เป็การบรรยายถึงความโศกเศร้าสุดพรรณนามีที่มาจากพฤติกรรมของนกตู้เจวียน (นกคัคคู)ที่มักจะร้องไม่หยุดใน่ค่ำคืนของฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อนเนื่องจากเยื่อบุผิวในช่องปากของมันเป็สีแดงจึงทำให้คนเข้าใจไปว่ามันร้องจนหลั่งเืออกมากอปรกับเสียงร้องที่ฟังดูแล้วชวนให้รู้สึกสลดหดหู่จึงนำมาเป็ความเปรียบถึงการคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้าเสียใจ