“ฮูหยินใหญ่เวินตายไป ข้าล้มหมอนนอนเสื่อ พวกคนรับใช้เห็นว่าตระกูลเวินตกต่ำ จึงฉกฉวยของมีค่าหนีไปหมดแล้ว ่นี้ก็มีเพียงเวินเยียนที่คอยดูแลข้า มิเช่นนั้นข้าก็คงไม่มีชีวิตมาได้ถึงวันนี้เช่นกัน”
เมื่อถึงจุดที่ะเือารมณ์ น้ำตาสองสายก็ไหลออกมาจากดวงตาของเวินอวิ๋นโป เวินเยียนเห็นเช่นนั้นก็ยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตา
“ท่านยาย มิใช่ว่าข้าไม่ไปรับศพท่านแม่นะเ้าคะ เพียงแต่ข้าออกห่างจากท่านพ่อไปมิได้ พวกคนรับใช้มิฟังคำสั่งของข้า ข้าเองก็ทำอันใดมิได้เช่นกัน ่สองสามวันนี้ข้ามีแต่น้ำตาอาบแก้ม ข้าได้เผากระดาษเงินกระดาษทองให้ท่านแม่ทุกคืน ภาวนาให้ท่านแม่ให้อภัยข้า”
“ท่านยาย แม้เวินเยียนจะเติบโตในตระกูลเวิน แต่ก็เคยกลับไปอาศัยที่ตระกูลโจวอยู่บ่อยครั้ง ท่านคงรู้จักข้าดี หากมิได้มีเหตุจำเป็ ข้าจะทนทิ้งท่านแม่ไว้ที่ปากทางตลาดได้เช่นไร ข้าเองก็จนปัญญาจริงๆ เ้าค่ะ ”
“หากท่านยายมิเชื่อ เช่นนั้นท่านยายจะเข้าไปดูในจวนของเราก็ได้ ว่าเวลานี้ตระกูลเวินเปลี่ยนไปเช่นไร”
เดิมทีเวินเยียนมีหน้าตาที่งดงามอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อได้เห็นนางมีสภาพน้ำตาอาบแก้ม ผู้คนก็ยิ่งพากันรู้สึกปวดใจและสงสาร
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวได้ยินที่ทั้งสองพูดมาก็เชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง แต่เมื่อได้เห็นร่างที่ตายอย่างอนาถของบุตรสาว นางจึงเดินเข้าไปในจวนตระกูลเวินด้วยสีหน้าโกรธแค้น
โดยมีกลุ่มคนที่อยากรู้อยากเห็นพากันเดินตามเข้าไปด้วย
เวินอวิ๋นโปเอาแต่คุกเข่าลงมิได้ห้ามพวกเขา
ผ่านไปสักพัก พวกเขาก็ออกมา แววตาที่ฮูหยินผู้เฒ่าโจวมองไปที่เวินเยียนนั้นอ่อนโยนลงมาก ในตอนที่เดินออกมาก็พยุงนางให้ลุกขึ้น
เมื่อเวินเยียนลุกขึ้นก็พยุงเวินอวิ๋นโปให้ลุกขึ้นด้วย สองพ่อลูกจับมือกันแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจและความรู้สึกผิด
“ท่านยาย ข้ามิได้ละทิ้งท่านแม่นะเ้าคะ” น้ำเสียงที่สะอื้นไห้ของเวินเยียนนั้นเศร้าโศกหนักหนา นางร้องไห้จนควบคุมตนเองมิได้
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวเห็นว่าผู้ที่อยู่บนพื้นก็เป็หลานสาวของตน จึงเอื้อมมือออกไปโอบนางไว้อ้อมกอด
“มิต้องร้อง หลานเอ้ย ข้ามิโทษเ้า เื่นี้เป็มารดาของเ้าเองที่ไม่ดี โทษเ้ามิได้หรอก ในเมื่อนางตายไปแล้ว เ้ากับบิดาก็ใช้ชีวิตให้ดีก็แล้วกัน ข้าจะช่วยเหลือตระกูลเวินด้วย แต่เ้าก็ต้องลำบาก...”
“ข้างในตระกูลเวินเป็เช่นไรบ้าง บอกข้าที” เมื่อคนที่เข้าไปดูในจวนกลับออกมารวมกลุ่มกับฝูงชน ก็มีคนเอ่ยถามขึ้นมา พวกเขาถูกคนที่อยากรู้อยากเห็นล้อมไว้ทันที เวินซีจึงจงใจขยับเข้าไปใกล้ๆ เพื่อแอบฟัง
“ภายในตระกูลเวินดูราวกับถูกปล้น โต๊ะเก้าอี้ล้มอยู่บนพื้น ของมีค่าเหลืออยู่นับชิ้นได้ ระหว่างทางที่พวกเราเข้าไปก็ไม่เห็นคนรับใช้คนใดเลย พันธุ์ไม้ล้ำค่าที่สวนด้านหลังก็ใกล้จะเฉาตายเพราะขาดคนดูแล เื่ที่นายท่านเวินกับคุณหนูเวินเยียนพูดเป็ความจริง”
“เขามิได้เห็นคนรับใช้แต่ข้าเห็น ข้ายังเห็นพ่อบ้านของตระกูลเวินด้วย พวกเขาสองคนแบกสัมภาระทำตัวลับๆ ล่อๆ ออกไปทางประตูหลังจวน ข้าเห็นว่าภายในเสื้อผ้าของพวกเขาแน่นตุง น่าจะหยิบข้าวของไปไม่น้อย”
“ร้านเครื่องหอมของตระกูลเวินบนถนนเส้นนี้ก็ปิดตัวลงหมดแล้ว จ่างกุ้ยก็พากันหนีไปหมด ตระกูลเวินนะตระกูลเวิน...ล้มละลายแล้วจริงๆ ครานี้”
ทุกคนส่ายหน้าอย่างสลดใจ ความคิดที่จะดูเื่สนุกก็พลันหายไป
เวินซีมองดูฝูงชนแล้วหันไปมองทั้งสามคนที่อยู่หน้าประตู พลันยิ้มอย่างเ็า
แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้เวินอวิ๋นโปและเวินเยียนเรียกคะแนนสงสารกลับมาได้ แต่ตระกูลเวินกลายเป็เช่นนี้ ก็คงยากที่จะกลับมามีอิทธิพลได้แล้ว
นับว่าสมควรแล้วล่ะ
“ไป กลับกันเถิด” เวินซีหันไปมองคนที่อยู่ข้างกาย
ไม่สนใจดูภาพต่อไปที่คงจะเป็เวินเยียนออกมาร่ำร้องขอโทษขอโพยต่อศพของฮูหยินใหญ่เวิน
จ้าวต้านพยักหน้า พลันแหวกทางให้นางเดินออกจากฝูงชน แต่เมื่อก้าวไปได้เพียงสองก้าว ผู้คนก็พากันส่งเสียงดังและดูวุ่นวายขึ้นอีกครา ทั้งสองจึงหยุดเดินด้วยความสงสัย
“พวกเขามาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน?”
“หรือว่าจะรู้จักกับฮูหยินใหญ่เวิน มาเคารพศพของนางหรือ?”
“ฮูหยินซ่งกับโจวอวี่ชางมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน น่าจะเป็เพราะได้รับข่าวจึงมาปลอบโยนพวกเขากระมัง!”
......
ขณะนั้นฝูงชนกำลังเคลื่อนตัว เวินซีถูกคนจำนวนมากพาให้เดินกลับไปรวมกลุ่มอีกครั้ง จากนั้นก็เห็นว่าที่เบื้องหน้ามีทางเดินเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น
ฮูหยินซ่งเดินนำคนกลุ่มหนึ่งผ่านไปด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ทันได้สังเกตเห็นเวินซี
เวินซีเหลือบมองดูคนที่เดินตามหลัง แววตาก็แฝงไปด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
คนเหล่านี้ล้วนมาจากเมืองหลวง ทั้งยังเคยได้เห็นหน้าในการแข่งขันทำเครื่องหอมมาแล้วด้วย
เกิดอันใดขึ้น?
นางยืนนิ่งอยู่ในกลุ่มคนด้วยความสงสัย
ฮูหยินซ่งหยุดลงที่ประตูจวนตระกูลเวิน สายตาจ้องไปที่เวินเยียน
“ฮูหยินซ่ง” เวินอวิ๋นโปเดินลงจากบันได ประสานมือทำความเคารพนาง
“ฮูหยินซ่ง” ส่วนเวินเยียนก็รีบออกจากอ้อมแขนของฮูหยินผู้เฒ่าโจว แล้วเดินไปข้างกายเวินอวิ๋นโป ย่อตัวทำความเคารพฮูหยินซ่ง
“มิต้องเคารพหรอก วันนี้ข้ามาเพราะมีเื่จะมาบอก พวกเราปรึกษากันแล้วและตัดสินให้ตระกูลเวินถอนตัวจากการแข่งขันทำเครื่องหอม” ฮูหยินซ่งเอ่ยอย่างเฉียบคมด้วยสีหน้าเ็า
เมื่อนางพูดจบก็มีเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที แม้แต่เวินซีเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
นับั้แ่มีการแข่งขันทำเครื่องหอม ยังมิเคยมีการถอนตัวเลยสักครั้ง
“ฮูหยินซ่ง!” เวินเยียนใมาก เมื่อได้สติก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที “เพราะเหตุใดกันเ้าคะ?”
“เครื่องหอมมีต้นกำเนิดมาจากคนรุ่นก่อนๆ แต่โบราณ มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ไม่ว่าจะเป็ประชาชนหรือราชวงศ์ต่างก็ขาดเครื่องหอมมิได้ มันใช้บำรุงร่างกาย เสริมความงาม รักษาคน หรือใช้ฆ่าคนก็ย่อมได้ ดังนั้นอุปนิสัยของผู้ทำเครื่องหอมจึงเป็สิ่งสำคัญ”
“ตามบทบัญญัติของราชวงศ์ ผู้ที่กระทำความชั่วนั้นจะทำเครื่องหอมมิได้ การให้ตระกูลเวินถอนตัวออกจากการแข่งขันถือว่าเป็โทษเบา”
“มีอันใดจะค้านหรือไม่? หากไม่มี ข้าจะกลับแล้ว วันนี้ข้ามาเพียงส่งสารให้พวกเ้า ไม่อยู่รบกวนแล้วล่ะ” ฮูหยินซ่งละสายตาออกมานิ่งๆ
“แต่เื่นี้...เื่นี้...” ไม่เกี่ยวกับข้า
ไม่ว่าจะพูดเช่นไร เวินเยียนก็เอ่ยสี่คำสุดท้ายไม่ออก
หากนางพูดไป ความเห็นอกเห็นใจที่ตนอุตส่าห์ได้มาจากประชาชนจะหายไปในพริบตา
แต่การแข่งขันทำเครื่องหอมก็เป็โอกาสเดียวที่จะทำให้ตระกูลเวินกลับมารุ่งเรือง หากสูญเสียโอกาสนี้ ตระกูลเวินก็จบเห่แล้วจริงๆ
นางกำหมัดแน่นในแขนเสื้อ แล้วโขกหัวลงกับพื้นอย่างไม่อาจยอมได้
“ฮูหยินซ่ง เื่นี้มารดาของข้าหลงผิดไปเพียงชั่วคราว ท่านจะให้โอกาสตระกูลเวินหน่อยได้หรือไม่เ้าคะ”
“เ้าจะบอกว่าเื่นี้มารดาเ้าทำคนเดียว? ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเวินเลยอย่างนั้นหรือ?” ฮูหยินซ่งยิ้มเยาะ สีหน้าเต็มไปด้วยความประชดประชัน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เวินเยียนก็หน้าซีดขาวทันที แล้วรีบปฏิเสธ “เวินเยียนมิได้หมายความเช่นนั้นเ้าค่ะ เพียงแค่...แค่...ตระกูลเวินเราไม่อยากจะเสียโอกาสครั้งนี้ไปก็เท่านั้น”
“ฮูหยินใหญ่เวินทำร้ายเวินซี ทั้งยังฆ่าคนเพื่อให้เวินซีแพ้การแข่งขัน เื่นี้เราได้ตัดสินกันแล้ว เ้ามิต้องพูดอันใดให้มากความ”
“การแข่งขันระหว่างตระกูลเวินกับเวินซี วันนี้ข้าขอประกาศต่อหน้าทุกท่านว่าเวินซีเป็ฝ่ายชนะ ดูท่าว่าตระกูลเวินจะมีเื่ที่ต้องจัดการอีกมาก ข้าขอตัวล่ะ”
ฮูหยินซ่งนำทุกคนออกไป เวินเยียนรู้สึกะเืใจมาก ล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรงและสติหลุดลอย
ในขณะนั้นเวินอวิ๋นโปมีสีหน้าน่าเกลียด ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าโจวก็เศร้าเช่นกัน ทุกคนทำอันใดไม่ถูก
แต่เวินซีที่ได้รับชัยชนะมาอย่างกะทันหันยังคงประหลาดใจมาก นางใจนไม่ได้สติไปชั่วขณะหนึ่ง
นางชนะแล้ว ชนะได้ง่ายดายเช่นนี้เลย...
ราวกับเป็ความฝัน
“ไปกันเถิด หากพวกเขาเห็นเ้า เกรงว่าจะมิให้เ้ากลับไปแน่” แววตาของจ้าวต้านนั้นอ่อนโยน อดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อเห็นนางเหม่อลอยอย่างโง่เขลา
เมื่อเวินซีได้สติกลับมา ก็เหลือบมองคนตระกูลเวินแล้วพยักหน้า พลันเดินสวนทางกับฝูงชนออกไป
นางอารมณ์ดี แม้แต่การย่างก้าวก็เต็มไปด้วยความสุข ระหว่างทางจึงะโโลดเต้นกลับไปที่ร้านเครื่องหอม