“มารดามันเถอะ ไอ้คนพวกนี้ ข้าจะต้องนำศีรษะของหัวหน้าโจรกลับมาให้พวกเขากระอักความโกรธจนตายให้ได้เลยคอยดู”
ไป๋จื่อเยว่กัดฟันกรอดขณะพึมพำกับตัวเอง
“ไม่จำเป็ต้องไปให้ค่ากับคำพูดของพวกเขา ถึงอย่างไรปากก็เป็ของพวกเขา พวกเขาจะพูดอย่างไรก็ได้ เราสามารถพิสูจน์ความจริงได้ด้วยการกระทำ"
มู่เฟิงหรี่ตาลงขณะกล่าวขึ้น แต่ทันใดนั้นสายตาของเขาก็พลันตวัดมองไปยังทางเข้าห้องโถง เพราะกลิ่นคาวเืที่ลอยมาแตะจมูก
เมื่อประตูทางเข้าเปิดออกก็ปรากฏให้เห็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีครามผู้หนึ่งที่เดินเข้ามาพร้อมกับห่อผ้าเปื้อนเืในมือ
“ศิษย์พี่เว่ย!”
“ศิษย์พี่เว่ย!”
เมื่อผู้คนภายในห้องโถงเห็นชายหนุ่มผู้นั้นเดินเข้ามา ผู้คนจากทั้งสองฝั่งต่างก็รีบถอยออกให้พ้นทางในทันที แววตาของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวและความหวั่นเกรง
ชายหนุ่มผู้มาใหม่ดูแล้วน่าจะมีอายุราวๆ ยี่สิบสี่ปี รูปร่างของเขาสูงโปร่ง และน่าจะสูงราวๆ หกฟุต ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ดวงตาคมกริบดูน่าเกรงขาม กระทั่งท่วงท่าการเดินยังให้ความรู้สึกทะนงองอาจ บรรยากาศที่แผ่ออกมารอบตัวเขาทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกหวั่นเกรง และดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยกับปฏิกิริยาเช่นนี้ดี คาดว่าความทะนงตนนี้คงแสดงออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของเขา
ในมือของเขากำลังหิ้วห่อผ้าทรงกลมที่มีหยดเืไหลซึมออกมา
เมื่อชายหนุ่มเดินมาถึงโต๊ะศิลา เหล่าผู้ดูแลต่างก็รีบหลีกทางให้เขาในทันที จากนั้นชายหนุ่มก็วางห่อผ้านั้นลงบนโต๊ะ กลิ่นคาวเืคละคลุ้งไปทั่วอากาศ
ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามผู้หนึ่งเปิดห่อผ้าออก และพบว่าภายในห่อผ้านั้นคือศีรษะของชายวัยกลางคน!
ศีรษะนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเืสีแดงฉาน ดวงตาของเขายังคงเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก
เหล่าบัณฑิตที่อยู่โดยรอบต่างก็ตื่นตะลึงกับฉากนี้เช่นกัน ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามเงยหน้ามองชายหนุ่มผู้มาใหม่ด้วยความใ
“ภารกิจชั้นหนึ่ง สังหารฆาตกรเหลิ่งฉาน ส่งมอบงาน”
ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นี่คือหัวของเหลิ่งฉาน! เว่ยอี้อวิ๋นช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก สมแล้วที่เขาเป็อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น เหลิ่งฉานนั้นเป็ฆาตกรที่ทำเื่ชั่วร้ายในอาณาจักรเทียนเฟิงมานานหลายปี นึกไม่ถึงว่าเว่ยอี้อวิ๋นจะทำภารกิจสำเร็จได้เร็วขนาดนี้”
“ถูกต้อง หลังจากเข้าสำนักศึกษามาเพียงหกปี เขาก็สามารถบ่มเพาะวรยุทธ์จนบรรลุระดับหนิงกังขั้นเก้าได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งของเขานั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก ชายผู้นี้คือสัตว์ประหลาดโดยแท้”
“คนเราไม่อาจเทียบกันได้ เฮ้อ ข้าเข้ามารุ่นเดียวกับเขา แต่ข้าเพิ่งจะบรรลุระดับหนิงกังได้เมื่อไม่นานมานี้เอง”
“เขาคือบัณฑิตที่ผู้อำนวยการสำนักศึกษาให้การยอมรับด้วยตัวเอง กล่าวกันว่าเขาอาจจะสามารถบรรลุระดับหยวนตานได้ก่อนจะสำเร็จการศึกษาด้วยซ้ำ”
ผู้คนรอบข้างต่างซุบซิบกันถึงเื่นี้
มู่เฟิงหรี่ตาลงขณะเหลือบมองไปทางชายหนุ่มผู้มาใหม่
จากบทสนทนาของคนรอบข้างทำให้เขาทราบได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็ใคร
คนผู้นี้คือบัณฑิตที่อยู่ในอันดับหนึ่งจากบรรดาบัณฑิตนับหมื่นคนในสำนักศึกษาแห่งนี้ เขาคืออัจฉริยะหมายเลขหนึ่งของเทียนอวิ่น เว่ยอี้อวิ๋น!
“พี่เฟิง ชายผู้นี้คือเว่ยอี้อวิ๋น ดูเหมือนว่าเขาจะทรงพลังมากทีเดียว”
ไป๋จื่อเยว่เอ่ยเสียงกระซิบกับมู่เฟิง
“ในอนาคตพี่เฟิงจะต้องแข็งแกร่งกว่าเขาแน่”
มู่ขวงกล่าวอย่างหนักแน่น
“เว่ยอี้อวิ๋นผู้นี้สามารถบรรลุวรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นเก้าได้ภายในเวลาหกปี ความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าบัณฑิตรุ่นก่อนหน้าเขาเสียอีก กล่าวได้ว่าเขาเป็สัตว์ประหลาดขนานแท้ นอกจากนี้ตระกูลเว่ยยังเป็ตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฟิงอีกด้วย”
มู่เฟิงกล่าวเสียงเคร่งขรึม
หากว่าไม่มีเคล็ดวิชาชูร่าและหยกเทพชูร่า คาดว่าในชีวิตนี้ของมู่เฟิงคงไม่มีโอกาสเอาชนะชายผู้นี้ได้
ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามทำการเปรียบเทียบรูปพรรณสัณฐานของศีรษะกับภาพเหมือนของฆาตกร จากนั้นเขาก็ตรวจสอบระดับวรยุทธ์เ้าของศีรษะในตอนที่ยังมีชีวิต และเพียงไม่นานเขาก็สามารถยืนยันได้ว่าศีรษะนี้คือศีรษะของเป้าหมายในภารกิจครั้งนี้จริงๆ
ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามรีบส่งมอบคะแนนสามหมื่นคะแนนให้กับเว่ยอี้อวิ๋นในทันที เขากล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตเว่ยด้วย เ้าทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอีกแล้ว”
เว่ยอี้อวิ๋นไม่ได้ตอบรับอะไร เขาเพียงรับบัตรผลึกสีน้ำเงินกลับมาก่อนจะหันหลังกลับเตรียมจะเดินจากไป ทว่าสายตาของเขากลับเหลือบไปเห็นมู่เฟิงโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าชายหนุ่มจะหยุดชะงักฝีเท้าลง ก่อนจะหันไปมองมู่เฟิงอย่างเต็มตา คิ้วของเขาขมวดเป็ปมราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ผู้คนโดยรอบต่างก็จ้องมองฉากนี้ด้วยความสงสัย พวกเขาหันไปมองมู่เฟิงสลับกับเว่ยอี้อวิ๋น
“เ้าเป็ศิษย์จากตระกูลมู่อย่างนั้นหรือ?”
เว่ยอี้อวิ๋นเอ่ยถามขึ้นอย่างกะทันหัน
“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่เว่ยมีเื่อันใดกับศิษย์ตระกูลมู่ของเราอย่างนั้นหรือ”
มู่เฟิงหรี่ตาลง ขณะกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น
ในาระหว่างสองอาณาจักร ตระกูลมู่และตระกูลเว่ยมักจะต่อสู้ห้ำหั่นกันอยู่เสมอมา
“เ้าช่างเหมือนกับคนผู้หนึ่งยิ่งนัก เขามาจากตระกูลมู่แห่งอาณาจักรหนานหลิง เป็คนที่ข้ารู้สึกเลื่อมใสจากใจจริง และยังเป็คนที่ข้ามีความฝันว่าอยากจะฆ่าเขาให้ตาย”
เว่ยอี้อวิ๋นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็เ็า ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เ้ากับมู่เทียนมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกัน?”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น ั์ตาสีโลหิตของมู่เฟิงก็เป็ประกายวาวโรจน์ขึ้นมาในทันที เขาจ้องมองเว่ยอี้อวิ๋นก่อนจะตอบว่า “เขาคือบิดาของข้า!”
หลังได้ฟังคำตอบ พริบตานั้นเว่ยอี้อวิ๋นก็แผ่รังสีสังหารออกมา เขาย่างเท้าเดินเข้าหามู่เฟิงพร้อมกับปล่อยคลื่นพลังสะกดข่มจากตัวเขา เพื่อกดดันเด็กหนุ่มในทันที
มู่เฟิงถึงกับสะอึก เขารับรู้ได้ถึงพลังกดทับมหาศาลที่ถาโถมเข้ามา เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับว่ามีหินก้อนใหญ่ที่มีน้ำหนักเป็พันจินกำลังถ่วงอยู่ภายในใจของเขา สายตาของเขายังคงจ้องมองเว่ยอี้อวิ๋นที่กำลังย่างเท้าใกล้เข้ามา แรงกดทับนี้ทำให้มู่เฟิงต้องก้าวถอยหลังออกไปสองก้าว
‘เคล็ดวิชาชูร่าแห่งา!’
ั์ตาสีโลหิตของมู่เฟิงพลันแดงก่ำขึ้น เขาะโก้องในใจ เคล็ดวิชาชูร่าพลันทำงานในทันที พลังปราณไหลเวียนไปทั่วร่าง ต้านทานพลังสะกดข่มนี้เอาไว้
เมื่ออยู่ภายใต้พลังกดทับนี้ ร่างกายของไป๋จื่อเยว่และมู่ขวงต่างก็สั่นเทาอย่างไม่อาจห้ามได้ ทว่าสายตาของพวกเขายังคงจ้องเว่ยอี้อวิ๋นอย่างขุ่นเคือง
เว่ยอี้อวิ๋นรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามู่เฟิงยังสามารถต้านทานคลื่นพลังสะกดข่มของเขาได้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ข้าจะดูว่าเ้าจะต้านทานได้นานแค่ไหน คุกเข่าลง!”
หลังจากสิ้นเสียง คลื่นพลังอันแข็งแกร่งก็พลันกดทับไปบนร่างของมู่เฟิงอย่างรุนแรงกว่าเดิม พลังปราณภายในร่างของเว่ยอี้อวิ๋นกำลังทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
แรงกดทับนี้ทำให้ร่างของมู่เฟิงงอตัวลงเล็กน้อย กระทั่งกระดูกของเขายังเกิดเสียงดังลั่น ทว่าสายตาอันเ็าของเด็กหนุ่มยังคงจ้องมองเว่ยอี้อวิ๋นอย่างไม่แยแส
“คนตระกูลเว่ย คิดจะให้คนตระกูลมู่อย่างข้ายอมจำนนอย่างนั้นหรือ? อัสนีบาตย่ำแปดทิศ!”
มู่เฟิงแผดเสียงคำรามออกมาอย่างดุดัน มุมปากของเขามีเืไหลออกมา เขาก้าวเท้าออกไปพร้อมกับเสียงคำรามของสายฟ้าที่ปรากฏขึ้นมาโอบล้อมร่างกายของเขาเอาไว้ คลื่นพลังของเขาพลันเปลี่ยนเป็แข็งแกร่งขึ้นมาในชั่วพริบตา ทั้งยังสามารถสั่นคลอนคลื่นพลังของเว่ยอี้อวิ๋นที่กำลังกดทับเขาอยู่ได้ จนมันสลายไปในที่สุด
เว่ยอี้อวิ๋นจ้องมองมู่เฟิงด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าให้เวลาเ้าสี่ปี หลังจากสี่ปีมาสู้กับข้า ถึงเวลานั้นข้าจะสังหารเ้าด้วยมือของข้าเอง”
หลังจากกล่าวจบเว่ยอี้อวิ๋นก็หันหลังจากไป ทิ้งฝูงชนที่กำลังตกตะลึงเอาไว้เื้ั
ไม่นานเหล่าบัณฑิตก็เบนสายตามองไปทางมู่เฟิงด้วยความใเช่นกัน
เ้าหนุ่มผู้นี้มีที่มาอย่างไรกันแน่ นึกไม่ถึงว่าเขาจะมีเื่บาดหมางกับเว่ยอี้อวิ๋น!
“นึกไม่ถึงว่าเว่ยอี้อวิ๋นจะ้าสังหารเด็กหนุ่มผู้นั้น นี่มันเื่อะไรกัน?”
“ไม่รู้สิ หรือว่าเ้าเด็กนั่นจะไปล่วงเกินเว่ยอี้อวิ๋นเข้า?”
“แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากถูกเว่ยอี้อวิ๋นหมายหัว เกรงว่าเ้าเด็กนั่นคงจะไม่มีทางรอดไปได้เป็แน่แล้ว”
ผู้คนต่างก็มองไปทางมู่เฟิงด้วยสายตาสมเพชราวกับว่ากำลังมองดูคนที่ตายไปแล้ว ในขณะเดียวกันนั้น มู่เฟิงก็มองตามหลังเว่ยอี้อวิ๋นก่อนจะกำหมัดแน่น
“พี่เฟิง กับชายผู้นั้นมันอย่างไรกันแน่?”
ไป๋จื่อเยว่เอ่ยปากถามทันที
“ตระกูลเว่ยและตระกูลมู่ของเราเป็ความบาดหมางระหว่างสองอาณาจักร”
มู่ขวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า
“ในอดีตบิดาข้าเคยสังหารขุนพลหลายคนของตระกูลเว่ยจากอาณาจักรเทียนเฟิง การที่เขาหาเื่ข้าก็นับว่าเข้าใจได้ เพียงแต่ข้าแค่นึกไม่ถึงว่าเขาจะจำข้าได้”
มู่เฟิงอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในใจของเขากลับรู้สึกอัปยศอย่างยิ่ง
เว่ยอี้อวิ๋นเดินออกมาจากวิหารรับภารกิจ เขานึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับบุตรชายของมู่เทียน มู่เฟิงและมู่เทียนนั้นมีใบหน้าละม้ายคล้ายกันเป็อย่างมาก
เมื่อหลายปีก่อนพี่ชายคนโตของเขาถูกมู่เทียนสังหารในสนามรบ แน่นอนว่าเขาจดจำใบหน้าของมู่เทียนได้ขึ้นใจไม่เคยลืมเลือน แม้จะมีคนกล่าวว่าชายผู้นั้นจะถูกสังหารตายในสนามรบไปแล้วก็ตาม
ดังนั้นเพียงแวบแรกที่เขาเห็นมู่เฟิง เขาจึงนึกถึงมู่เทียนขึ้นมาในทันที
เด็กหนุ่มทั้งสามคนเดินจากไปภายใต้สายตาจับจ้องของฝูงชน มู่เฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เขายังคงนิ่งเงียบไปตลอดทางราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ และไป๋จื่อเยว่กับมู่ขวงเองก็ไม่กล้าที่จะรบกวนเขาเช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้