มู่หรงฉือหัวเราะเหยียดหยาม “เ้าโลภมากหรือไม่นั้น แค่ถามบ่าวรับใช้ในจวนของเ้า ถามข้างบ้านของเ้าก็รู้ชัดเจนแล้ว”
หวังเทาร้องโหยหวน “กระหม่อมถูกใส่ความ กระหม่อมรู้ว่าการแอบเอาอาวุธไปขายนั้นมีโทษถึงตาย จะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนั้นได้อย่างไร...”
ใบหน้าของมู่หรงอวี้เต็มไปด้วยความเ็า ใบหน้าไร้อารมณ์ “เ้ากล่าวถึงเื่พวกนี้ ก็แค่อยากจะขอความเมตตาให้ภรรยา หากเ้ายังทำท่าทางไม่รีบไม่ร้อน เปิ่นหวางจะรีบจัดการบิดามารดาและภรรยาของเ้าให้หมด!”
เสียงที่เจือด้วยโทสะนี้ทำเอาหวังเทาใจนตัวสั่น ก้มหน้าไม่พูดไม่จา เหงื่อกาฬหลั่งไหล
“เ้ากับว่านฟางควบคุมกองทัพตรวจสอบอาวุธ ไม่เพียงแต่จะสังหารโจวฮวาย ทั้งยังลอบค้าอาวุธ พวกเ้าขายอาวุธอะไรไปบ้าง?” มู่หรงฉือเค้นเสียงกร้าว “พูด!”
“ธนู...ดาบ...ะุปืนใหญ่...” เขาพูดอย่างรู้สึกผิด
“ยังมีปืนใหญ่ด้วยใช่หรือไม่?” นางถามอย่างโกรธจัด โกรธจนกำมือแน่น ปืนใหญ่เป็อาวุธที่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนใช้จนได้รับชัยชนะในาระหว่างแคว้น ว่านฟางกลับเอาไปขายเสียนี่ สมควรตาย!
“ไม่มีปืนใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ปืนใหญ่มีขนาดใหญ่เกินไป ขนส่งออกไปยากลำบาก จะทำให้ถูกพบง่าย”
“เช่นนั้นยังมีอะไรอีก?”
“ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้พูดเสียงเข้ม “เริ่มลอบค้าั้แ่เมื่อไหร่?”
หวังเทาตอบกลับ “เมื่อครึ่งปีก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้ยกมือขึ้น สมุดบัญชีเล่มหนึ่งก็ถูกโยนไปที่หวังเทา ปะทะเข้าที่อกของเขาพอดี
หน้าอกของเขาถูกกระบี่แทง ยังเ็ปอยู่ ตอนนี้ถูกสมุดบัญชีปาใส่ก็ให้ความรู้สึกเจ็บจนแทบขาดใจ
เขาเปิดสมุดบัญชีดูสองสามหน้า สีหน้าพลันเปลี่ยนไป นี่ล้วนเป็หลักฐานที่เขากับว่านฟางกระทำความผิดเอาไว้!
พริบตาเดียวเขาราวกับจมดิ่งลงไปในบ่ออันลึกไร้ที่สิ้นสุด
มีสมุดบัญชีนี้ โทษปะาเก้าชั่วโคตรเป็เื่ที่แน่นอนแล้ว!
มู่หรงฉือหัวเราะเสียงเย็น ถามเสียงเนือย “ตอนนี้เ้ายังคิดจะปกปิดอีกหรือ? จะบอกหรือไม่ก็แล้วแต่เ้า”
“ท่านอ๋อง เตี้ยนเซี่ย กระหม่อมรู้ว่ากระหม่อมสมควรตาย แต่ว่าบุตรชายกระหม่อมยังเล็กนัก ขอท่านอ๋อง เตี้ยนเซี่ยโปรดเมตตาปล่อยเขาไป เหลือเืเนื้อเชื้อไขไว้ให้สกุลหวังสักคนพ่ะย่ะค่ะ” หวังเทาคุกเข่าโค้งตัวกับพื้นร่ำไห้อย่างเ็ป
“มาร้องไห้อ้อนวอนตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว” ดวงตาเ็าไร้ซึ่งความสงสาร ก่อนจะถามขึ้น “แผนภาพลับในการทำปืนใหญ่ ะุปืนใหญ่และอาวุธาก็ขายไปด้วยใช่หรือไม่?”
ของสามอย่างนี้เป็ความลับของกองทัพตรวจสอบอาวุธ เป็ความลับสุดยอดของแคว้นเป่ยเยี่ยน เป็ศาตราวุธที่ทำให้ทหารหนึ่งแสนนายของแคว้นเป่ยเยี่ยนเอาชนะการศึกได้หลายครั้งหลายครา ได้รับสมญานามว่าเป็แคว้นแห่งวีรบุรุษที่ปกป้องแคว้นเอาไว้ได้
หวังเทาย่อมรู้ว่าสามสิ่งนี้สำหรับแคว้นเป่ยเยี่ยนแล้วเป็สิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด จึงร้องไห้น้ำตาไหลเป็สาย “กระหม่อมเคยโน้มน้าวว่านฟางแล้วพ่ะย่ะค่ะ บอกเขาว่าหากลอบขายสามสิ่งนี้ แคว้นเป่ยเยี่ยนของพวกเราจะกลายเป็แคว้นที่พังพินาศ รังเหยี่ยวที่พังทลายไปแล้วจะยังมีไข่หลงเหลืออยู่อีกหรือ?[1] แต่เขาไม่ฟัง เขาเอาของสามสิ่งที่เป็ความลับนี้ออกไปขาย กระหม่อมไม่อาจห้ามปรามเขาได้...กระหม่อมมีความผิดสมควรตาย...”
มู่หรงฉือพูดเสียงเย็น “ถึงเ้าจะไม่ได้ขายของที่เป็ความลับสามอย่างนี้ แต่ทั้งๆ ที่เ้ารู้เื่กลับไม่รายงาน ย่อมมีความผิดถูกปะาเก้าชั่วโคตร”
“ขายให้กับผู้ใด?” ดวงตาของมู่หรงอวี้มีเมฆครึ้มก่อตัวขึ้น
“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ คงจะขายให้คนที่มาซื้ออาวุธทางการทหาร เื่การติดต่อซื้อขายว่านฟางเป็คนรับผิดชอบ เขาไม่ยอมบอกกระหม่อม กระหม่อมก็ไม่ได้ถามอะไรมาก”
“เ้าไม่รู้จริงๆ หรือ? หรือเ้าอยากจะลองลิ้มรสชาติของการถูกลงทัณฑ์ก่อนถึงจะคิดออก?” ใบหน้าเล็กของมู่หรงฉือเต็มไปด้วยความดุร้ายน่าหวาดหวั่น
“กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสาบานต่อบรรพบุรุษสกุลหวัง กระหม่อมไม่รู้ว่าผู้ซื้อคือใครจริงๆ” หวังเทาร้องไห้ไปพลาง
นางเดินเข้าไปหา ในมือเล่นมีดเล่มเล็กพลางเดินไปตรงหน้าเขา มุมปากแสยะยิ้มเย็น “บุตรชายของเ้าอายุสิบปี หน้าตางดงาม เปิ่นกงเอาเขาไปขายที่หอเฟิ่งหวงให้ไปเป็ของเล่นเสพสุขของผู้คน หรือจะให้เปิ่นกงลงมือเฉือนเนื้อของเขาออกมา? เ้าคิดว่าแบบไหนดีเล่า?”
น้ำเสียงไม่ยี่หระทั้งยังเ็าโหดร้าย ได้ยินแล้วชวนประหวั่นพรั่นพรึง
หวังเทาใจนปัสสาวะราด ร้องไห้อย่างอเนจอนาถ “ไม่นะ...เตี้ยนเซี่ยโปรดเมตตา...กระหม่อมไม่รู้ว่าผู้ใดเป็คนซื้อ ทั้งยังไม่เคยพบเห็น...”
มู่หรงฉือพูดเอื่อยเฉื่อย “เช่นนั้นเปิ่นกงคงทำได้แค่สั่งให้คนไปจับบุตรชายของเ้ามาแล้ว”
เขาพุ่งเข้าไปจับชายแขนเสื้อของนางร้องเสียงโหยหวน “อย่านะพ่ะย่ะค่ะ เตี้ยนเซี่ย...กระหม่อมไม่รู้จริงๆ...หากกระหม่อมรู้ย่อมบอกพระองค์จนหมดสิ้นแล้ว...”
นางสะบัดแขนเสื้อ “ไสหัวไป!”
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ว่าผู้ซื้อคือใครจริงๆ นางถามต่อ “เหตุใดเ้าถึงไปที่หลิงหลงเซวียน? เ้ารู้จักเ้าของที่อยู่เื้ัของหลิงหลงเซวียนหรือ?”
หวังเทาคิดไม่ถึงว่าเตี้ยนเซี่ยจะเปลี่ยนเื่อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เขาชะงักไปครู่หนึ่งถึงจะตอบกลับ “เื่หลิงหลงเซวียนก็เป็ว่านฟาง กระหม่อมไม่รู้ว่าว่านฟ่างไปรู้จักหลิงหลงเซวียนได้อย่างไร รู้แค่ว่าเวลาที่เขาไม่เฝ้าเวรยามดึกก็จะไปที่หลิงหลงเซวียนตลอด เ้าของที่อยู่เื้ัหลิงหลงเซวียนกระหม่อมไม่เคยพบจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เคยเห็นแค่ผู้ดูแลกับพนักงานในร้าน”
“ว่านฟางไม่ได้พูดถึงคนที่อยู่เื้ัของหลิงหลงเซวียนกับเ้าเลยหรือ?” มู่หรงอวี้ถามเสียงเข้ม
“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ว่านฟางปิดปากเงียบมาก ไม่ยอมบอกกระหม่อม เขาไม่ยอมพูดออกมาแม้แต่น้อย” หวังเทาตอบ
“เ้าขนส่งอาวุธออกจากกองทัพได้อย่างไร?” มู่หรงอวี้ถามอีก
“ขนออกจากเส้นทางลับ ว่านฟางให้กระหม่อมรับผิดชอบเพียงเื่ขนของออกจากทางลับเท่านั้น เื่หลังจากนั้นกระหม่อมก็ไม่รู้อะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอ๋อง ดูเหมือนเขาเริ่มไม่ให้ความร่วมมืออีกแล้ว” มู่หรงฉือพูดเสียงเย็น แฝงไปด้วยความโเี้ ชวนให้ขนลุกซู่
“เตี้ยนเซี่ย ท่านอ๋อง กระหม่อมจะกล้าปกปิดเื่นี้ได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมยังอยากเก็บชีวิตของบุตรชายกระหม่อมอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ...” หวังเทาคร่ำครวญ
“ในเมื่อเขามีเื่ปิดบัง เช่นนั้นก็จับบุตรของเขามารับโทษจนตาย จากนั้นก็เอาเถ้ากระดูกของเขาไปโปรย” มู่หรงอวี้พูดอย่างไม่ยี่หระ ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร
“เอาเถ้ากระดูกไปโปรยหรือ? เหตุใดเปิ่นกงถึงคิดความคิดดีๆ แบบนี้ออกมาไม่ได้กัน?” คิ้วของนางเลิกขึ้น น้ำเสียงเย็น
“ไม่นะพ่ะย่ะค่ะ...ท่านอ๋อง เตี้ยนเซี่ยโปรดเมตตา...ไม่ใช่กระหม่อมไม่พูด แต่กระหม่อมไม่รู้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ...” หวังเทาคร่ำครวญแทบขาดใจ ราวกับว่าตนถูกใส่ร้ายอย่างรุนแรง “หากกระหม่อมรู้มีหรือจะไม่บอกพวกท่าน? ท่านอ๋อง เตี้ยนเซี่ยผู้ปราดเปรื่อง...”
ดวงตาของมู่หรงฉือวาบขึ้นเล็กน้อย “เ้าคงจะรู้จักว่านฟางดียิ่ง เื่ของเขาเ้ารู้เท่าไหร่ จงบอกมาให้หมด”
หวังเทาได้ยินประโยคนี้ก็เข้าใจทันที ไม่ได้ร้อนรนถึงเพียงนั้นอีก พูดไปพลางซับน้ำตาไป “ว่านฟางปิดปากสนิทยิ่งนัก เื่ราวมากมายไม่ยอมพูดกับกระหม่อม ความจริงแล้วเขาไม่ได้โลภมากเช่นกระหม่อม ที่เขา้าคืออำนาจ เขามักจะบ่นอยู่เสมอว่าอยู่ที่กองทัพเขาทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง มาเฝ้ากองทัพตรวจสอบอาวุธเก่าๆ เช่นนี้จะมีอนาคตอะไรกัน? กระหม่อมมองความคิดของเขาว่าอยากจะเข้ากรมยุทธนาการ กรมขุนนาง จะได้ปีนขึ้นตำแหน่งไปได้ทีละขั้น”
ในการสอบเข้ารับราชการว่านฟางมีความทะเยอทะยานมาก นางถาม “เขาเก่งด้านการวางแผน ถนัดอาศัยช่องโหว่มาคดโกง สามารถผูกมิตรกับคนในกรมยุทธนาการและกรมขุนนางได้ดี แต่การเข้าไปในสองกรมนี้กลับยากเย็นยิ่งนัก”
เขาพูดต่อ “ใช่ว่าเขาจะไม่มีสหายที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอยู่ในกรมยุทธนาการหรือกรมขุนนาง เพียงแต่โชคของเขาไม่ดี พลาดไปนิดเดียวก็ถูกตัดหน้าไป ครั้นผ่านไปหลายครั้งเข้า เขาจึงสิ้นหวังไปเอง กระหม่อมััได้จากการพูดคุยยามปกติ ทั้งๆ ที่ว่านฟางมีความรู้มาก แต่ท่ามกลางขุนนางผู้รับราชการมีผู้ใดที่คบหากันอย่างจริงใจเล่า? เขาใช้ทั้งเงิน ใช้ทั้งเส้นสายเพื่อขอเข้าไปทำงานในกรมยุทธนาการกับกรมขุนนาง ั้แ่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็เหมือนกับเอาตะกร้าไปตักน้ำ เขาย่อมสูญเงินจนหมดสิ้น จึงคิดจะเอาอาวุธทางการทหารไปขาย”
“แอบเอาอาวุธทางการทหารไปขาย เขาคิดเพียงอยากจะหาเงินหรือ?” มู่หรงอวี้เลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“คงจะไม่ได้อยากได้แค่เงินพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคาดเดาจากคำพูดของเขา เขาเหมือนจะ...อยากได้รับการชื่นชมกับการสนับสนุนจากคนที่มาซื้อพ่ะย่ะค่ะ” หวังเทาพูดพลางครุ่นคิด “กระหม่อมคาดเดาว่า ผู้ซื้อคงเป็คนที่มีอำนาจ”
มู่หรงฉือกับมู่หรงอวี้สบตากัน ต่างคนต่างครุ่นคิด
หากคนที่ซื้ออาวุธทางการทหารเป็คนของแคว้นเป่ยเยี่ยน เช่นนั้นคงมีแผนการใหญ่ รวบรวมทหารแล้วก่อฏ
หากไม่ใช่คนของแคว้นเป่ยเยี่ยน เช่นนั้นเื่ก็จะยิ่งร้ายแรงขึ้นไปอีก แคว้นตงฉู่ แคว้นหนานเยว่กับแคว้นซีฉิน แคว้นเหล่านี้มีความเป็ไปได้ทั้งหมด คนที่มีอำนาจ...หรือว่าจะเป็คนในราชวงศ์ของสามแคว้นนี้? ขอเพียงหนึ่งในสามแคว้นนี้กุมอาวุธลับทางทหารของเป่ยเยี่ยนเอาไว้ เช่นนั้นความได้เปรียบทางการทหารของเป่ยเยี่ยนก็จะไม่เหลืออยู่อีก
คิดๆ ดูแล้วก็น่าหวั่นใจ
จู่ๆ หวังเทาก็พูดขึ้น “ใช่แล้ว ว่านฟางมีภรรยาที่นับว่าดุร้าย เขาจึงเลี้ยงดูอนุหน้าตางดงามเอาไว้คนหนึ่ง แล้วเอาคนไปซ่อนอยู่ข้างนอก บางทีอนุคนนั้นอาจจะรู้เื่อยู่บ้าง”
มู่หรงฉือถาม “อยู่ที่ใด? อนุคนนั้นมีชื่อว่าอะไร?”
“กระหม่อมขอคิดก่อน...อนุคนนั้นมีนามว่าลวี่หลิว อาศัยอยู่ที่ตรอกหยางหลิวพ่ะย่ะค่ะ” หวังเทาตอบ
“ใครก็ได้เข้ามาเอาตัวเขาไป” มู่หรงอวี้ออกคำสั่ง
หลังจากหวังเทาถูกพาตัวออกไป มู่หรงฉือก็พูดอย่างครุ่นคิด “พรุ่งนี้เช้าไปดูที่ตรอกหยางหลิวกัน”
มู่หรงอวี้ยืนขึ้นแล้วเดินไปด้านนอก “ไปตอนนี้เลย”
นางย้อนคิด ก็จริงอยู่ เื่นี้จะช้าไม่ได้ หากลวี่หลิวคนนั้นรู้ข่าวแล้วหนีไป เช่นนั้นพวกเขาจะไปจับคนได้ที่ไหนอีก?
ตอนกลางคืนเงียบสงบ มีลมพัดอ่อนๆ แสงดาวพราวระยับอยู่บนท้องฟ้า
เสียงเกือกม้าบนท้องถนนส่งเสียงดังเป็พิเศษ ราวกับม้าเหล็กที่วิ่งเข้าสู่ความฝัน ปลุกให้ชาวบ้านตื่นขึ้นจากนิทราอันแสนหวาน
ตรอกหยางหลิวมีคนพักอาศัยอยู่ไม่น้อย หน้าประตูบ้านแขวนโคมเอาไว้ ยากมากที่จะแยกออกว่าบ้านไหนเป็บ้านไหน
ตลอดทางที่พวกเขาเดินทางมา มู่หรงฉือเห็นประตูบ้านเล็กๆ เขียนว่าสกุลว่าน “คงจะเป็หลังนี้”
บ้านที่ซ่อนอนุของว่านฟาง ย่อมต้องเขียนไว้ว่าสกุลว่าน
ถึงแม้จะเป็กลางดึกแล้ว แต่นางกลับไม่ง่วงเลยสักนิด
ปัญหาก็คือ จะเข้าไปได้อย่างไร? ทำตัวเป็โจรสักรอบหรือ?
มู่หรงอวี้ไม่มีความคิดที่จะเข้าไป เขาปักหลักยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ท่าทางสบายๆ ราวกับมาเที่ยวชม
เงาดำสายหนึ่งไม่รู้ปรากฏขึ้นจากที่ใด ก่อนจะพุ่งไปยังด้านหลังเรือนอย่างรวดเร็ว
มู่หรงฉือเลิกคิ้วขึ้น ที่แท้ก็ให้องครักษ์เงาไปจับคนออกมานี่เอง
แสงอ่อนๆ สาดส่องมาจากบ้านข้างเคียง แสงไฟสีแดงส่องไปยังอาภรณ์สีดำของเขา ใบหน้าเ็าเมื่ออยู่ในความมืดแล้วก็ยิ่งเพิ่มความลึกลับให้กับดวงหน้าหล่อเหลาขึ้นไปอีก
ไม่นานนัก เรือนหลังก็มีเสียงดังเอะอะ มีเสียงร้องไห้ของสตรี ตามด้วยเสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวาย
ประตูใหญ่เปิดออก มู่หรงอวี้เดินเข้าไป นางเห็นดังนั้นก็รีบตามไป
กุ่ยหยิงจุดเทียน ทว่าห้องโถงใหญ่ก็ยังคงไม่สว่างนัก มู่หรงอวี้พิจารณาสตรีหน้าตางดงามที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่ขยับ คิดว่าคงถูกสกัดจุดเอาไว้ทำให้ขยับตัวไม่ได้
สตรีคนนั้นสวมชุดสีขาว ร่างกายผอมบาง เส้นผมดำเงาแผ่สยายปกคลุมดวงหน้ารูปไข่งดงาม ผิวพรรณขาวเนียนราวหยก ดวงตาใสทั้งสองข้างกลอกไปมา แววตาเต็มไปด้วยหวาดหวั่นและว้าวุ่น
กุ่ยหยิงคลายจุดให้นาง ร่างกายของนางกลับมาเป็ปกติ ทว่านางไม่ได้พยายามหนี กลับสงบนิ่งเป็อย่างยิ่ง ตวาดถามเสียงโกรธ “พวกเ้าเป็ใครกัน? บุกเข้าเรือนผู้อื่นแบบนี้ข้าจะไปแจ้งทางการ!”
เชิงอรรถ
[1]เมื่อพังพินาศมาแล้วส่วนหนึ่งมีหรือส่วนอื่นจะไม่พังไปด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้