ครั้นการแต่งงานของเจิ้งสยากำหนดฤกษ์ยามเสร็จสรรพ ก็ใกล้จัดพิธีแล้ว
เมื่อมีคนแต่งออกในกอง ญาติสนิทมิตรสหายรอบข้างต้องมอบเงินแสดงความยินดีกัน บางคนมากหน่อยให้หนึ่งถึงสองหยวน น้อยหน่อยให้ห้าเหมา แน่นอนว่าเงินทุกหยวนทุกเหมานั้นให้กับมือป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้ง
เจิ้งเฉวียนกังคือคุณอาแท้ๆ ของเจิ้งสยา ย่อมต้องให้มากหน่อยเป็เงินถึงห้าหยวนเต็มๆ แต่ขนาดนี้ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งยังไม่ยิ้มแย้มสักนิด
งานแต่งงานของเจิ้งสยาครั้งนี้ แม้คนขาพิการแซ่หลิวจะให้เงินค่าสินสอดถึงร้อยหยวน แต่กลับไม่ถึงมือเจิ้งสยาเลยสักหยวนเดียว กระทั่งชุดแต่งงานใหม่ก็ยังไม่มี เธอสวมเสื้อยืดตัวเดิม กางเกงเนื้อหยาบสีน้ำเงิน ซ้ำร้ายบนกางเกงยังมีรอยปะชุน! หากไม่ติดดอกไม้สีแดงสำหรับใช้แต่งงานตรงหน้าอก
คงมองไม่ออกว่าเธอเป็เ้าสาวในพิธีแต่งงานวันนี้
หากออกไปให้คนอื่นเห็นสภาพนี้ ขายขี้หน้าสกุลเจิ้งตายเลย! ความสัมพันธ์ระหว่างเจิ้งหยวนกับเจิ้งสยาขัดแย้งจนห่างเหินกัน
เดิมทีเธอไม่คิดจะมาส่งตัวเ้าสาวหรอก แต่อย่างไรเสียก็เป็ญาติผู้พี่
หากไม่มาเจิ้งเฉวียนกังคงเป็คนแรกที่ไม่เห็นด้วย ถึงกระนั้น
ครั้นมาถึงแล้วเธอก็ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดหรือทำตัวอย่างไรดี
เมื่อสบสายตาเจิ้งสยา เธอเบนหลบอย่างอึดอัดวางตัวไม่ถูก
ทั้งยังได้ยินเจิ้งสยาโพล่งออกมาว่า “เสี่ยวหยวน เธอทำร้ายฉันถึงขนาดนี้ คงดีใจมากละสิท่า”
เมื่อประโยคนี้หลุดออกมาจากปากเ้าสาว เสียงในห้องที่เคยอื้ออึงด้วยความยินดีพลันเงียบกริบไปพักหนึ่ง เจิ้งเจวียนลอบเบ้ปาก ทั้งยังกลอกตามองบน เจิ้งเอ๋อผู้มาใหม่มองเจิ้งสยาที สลับกับมองเจิ้งหยวนที สีหน้าสับสนงุนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เจิ้งหยวนหมดคำจะพูด เจิ้งสยาตกอยู่ในสภาพนี้หลักๆ น่าจะเพราะป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งโหดร้ายกับลูกสาวตัวเองมากกว่าไม่ใช่หรือะ? ชาติก่อนชื่อเสียงเธอไม่ได้เสียหาย ก็ยังแต่งให้คนขาพิการแซ่หลิวได้นี่?
เจิ้งหยวนสบสายตาเจิ้งสยาอีกครั้ง เธอเห็นเส้นเืคั่งกระจายในดวงตาเจิ้งสยา ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แม้เจิ้งหยวนจะนึกสงสารชะตาชีวิตอันแสนขมขื่นของญาติผู้พี่ ทว่าก่อนหน้านี้เจิ้งสยาเลือกที่จะโยนลูกะเิลูกใหญ่ใส่หัวเธอเสียขนาดนั้น เธอย่อมไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว ดังว่าคุยไม่ถูกคอ ครึ่งคำก็มากเกินไป คิดจนปลงตก เจิ้งหยวนจึงหันหลังเดินออกจากห้องด้วยี้เีทะเลาะกับเจิ้งสยา
เจิ้งเอ๋อเห็นดังนั้นจึงรีบรุดตามไป “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
เจิ้งเอ๋อคือพี่สาวคนโตของเจิ้งหยวน เป็ลูกคนที่สองของครอบครัว เธอแต่งงานออกไปกองผลิตข้างเคียงเมื่อราวสองปีก่อน ่เจิ้งหยวนติดอันดับหัวข้อซุบซิบยอดนิยมในกองหยางหลิวก่อนหน้านี้ เธอกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับฤดูเก็บเกี่ยว แต่ละกองต่างทำงานของตัวเองกัน ข่าวลือเลยกระจายไปไม่ถึงกองข้างเคียง
เจิ้งเอ๋อจึงไม่รู้เลยว่าน้องสาวตัวเองก่อเื่อึกทึกครึกโครมขนาดไหน
“เื่นี้ต้องเล่ากันยาวเลย” เจิ้งหยวนมองตรงลานบ้าน มีคนอยู่เต็มไปหมด ไม่เหมาะจะพูดคุยกันจริงๆ
ครั้นเห็นสีหน้าน้องสาว เจิ้งเอ๋อจึงอ่านสถานการณ์ออกในที่สุด ไม่คิดซักไซ้อะไรต่อ ทำเพียงเก็บเื่นี้ไว้ในใจ แล้วค่อยเบี่ยงประเด็นสนทนา “ทำไมเสี่ยวสยาแต่งตัวแบบนี้ล่ะ? จะแต่งงานยังไง?”
เจิ้งหยวนตอบ “พี่ก็รู้นี่ว่าป้าสะใภ้ใหญ่ของเราขี้งกแค่ไหน”
“ขี้งกขนาดไหนก็ไม่ควรให้เ้าสาวใส่ชุดมีรอยปะออกจากบ้านแบบนี้นะ?” คิ้วของเจิ้งเอ๋อขมวดจนเป็ปมมุ่น
เจิ้งหยวนกลอกตา ไม่ใช่เื่ของบ้านตัวเองเสียหน่อย เธอเลยี้เีพูด “ช่างเธอเถอะ ป้าสะใภ้ใหญ่ยังไม่กลัวขายขี้หน้าเลยไม่ใช่เหรอ”
“ได้ที่ไหนกัน? มันจะทำให้เราเสียหน้ากันทั้งสกุลเจิ้งน่ะสิ!” เจิ้งเอ๋อว่าพลางกระทืบเท้า “ไม่ได้ ฉันต้องไปคุยกับพ่อ”
สิ้นเสียงก็หันหลังวิ่งจากไปทันที
เจิ้งหยวนมุ่ยหน้าพลางมองแผ่นหลังของเจิ้งเอ๋อที่ห่างไปเรื่อยๆ นิสัยพี่สาวคนโตของเธอไม่ได้เจิ้งเฉวียนกังมาเลยสักนิด แต่กลับติดพฤติกรรมห่วงหน้าตาสกุลมาเต็มร้อย
ถึงกระนั้น พูดเื่นี้กับเจิ้งเฉวียนกังไปก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งเป็พี่สะใภ้คนโต ส่วนเขาคือน้องชาย เขาจะดุพี่สะใภ้ได้อย่างไร?
พอผ่านไปสักพักในห้องก็มีเสียงดังแสบแก้วหูของป้าสะใภ้ใหญ่ลอยมาตามคาด “บ้านจะเอาเงินและตั๋วที่ไหนตัดเสื้อผ้าใหม่ให้ยัยเด็กนั่น! ฉันว่านะ
เจิ้งเอ๋อ ในเมื่อเธอพูดง่ายนัก
เธอไม่ทำเสื้อผ้าให้น้องสาวเธอสักตัวล่ะ? ต่อไปฉันจะได้ให้เสี่ยวสยาจดจำความดีของเธอไว้”
เจิ้งหยวนเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า พอดิบพอดีกับที่เห็นป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งกำลังเท้าเอวมองเจิ้งเอ๋อด้วยรอยยิ้มเหน็บแนม
เจิ้งเอ๋อเป็คนหัวอ่อน พอโดนป้าสะใภ้เจิ้งตะคอกใส่ก็พูดไม่ออก ใบหน้าแดงก่ำ เธอเอ่ยตะกุกตะกักว่า “แต่... แต่ปล่อยเสี่ยวสยาใส่ชุดมีรอยปะชุนออกจากบ้านไม่ได้หรอก นั่น... นั่นจะขายขี้หน้าสกุลเจิ้งเอาได้นะคะ”
เจิ้งเฉวียนกังกำลังดื่มน้ำอยู่ ครั้นได้ยินประโยคดังกล่าวเข้าก็วางถ้วยลงบนโต๊ะ “อะไรนะ บนเสื้อผ้ามีรอยปะงั้นเหรอ?”
เจิ้งเอ๋อผ่อนลมหายใจแล้วหันมาเอ่ยกับเจิ้งเฉวียนกังที่มีทีท่าว่าสนับสนุนเธอ “ใช่ค่ะ คนอื่นมองออกในแวบเดียวเลย”
เจิ้งเฉวียนกังขมวดคิ้ว พลางเอ่ยกับคุณลุงใหญ่ “พี่ใหญ่ จะให้หลานสาวใส่ชุดแต่งงานที่มีรอยปะชุนออกมาจากบ้านไม่ได้หรอกนะ คนขาพิการแซ่หลิวอยู่กองเดียวกับพวกเรา คนที่เชิญมาส่วนใหญ่เป็คนแถวนี้ทั้งนั้น ต่างรู้กันทั้งนั้นว่าเราไม่ใช่ครอบครัวไม่มีอันจะกิน ถึงขนาดต้องให้ลูกสาวใส่เสื้อผ้าปะชุนแต่งออก คนเห็นเข้าเขาจะด่าสกุลเจิ้งว่าลำเอียงโหดร้ายกับหลานสาว”
คุณลุงใหญ่เจิ้งยังไม่ทันพูดอะไร ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งกลับแค่นเสียงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ไม่มีเงินก็คือไม่มีสิ! น้องรอง ฉันว่าถ้านายมองข้ามไม่ได้จริงๆ
ก็เอาเสื้อผ้าของเจิ้งหยวนมาให้เสี่ยวสยาของพวกเราใส่สิ พวกเธอขนาดตัวพอๆ
กันไม่ใช่เหรอ”
“ไม่สิ พี่สะใภ้ใหญ่ คนขาพิการแซ่หลิวนั่นไม่ได้ให้เงินสินสอดมากหรอกเหรอ?”
“ต้องเก็บเงินไว้ให้เทียนหู่ของฉันแต่งงานน่ะ น้องรอง นายอายุน้อยกว่าเฉวียนจู้ก็ได้อุ้มหลานแล้ว หลานชายคนโตนายยังไม่ได้แต่งเมียเลย!”
“แต่จะปล่อยเสี่ยวสยาใส่ชุดปะชุนออกไปไม่ได้นะ”
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งเอ่ยอย่างไม่นำพา “เจิ้งหยวนของนายมีชุดใหม่อยู่นี่ เอามาให้เสี่ยวสยายืมใส่สิ?”
เจิ้งเฉวียนกังพูดอะไรไม่ออก เขาสามารถตัดสินใจแทนเจิ้งหยวนได้! แต่เื่นี้จะว่าอย่างไรก็ไม่ควรต้องถึงมือครอบครัวอาอย่างเขาเตรียมชุดแต่งงานให้หลานสาวหรอกกระมัง?
เจิ้งเฉวียนกังไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ถ้าเป็ในบ้านเขาเอง ถึงจะโมโหเดือดดาลมาจากไหน เขาก็ยังใช้อำนาจของหัวหน้าครอบครัวบังคับได้ ทว่าป้าสะใภ้เจิ้งเป็พี่สะใภ้ของเขา เขาทำได้แค่ใช้คำพูดโน้มน้าวเธอเท่านั้น แต่ป้าสะใภ้เจิ้งดันเป็พวกไร้เหตุผลเสียอย่างนั้น
เจิ้งหยวนเห็นท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของพ่อ พลันหลุดหัวเราะคิกออกมา นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เธอพยายามอธิบายเหตุผลกับเขา เขาไม่ยอมฟัง มาตอนนี้ลมดันเปลี่ยนทิศ เขาอยากคุยด้วยเหตุผล กลับพบคนไร้เหตุผลเข้าเสียแล้ว?
เสียงหัวเราะดึงดูดความสนใจของเจิ้งเฉวียนกังเข้า เมื่อเจิ้งเฉวียนกังมองเห็นลูกสาว แววตาพลันสว่างวาบอย่างหาได้ยาก เขาจ้องเธอตาไม่กะพริบ แฝงนัยขอความช่วยเหลือ
แน่นอนว่าเป็ไปไม่ได้ที่คุณพ่อเธอจะพูดขอร้อง เจิ้งหยวนในฐานะลูกที่ใส่ใจพ่อแม่เวอร์ชันกลับชาติมาเกิด ก็พยายามยกโทษให้พฤติกรรมไร้เหตุผลของพ่อ เธอเดินตรงเข้าไปเอ่ยกับป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งด้วยรอยยิ้มระรื่น “ป้าสะใภ้ใหญ่คะ ป้าหาชิ่งเจียให้พี่เสี่ยวสยาค่อนข้างดีทีเดียว”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้