เ้าเมืองคนใหม่นามว่า “เฉินปั๋ว” หรือ “เฉินเหวินไห่” หลังเข้ารับตำแหน่งก็มิได้เอ่ยถึงนโยบายหรือความคิดทางการเมืองของตนทันที แต่กลับจัดงานเลี้ยง ส่งเทียบเชิญเหล่าปัญญาชนผู้มีอิทธิพลต่อสังคม ตั้งใจจะซื้อใจคนพวกนั้น ทว่ากลับต้องพบกับเื่ยาก
ก่อนหน้านี้เฉินปั๋วทำให้ขุนนางในราชสำนักขุ่นเคือง จึงถูกส่งตัวมาที่เมืองเจียงโจวอันห่างไกล เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนวู่วาม ทำสิ่งใดย่อมวางแผนก่อนเสมอ สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อมาถึง คือการเชิญประมุขของตระกูลชนชั้นสูงในท้องถิ่นมาร่วมงานเลี้ยงเพื่อฝากเนื้อฝากตัว แม้รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนทั้งหลายจะต้องรู้เื่ที่เขาทำให้คนหมู่มากในเมืองหลวงขุ่นเคือง จนถูกย้ายมาที่นี่ และงานเลี้ยงในคราวนี้เขาอาจจะถูกบรรดาแขกโจมตีก็เป็ได้ คนพวกนี้พูดจาสุภาพแต่คำพูดกลับลื่นไหลจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ผู้อื่นพูดสิ่งใดก็มักไม่เห็นด้วย หยิ่งยโสทะนงตน ซึ่งรับมือไม่ง่ายเลย
ทว่างานเลี้ยงผ่านไปไม่กี่วัน ก็มีหนังสือร้องเรียนส่งตรงมาถึงเขา
เ้าอาวาสวัดก่วงจี้ฟ้องร้องตระกูลหลิวโทษฐานรังแกผู้อื่น รุกรานทรัพย์สินของวัด ปล่อยให้หลิวเปียวทำร้ายคนงานในวัด และทำลายบ้านเรือนชาวบ้านกว่ายี่สิบหลังคาเรือน
นับว่าเป็คดีที่ร้ายแรงมาก
เฉินปั๋วรู้ดีว่าตระกูลหลิวเป็ตระกูลเก่าแก่ที่ทรงอิทธิพล มีรากฐานหยั่งลึกมานานหลายร้อยปี เป็ขุนนางเก่าในเจียงหนาน [1] ต่อมาแว่นแคว้นรวมเป็หนึ่ง ราชสำนักจึงให้สิทธิพิเศษตระกูลหลิวเพื่อปลอบขวัญเอาใจ ด้วยการยกเว้นภาษีที่ดินและแรงงาน ตระกูลหลิวจึงนับวันยิ่งมั่งคั่งขึ้น
หลังใต้หล้าตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง ผู้คนทางเหนือได้อพยพลงใต้ ทำให้เหล่าตระกูลเก่าแก่ที่อยู่มาก่อนั้แ่ยุคแคว้นอู่และแคว้นฉู่มีอำนาจมากขึ้น กลายเป็ชนชั้นพิเศษและได้รับการยกเว้นภาษีทุกประเภท
หลายร้อยปีผ่านไป ตระกูลหลิวมีรากฐานมั่นคง ใช้ชีวิตหรูหรา อาศัยในจวนใหญ่โตโอ่อ่า ลูกหลานในตระกูลวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่สนใจเล่าเรียน อ่านเขียนไม่ได้เื่ “หลิวเวย” ประมุขตระกูลหลิวเป็ผู้ริเริ่มความวุ่นวายในงานเลี้ยง รู้ตัวว่าลูกหลานตนเองไม่เอาไหน ก่อนถึงวันร่วมงานเลี้ยง จึงแอบไปนัดแนะกับจ้าวผู ทว่าแผนการก็ไม่สำเร็จ สมกับเป็แค่หุ่นฟางไร้สมอง ไม่รู้คราวนี้ไปก่อเื่อันใดอีก เป็ตระกูลอันธพาลที่ทำให้เขาปวดหัวมาก
คิดว่าวัดก่วงจี้ต่อกรง่ายนักหรือ? ในยุคาบ้านเมืองลุกเป็ไฟ ราษฎรอยู่ไม่ได้ อพยพหนีตายมาทางใต้พร้อมกับพุทธศาสนา ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ทุกเมืองมีวัด ทุกอำเภอมีศาลเ้า บางตำบลและบางหมู่บ้านก็ยังมีวัดเล็กๆ ราชวงศ์ใต้สร้างวัดสี่ร้อยแปดสิบแห่ง กล่าวคือพระพุทธศาสนารุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคนี้
วัดพุทธเผยแผ่พระธรรมคำสอน พุทธศาสนาจึงแทรกซึมเข้าสู่หมู่ขุนนางและชนชั้นสูง พุทธปรัชญาเป็หัวข้อที่ขาดไม่ได้สำหรับการถกปัญหาของเหล่าบัณฑิต เหตุเพราะนักบวชได้รับการยกเว้นภาษี เหล่าฆราวาสจึงละทางโลกทยอยออกบวชทีละคนสองคน บริจาคที่ดินสร้างวัด วัดใหญ่จึงเต็มไปด้วยนักบวช ทรงอิทธิพลไม่ต่างจากตระกูลใหญ่ที่เรืองอำนาจ แจกจ่ายข้าวปลาอาหารในเทศกาลสำคัญ เป็ที่พึ่งพิงของเหล่าราษฎรยามเกิดภัยพิบัติ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนนับถือมากมาย หากตีระฆังเรียกรวมพล เกรงว่ากำลังพลคงล้นเหลือ แข็งแกร่งทรงพลังยิ่งกว่าบรรดาตระกูลใหญ่เสียอีก
ที่แท้ก็เป็เพราะสองฝ่ายต่างมีอำนาจไม่แพ้กัน ไม่เช่นนั้นหนังสือร้องเรียนคงต้องส่งไปที่ทำการนายอำเภอก่อน ไม่มีทางมาถึงมือเ้าเมืองอย่างเฉินปั๋วโดยตรงแน่นอน
เรียกได้ว่าพุทธศาสนาเป็ที่นิยมพอๆ กับผงห้าศิลาตามความเชื่อของสำนักอู่โต่วหมี่ [2] ซึ่งมีชื่อทางการว่านิกายเทียนอี แต่หากชาวบ้านฐานะต่ำต้อย้าฝากตัวเป็ศิษย์จะต้องนำข้าวสารห้าทะนานมาไหว้อาจารย์ก่อนถึงจะรับเข้าสำนัก ชาวบ้านจึงนิยมเรียกว่าสำนักอู่โต่วหมี่ โดยมีต้นกำเนิดมาจากปรมาจารย์ไท่ชิง [3] สำนักหรู [4] และสำนักเต๋าล้วนเช่นเดียวกัน เหล่าขุนนางต่างให้ความเคารพนับถือ มีอิทธิพลไม่น้อยไปกว่าพระพุทธศาสนา ทว่าประเด็นนี้มิได้เกี่ยวอันใดกับคดีความที่เขาต้องตัดสิน จึงไม่จำเป็ต้องเอ่ยถึงในยามนี้
เฉินปั๋วถือหนังสือร้องเรียนไว้ในมือพร้อมหัวที่เริ่มใหญ่เป็สองเท่า [5] รีบส่งคนออกไปสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมและข้อเท็จจริงของคดีนี้ ทว่าข่าวคราวที่ได้กลับมานั้นยิ่งทำให้เขาเครียดกว่าเดิมเสียอีก เนื่องจากเป็คดีที่พัวพันกันมาเป็ร้อยปี
ร้อยกว่าปีที่แล้วเกิดเหตุการณ์ห้าเผ่ารุกรานจงหยวน หลายตระกูลได้อพยพมาทางใต้ รวมถึงตระกูลหลิว ไม่รู้ประมุขตระกูลหลิวในยามนั้นมีชื่อจริงว่าอย่างไร แต่เป็รู้จักกันในนาม “หลิวจั่นจื้อ” เดิมทีมีตำแหน่งเป็ถึงขุนนางฝ่ายบู๊ แต่ทว่าเขาได้ละทิ้งตำแหน่งและอพยพมาทางใต้ ก่อตั้งตระกูลเล็กๆ จ้างชาวบ้านบุกเบิกพื้นที่รกร้าง ก่อร่างสร้างตัวจนตระกูลเริ่มมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ
ตามคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ในตระกูลหลิว หลังหลิวจั่นจื้อเสียชีวิต หมอดูก็ได้คำนวณฮวงจุ้ย พบว่าทางเหนือของอำเภอนั้นเหมาะแก่การตั้งสุสาน ตระกูลหลิวจึงได้ล้อมรั้วตั้งสุสานบรรพชน และสร้างวัดเล็กๆ ไว้ด้านหน้า
ผ่านไปหลายชั่วอายุคน เ้าอาวาสวัดก็ผลัดเปลี่ยนคนแล้วคนเล่า พระพุทธศาสนาได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ วัดก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นักบวชก็มากขึ้นพื้นที่เริ่มไม่เพียงพอ ทางวัดจึงวางแผนสร้างอาคารขยายออกไปทางหลังวัด
พอตระกูลหลิวรู้เข้าก็ไม่พอใจ นั่นเป็พื้นที่สุสานบรรพชนของตระกูลหลิว จะปล่อยให้ผู้อื่นสร้างอาคารทับได้อย่างไร? ตระกูลหลิวเป็ประเภทจัดการด้วยกำลังก่อน พิธีการมาทีหลัง จึงพาคนบุกเข้าไปทุบอาคารที่กำลังสร้าง ซ่อมแซมสุสานบรรพชนและล้อมรั้วใหม่
ทางวัดที่มีอิทธิพลไม่ต่างกัน ไม่เคยพบเคยเห็นการกระทำที่อุกอาจเช่นนี้มาก่อน จึงไม่ยอมเช่นกัน พื้นที่นั้นเป็ของวัดก่วงจี้ชัดๆ เหตุไฉนถึงมากล่าวอ้างว่าเป็ของตน? สุสานบรรพชนตระกูลหลิวไยถึงมาสร้างในวัดที่อยู่ไกลถึงเพียงนี้? แถมยังไม่เห็นมาไหว้บรรพบุรุษหลายปีแล้ว ด้วยโทสะครอบงำ วัดก่วงจี้จึงรื้อสุสาน สร้างอาคารขึ้นมาแทนที่
ยุคนั้นความกตัญญูเป็คุณธรรมที่สำคัญที่สุด ความกตัญญูต่อบิดามารดานั้นยิ่งใหญ่กว่าความภักดีที่ขุนนางมีต่อกษัตริย์ ตระกูลใหญ่ถูกคนอื่นขุดหลุมศพบรรพบุรุษ ไหนเลยจะอดกลั้นโทสะเอาไว้ได้ สองฝ่ายขิงก็ราข่าก็แรง จึงเกิดการกระทบกระทั่งกันบ่อยๆ ไม่แปลกที่จะมีคนได้รับาเ็ บางคนถึงขั้นเสียชีวิต
คราวนี้วัดก่วงจี้ได้ข่าวว่าิเฉียว คนงานที่มักมาช่วยงานในวัดก่วงจี้บ่อยๆ ถูกม้าเหยียบ าเ็สาหัสเป็ตายเท่ากัน ปกติจะลอบกัด แต่คราวนี้บุตรชายคนโตตระกูลหลิวทำเื่ชั่วช้าต่อหน้าฝูงชน ไม่เพียงแต่ทำร้ายคน แต่ยังทำลายบ้านเรือนหลายสิบหลัง เป็เหตุให้หลายครอบครัวไม่มีที่อยู่อาศัย
วัดก่วงจี้จึงยื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็ธรรม เขียนความว่า “หวังว่าท่านผู้มียศมีเกียรติจะรับรู้ถึงความทุกข์ยากของประชาชน อย่าได้หวั่นเกรงต่อผู้มีอำนาจ ลงโทษผู้กระทำผิด บรรเทาทุกข์ คืนความยุติธรรมแก่ประชาชน หากปล่อยให้ประชาชนคับข้องใจ ความวุ่นวายจักบังเกิด”
ความหมายที่ซ่อนอยู่ก็คือ หากท่านเกรงกลัวต่ออำนาจของตระกูลใหญ่ เช่นนั้นประชาราษฎร์จะจัดการเอง
ผู้ใดจะคาดคิด สามวันหลังเข้ารับตำแหน่ง ประชาชนก็ขู่ว่าจะก่อฏ เดิมทีก็มีคนหมายหัวเขามากพอแล้ว หากเกิดการประท้วงขึ้นมาจริงๆ ยังจะมีทางรอดสำหรับเขาอยู่อีกหรือ อย่าว่าแต่เอาชีวิตไม่รอดเลย เกรงว่าแม้ตายไปก็ยังทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ไว้ชั่วลูกชั่วหลาน
เขาพร่ำบ่นในใจ เหตุใดถึงเป็ตระกูลหลิวอีกแล้วเล่า? ไม่ว่าเื่เล็กหรือใหญ่ล้วนไม่พ้นคนตระกูลหลิว
ผ่านไปถึงสองวัน เฉินปั๋วก็ยังคิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรกับคดีนี้ พอตัดสินใจจะโยนให้ผู้อื่น แต่จะโยนให้ผู้ใดเล่า ความสับสนฉายชัดในแววตา ที่ปรึกษาจึงแสดงความคิด “ใต้เท้าขอรับ ในยามที่ท่านมารับตำแหน่งใหม่ๆ ก็เป็ตระกูลหลิวที่มักไปเป่าหูให้ตระกูลอื่นไม่ชอบท่าน เื่ที่งานเลี้ยงท่านไม่คิดเล็กคิดน้อย เป็เพราะท่านใจกว้าง บัดนี้คดีความของพวกเขาอยู่ในมือท่าน หากท่านยังปล่อยตระกูลหลิวไปอีก พวกเขาจะคิดว่าท่านกลัวพวกเขา ต่อไปพวกเขาจะยิ่งไม่เคารพท่านนะขอรับ”
“เช่นนั้นเ้าคิดเห็นอย่างไร?”
“คดีนี้” ที่ปรึกษาหยิบหนังสือร้องเรียนขึ้นมา “ถือเป็โอกาสสร้างชื่อเสียงให้ท่านมิใช่หรือ?”
เฉินปั๋วลูบเคราครุ่นคิดก่อนพยักหน้าและเขียนใบสั่งการ “มอบหมายให้นายอำเภอซานหยางเป็ผู้ทำการไต่สวน เพื่อมิให้เกิดการเลือกที่รักมักที่ชัง”
นายอำเภอซานหยางขึ้นชื่อเื่ความเที่ยงตรง ไม่เคยรับสินบนจากตระกูลชนชั้นสูง เมื่อได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา เขาก็รีบไปพาตัวหลิวเปียวขึ้นศาล และสั่งโบยยี่สิบไม้ก่อนทำการไต่สวน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เจียงหนาน (江南) เนื่องจากแม่น้ำแยงซีไหลจากตะวันตกเฉียงใต้ไปตะวันออกเฉียงเหนือ ดินแดนเหนือใต้ถูกคั่นด้วยแม่น้ำแยงซีหรือแม่น้ำฉางเจียง ดินแดนที่อยู่ทางใต้ของแม่น้ำแยงซีจึงถูกเรียกว่า เจียงหนาน ส่วนดินแดนที่อยู่ทางเหนือเรียกว่า เจียงเป่ย
[2] ผงห้าศิลาตามความเชื่อสำนักอู่โต่วหมี่ (五石散的五斗米教) หมายถึง สำนักอู่โต่วหมี่หรือสำนักข้าวสารห้าทะนาน แยกออกมาจากนิกายเทียนอีหรือเจิ้งอี ซึ่งเป็หนึ่งในนิกายหลักของลัทธิเต๋า มีความเชื่อว่าผงห้าศิลาคือยาอายุวัฒนะ สามารถรักษาโรคและทำให้ร่างกายแข็งแรง นิยมในหมู่ปัญญาชน นักกวี และนักดนตรี
[3] ปรมาจารย์ไท่ชิง (太清祖师) หมายถึง หนึ่งในสามปรมาจารย์สูงสุดแห่งลัทธิเต๋า เป็ศาสดาของลัทธิเต๋า หรือที่รู้จักกันในชื่อเล่าจื่อ
[4] สำนักหรู (儒) หมายถึง ลัทธิขงจื๊อ
[5] หัวใหญ่เป็สองเท่า (一个头两个大) หมายถึง ปวดหัวแทบะเิ เพราะเจอปัญหาใหญ่ แก้ไขยาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้