องค์ชายแปดฉู่ซิ่นเห็นมู่หลิงจูออกตัวเช่นนี้ก็รู้สึกขัดใจเล็กน้อยแต่ก็พูดต่อ “หรือว่าท่านจะบอกว่าข้าและพี่สามสร้างเื่ขึ้นเองอย่างนั้นหรือ?”
มู่หลิงจูคิดไม่ถึงว่าฉู่ซิ่นจะมุ่งเป้ามาที่นางแทน นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปดีจึงทำได้แค่เม้มปากแน่นและคลี่ยิ้มบางอย่างเคอะเขิน “องค์ชายแปดพูดเกินไปแล้วเ้าค่ะ หลิงจูไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นเลยเ้าค่ะ”
ภายในตำหนักดอกเหมย บรรยากาศโดยรวมดูอึมครึมลงเล็กน้อย มู่อวิ๋นจิ่นเหลือบมองใบหน้าซีดเผือดของมู่หลิงจูด้วยความรู้สึกชอบใจ
“จริงสิ วันนี้ข้าก็ให้ลี่เอ๋อร์มาด้วยเช่นกัน ทำไมผ่านไปครู่ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ยังไม่มาอีก” ฉินไท่เฟยครุ่นคิด ก่อนจะขมวดคิ้ว
จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปที่มู่อวิ๋นจิ่น “จิ่นเอ๋อร์ เมื่อครู่เ้าไม่ได้เพิ่งเจอกับลี่เอ๋อร์หรอกหรือ? ทำไมถึงไม่มาด้วยกัน”
มู่อวิ๋นจิ่นสำลักอีกครา ในใจของนางลอบสบถสารพัด นางกับฉู่ลี่แทบจะเข้าหน้ากันไม่ติดแล้ว
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกสับสนว่าควรจะตอบฉินไท่เฟยว่าอย่างไรดี เสียงที่เปี่ยมด้วยความปิติของแม่นมชวีก็แทรกขึ้นมา “ไท่เฟยเพคะ องค์ชายหกมาแล้วเพคะ”
สิ้นเสียง ทุกคนต่างก็มองตามสายตาของแม่นมชวีไป
ด้านหน้าตำหนักดอกเหมย มีเงาตะคุ่มๆ เดินอย่างเชื่องช้าเข้ามา บนศีรษะของเขาสวมมงกุฎหยก ออร่าที่แสนเ็า เย่อหยิ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา
มู่อวิ๋นจิ่นมองไปยังคนที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในใจแค่นหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น อารมณ์ดีจริงนะ ยังมีหน้าไปเปลี่ยนชุดมาด้วย
อีกด้านหนึ่ง มู่หลิงจูเม้มริมฝีปาก มองดูคนที่นางกำลังนึกถึงเข้าใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของนางก็เต้นระรัวราวกับว่าจะหลุดออกมาเสียตรงนั้น
องค์ชายหกฉู่ลี่ เป็คนที่นางชื่นชมและปลาบปลื้มมาหลายปีแล้ว
ฉู่ลี่เดินเข้ามาในตำหนักดอกเหมย ก่อนจะหันไปแสดงความเคารพต่อฉินไท่เฟย จากนั้นจึงเลื่อนสายตามองไปรอบๆ
หลังจากที่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นนั่งอยู่ข้างไท่เฟย ฉู่ลี่ก็กระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะรีบเคลื่อนสายตามองไปทางอื่นทันที
มู่อวิ๋นจิ่นก็ประจวบกับสบสายตาเข้ากับฉู่ลี่พอดี ก่อนจะแสดงแววตาแห่งความขุ่นเคืองออกมาและรีบหันสายตาหนีไปทันทีเช่นกัน
สถานการณ์และกริยาท่าทางของทั้งสองคน ทุกคนต่างก็เห็นกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสายตาที่มองฉู่ลี่ของมู่อวิ๋นจิ่น และในความคิดของพวกเขาต่างก็คิดว่านี่คือการแสดงความรู้สึกที่มีความพิเศษต่อกัน
“ข้าน้อยหลิงจู คาระวะองค์ชายหกเพคะ” มู่หลิงจูจัดการอารมณ์ตัวเองก่อนจะลุกขึ้นยืน และแสดงความเคารพทักทายฉู่ลี่
เมื่อได้ยินมาว่าในตำหนักขององค์ชายหกนั้น มีดอกฝูหลง1อยู่มากมาย ดังนั้นนางจึงเลือกสวมชุดที่ตกแต่งด้วยลวดลายของดอกฝูหลง เพื่อหมายจะยึดสายตาและความสนใจขององค์ชายหกให้อยู่กับนาง
แต่ใครจะรู้ว่าฉู่ลี่เพียงแค่ตอบรับอย่างไม่ใส่ใจคำเดียว ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามองนางด้วยซ้ำ
มู่หลิงจูรู้สึกกล้ำกลืนความขมขื่นนี้ไว้ภายในใจ ตนเป็ถึงบุตรีของเสนาบดีมู่ ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีดุจดวงดาราห้อมล้อมจันทราจนเติบโต เหตุใดออกจากจวนมาจึงกลับกลายเป็ถูกเมินเฉยเช่นนี้
หรือแท้ที่จริงแล้ว การมีใบหน้าที่งดงามนั้นจะเป็สิ่งที่ดีกว่า?
“ในเมื่อทุกคนต่างพร้อมหน้ากันแล้ว งั้นก็ตามข้าไปที่สวนดอกเหมยที่ด้านหลังเถิด ข้าจัดเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้แล้ว” พูดจบฉินไท่เฟยก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังด้านหลังของตำหนักดอกเหมยด้วยการพยุงของแม่นมชวี
ทุกคนเดินตามไปที่ด้านหลังสวนดอกเหมย
มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นเป็คนสุดท้าย ขณะที่นางกำลังจะก้าวเท้าเพื่อตามไป มู่หลิงจูที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดก็หยุดฝีเท้าลง เหลือบสายตามองที่มู่อวิ๋นจิ่น “จำเอาไว้ว่าระวังคำพูดของเ้าให้ดี อย่าทำให้เสียหน้าจวนของเรา ไม่อย่างนั้นท่านพ่อจะต้องลงโทษเ้าแน่”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้า ั์ตาของนางฉายแววเ้าเล่ห์เล็กน้อย นางแสร้งทำเป็มีมารยาทและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้วน้องสี่”
“เข้าใจก็ดี” มูหลิงจูพูดอย่างเ็า ก่อนเดินไปยังสวนดอกเหมย
................................................................
ด้านในสวนดอกเหมย
ใน่แรกของฤดูใบไม้ผลิ ดอกเหมยในสวนแห่งนี้จะบานสะพรั่งสวยงาม เมื่อเข้ามาก็จะได้กลิ่นหอมอบอวลของดอกเหมยลอยมาตามลม
งานเลี้ยงของฉินไท่เฟยนั้น ตั้งอยู่ในลานที่ห้อมล้อมด้วยต้นดอกเหมย
หลังจากที่ฉินไท่เฟยนั่งลง ก็เลื่อนสายตามองไปยังทุกคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของตน ชั่วครู่หนึ่ง ความตั้งใจที่จัดงานเลี้ยงขึ้นมาในวันนี้ของฉินไท่เฟยก็ประจักษ์แก่สายตาทุกคน
“ลี่เอ๋อร์ จิ่นเอ๋อร์ มานั่งตรงนี้สิ” ฉินไท่เฟยชี้ไปที่ที่นั่งฝั่งขวาของตน ก่อนจะเอ่ยปากกับฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่น
เดิมทีทุกคนต่างคิดว่าทั้งสองคนจะต้องสงวนท่าที และออกปากคัดค้านฉินไท่เฟย แต่ใครจะคิดว่าทั้งสองคนจะเงียบไม่มีปากเสียงและยินยอมนั่งลงที่โต๊ะเล็กๆ ทางฝั่งซ้ายและขวาของฉินไท่เฟย
เช่นนี้จะไม่ให้ทุกคน มีความสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองได้อย่างไร
มู่อวิ๋นจิ่นเพิ่งนั่งลงและััได้ถึงคนทางซ้าย นางก็เหลือบมองไปทางฉู่ลี่พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย นาง้าจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ทำได้เพียงกลืนคำพูดเ่าั้กลับไป แค่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ไม่ใช่ว่าไม่เคยนั่งด้วยกันมาก่อน
ติงเสี่ยนยืนอยู่ข้างฉู่ลี่ เห็นดังนั้นก็ทำปากขมุบขมิบราวกับว่าคุ้นชินกับสถานการณ์นี้เป็อย่างดี
จากนั้น ฉินไท่เฟยก็ให้ฉู่ชิงและฉู่ซิ่นนั่งโต๊ะเดียวกัน โต๊ะที่ด้านซ้ายมือของนาง เหยียนหลิงซางบุตรีของรองหัวหน้าแห่งหน่วยกองการ และเวินหรูฮั่นบุตรีของรองหัวหน้าแห่งหน่วยดูแลผังเมืองหลวงนั่งด้วยกัน
ส่วนมู่หลิงจูก็ถูกจัดให้นั่งโต๊ะคนเดียวอย่างเดียวดาย
เห็นเช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็หลับตาลงเล็กน้อย พร้อมรอยยิ้มที่มุมปากของนางที่คลี่ออกแ่เบา
ดูเหมือนว่า ฉินไท่เฟยจะไม่ถูกใจมู่หลิงจูเท่าไรนัก วันนี้ที่เชิญนางมาก็เพื่อจะเชิญมาแกล้งยั่วโมโหนางเสียมากกว่า
หลังจากทุกคนนั่งประจำที่แล้ว บรรดาบ่าวรับใช้สาวก็พากันเดินเข้ามาในสวนดอกเหมย ในมือของพวกนางถือถาดที่มีไหสุราอยู่
“นี่คือสุราดอกเหมยที่ข้าให้คนหมักเอาไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน มีกลิ่นหอมและรสชาติหวาน วันนี้ตั้งใจจะนำมาให้พวกเ้าลองชิม จะได้ไม่มีข้อกังขาว่าข้าต้อนรับผู้เยาว์เช่นพวกเ้าได้ไม่ดีพอ” ฉินไท่เฟยคลี่ยิ้ม ก่อนจะสั่งให้คนรินสุราดอกเหมยให้ทุกคน
มู่อวิ๋นจิ่นมองสุราที่รินเต็มจอกตรงหน้า นางสูดดมกลิ่นเล็กน้อยพร้อมกับกลิ่นหอมหวานของมัน เลยอดไม่ได้ที่จะหยิบจอกสุราขึ้นจิบอย่างมีความสุข
ฉู่ลี่สังเกตเห็นผ่านหางตาของเขา ริมฝีปากกระตุกยกยิ้มเล็กน้อย แต่ในชั่วพริบตาก็กลับมามีใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกดังเดิม
“รสชาติจะดียิ่งนัก” มู่อวิ๋นจิ่นพูดเสียงแ่เบา ขณะเดียวกันก็หยิบจอกสุราขึ้นมาจิบอีกครา
“สุรานี้มีรสหวานก็จริง แต่ทำให้มึนเมาได้ง่ายนัก ฉะนั้นดื่มให้น้อยจะดีกว่า” ฉู่ลี่เห็นจอกที่ว่างเปล่าของมู่อวิ๋นจิ่น จึงพูดออกมาเช่นนั้น
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยิน ก็หันมองไปทางฉู่ลี่ “ขอบพระทัยองค์ชายหกที่เอ่ยเตือน”
“อืม” น้ำเสียงเรียบนิ่งของฉู่ลี่ที่เอ่ยออกมา ก่อนที่จะไม่พูดอะไรทำเพียงเม้มริมฝีปากแน่น
ขณะเดียวกัน มู่หลิงจูก็ถือจอกสุราไว้แน่น สายตาของนางจับจ้องไปที่มู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่ ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของนางอย่างไม่วางตา โดยเฉพาะตอนที่ฉู่ลี่เอ่ยเตือนมู่อวิ๋นจิ่น มู่หลิงจูแทบจะอยากทุบมู่อวิ๋นจิ่นให้ตายด้วยจอกสุราในมือตนใจจะขาด
กระสอบฟางไร้สมองไร้ประโยชน์เช่นนี้ เหตุใดองค์ชายหกถึงได้ถูกใจมันกัน
และเมื่อนึกถึงการหมั้นหมายระหว่างกระสอบฟางกับองค์ชายหกแล้ว มู่หลิงจูก็ยิ่งโกรธกัดฟันแน่น ในใจเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายต่อมู่อวิ๋นจิ่น
ฉินไท่เฟยที่นั่งอยู่ก็เหลือบมองสุราของเหล่าผู้น้อยเป็ครั้งคราว ก่อนจะหันสายตามาที่อีกด้าน ซึ่งเป็ตรงที่เหยียนหลิงซาง และเวินหรูฮั่นนั่งอยู่
“ซางเอ๋อร์ ฮั่นเอ๋อร์ ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว?” ฉินไท่เฟยเอ่ย
เหยียนหลิงซางและเวินหรูฮั่นผู้ซึ่งได้รับการเรียกชื่อนั้น ต่างรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง เดิมทีพวกนางคิดว่าวันนี้จะไม่มีตัวตนเสียแล้ว แต่ไท่เฟยก็ยังนึกถึงพวกนางทั้งสอง
“ทูลไท่เฟย ปีนี้ซางเอ๋อร์อายุสิบหกปีแล้วเพคะ เพิ่งเลยวัยปักปิ่นมา”
“ฮั่นเอ๋อร์เช่นกัน เพิ่งเลยวัยปักปิ่นมาได้สองเดือนแล้วเพคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินไท่เฟยก็พยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปมองทางฉู่ชิงและฉู่ซิ่น “ซางเอ๋อร์ เป็บุตรีของเหยียนชิวไฮว่แห่งหน่วยกองการ และฮั่นเอ๋อร์ เป็บุตรีของเวินฉีแห่งหน่วยดูแลผังเมืองหลวง”
ไท่เฟยพูดเช่นนี้ทำให้ฉู่ซิ่นหน้าเรื่อสี เดิมทีก็เป็คนขี้อายก็พลันเคอะเขินขึ้นมา ภาพลักษณ์องค์ชายตัวแสบเมื่อครู่ ตอนนี้ไปอยู่ไหนเสียแล้ว
ส่วนฉู่ชิงจิบสุราหนึ่งอึก แสดงท่าทางราวกับไม่ใส่ใจ ไม่แม้แต่จะชายตามองไปทางเหยียนหลิงซางและเวินหรูฮั่นสักนิด
บรรยากาศอึมครึมไปสักพัก
ั้แ่เริ่มจนถึงตอนนี้ มู่หลิงจูรู้เลยว่าฉินไท่เฟยผู้นี้จงใจที่จะเชิญนางมาร่วมงานเลี้ยง เพียงเพื่อที่จะทำให้นางรู้สึกขายหน้า
เชื้อเชิญหญิงสาวมาสี่คน แต่กลับเชิญองค์ชายมาแค่เพียงสามคน มันหมายความว่าอย่างไร?
ไม่ใช่ว่า้าที่จะทิ้งนางไว้คนเดียวงั้นหรือ!
ไม่รู้ว่ากระสอบฟางไร้ค่าอย่างมู่อวิ๋นจิ่นวางยาอะไรให้หญิงชราผู้นั้นดื่มกัน ถึงได้ทำให้นางทั้งรักและเอ็นดูได้ขนาดนี้ แถมยังยืนกรานจะจับคู่มู่อวิ๋นจิ่นกับองค์ชายหกให้ได้เสียอีก
น่าฆ่าให้ตายยิ่งนัก!
ผ้าเช็ดหน้าที่เป็ผ้าแพรของมู่หลิงจู จวนจะขาดออกจากกันเพราะนางเองที่กระชากมันไว้ ในขณะที่นางครุ่นคิดในใจว่าเมื่อกลับไปที่จวน มู่อวิ๋นจิ่นจะต้องเจอดีแน่!
“ไทเฮาเสด็จแล้ว...”
ภายในสวนดอกเหมย จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมา ก่อนจะเห็นร่างในชุดสีแดงสดสง่างามกำลังเดินเข้ามาในสวน พร้อมทั้งข้าราชบริพารมากมายที่ติดตามมาอย่างเอิกเกริก
เมื่อได้ยินว่าไทเฮาเสด็จมา มู่อวิ๋นจิ่นก็หันเหสายตาไปมองทันที ก่อนจะเห็นคนผู้หนึ่ง ผมทั้งหัวสีขาวโพลน ใบหน้าแต่งแต้มด้วยร่องริ้วรอยแห่งอายุ แต่กระนั้นก็สวมชุดที่มีสีแดงสดดูสดใส พร้อมทั้งเครื่องประดับบนศีรษะอย่างครบครัน ดูสง่างามยิ่งนัก
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นเช่นนั้น ก็พลันนึกถึงคำพูดของจื่อเซียง ที่กล่าวว่าปัจจุบันมารดาที่ให้กำเนิดฮ่องเต้จะเป็ฉินไท่เฟย แต่มีลำดับขั้นที่ต่ำกว่าไทเฮา ถึงอย่างนั้นในวังหลวงแห่งนี้ เกือบทุกคนต่างก็นับถือฉินไท่เฟยเปรียบดั่งไทเฮา
เพราะฉะนั้นไทเฮาผู้ชอบธรรมนี้ อาจจะไม่ได้ญาติดีกับฉินไท่เฟยเท่าไรนัก และการที่สวมชุดไทเฮาสีแดงสดเต็มยศขนาดนี้มาก็คงจะเพื่อแสดงอำนาจบารมีให้ฉินไท่เฟยได้รับรู้นั่นเอง
“คาระวะไทเฮา...”
“ขอคาระวะไทเฮาเพคะ...”
เมื่อต่างคนต่างคาระวะไทเฮาเสร็จแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็ยืนอยู่ที่เดิม เพิ่งจะแยกแยะทำความเข้าใจในคำเรียกของเหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างๆ เสร็จ
ก่อนหน้าที่คนเหล่านี้จะมา ทุกคนต่างก็เรียกฉินไท่เฟยอย่างเป็กันเองว่าท่านย่า แต่กับไทเฮา กลับเรียกอย่างให้ความเคารพว่า ‘ไทเฮา’
ใน่เวลานี้ มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกว่ากระแสน้ำที่มืดมิดกำลังพลุ่งพล่านขึ้น และพายุแห่งความริษยาระหว่างผู้หญิงกำลังจะเริ่มต้น
“นั่งลงเถอะ” ไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ
หลังจากดวงตาสกาวดุจหงส์มองไปรอบๆ แล้ว ก็มาสะดุดกับที่นั่งตรงกลางของฉินไท่เฟย“เซียงเซี่ยน วันนี้เ้าคงจะอารมณ์ดีสินะ นัดพวกผู้เยาว์เหล่านี้มาเพื่อตั้งตัวเป็ผู้เฒ่าใต้แสงจันทร์3 แล้วยังไม่เชิญข้ามาร่วมงานเลี้ยงนี้อีก ข้าอยู่แต่ตำหนักเฟิงิทั้งวัน เบื่อจะตายอยู่แล้ว”
“ทุกที่ในพระราชวังแห่งนี้ต่างก็อยู่ในสายตาของไทเฮา ข้าไม่ได้เชิญแต่ท่านก็เสด็จมาถึงที่นี่ด้วยตนเอง เชิญนั่งก่อนเถิด” ฉินไท่เฟยชี้ไปที่เก้าอี้ซึ่งเพิ่งจะถูกยกมาไว้ข้างนาง
เมื่อเจิ้งไทเฮาได้ยินถ้อยคำนั้น นางแค่นเสียงเย้ยหยัน ดวงตาดุจดั่งหงส์ของนางก็เหลือบมองฉินไท่เฟย จากนั้นจึงเดินสบายๆ ไปที่เก้าอี้และนั่งลง
หลังจากนั่งลงแล้วนั้น เจิ้งไทเฮาหลุบตาต่ำมอง ก่อนจะแค่นยิ้ม “เซียงเซี่ยน พวกลี่เอ๋อร์ชิงเอ๋อร์ต่างก็เป็เืเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้ หากถูกใจสตรีนางใด ก็สามารถบอกฮ่องเต้ให้จัดงานอภิเษกได้ทันที ไม่เห็นเ้าต้องมาทำอะไรเช่นนี้เลย”
“ถ้าพูดในแง่ดีก็หมายถึงเ้ามีจิตใจหวังดี แต่หากอีกแง่หนึ่ง นั่นหมายถึงว่าเ้าคิดว่าเหล่าองค์ชายแห่งอาณาจักรซีหยวน ไม่สามารถหาชายาได้ด้วยตัวเองงั้นหรือ!”
……………………………………………………………………………...................................
[1]ดอกฝูหลง หมายถึงดอกไม้ตระกูลชบา หรือดอกชบา
[2] ผู้เฒ่าใต้แสงจันทร์ หมายถึง กามเทพหรือเทพผู้บันดาลรักและการแต่งงานตามความเชื่อของชาวจีน