“ยู่เซิง เ้าเขียนคำอวยพรที่ติดหน้าประตูเป็ใช่หรือไม่?” เจินจูหยิบกระดาษแดงที่ซื้อใหม่ออกมาแล้วถาม
“คำอวยพรที่ติดหน้าประตู?” หลัวจิ่งมองกระดาษแดงในมือนาง ลังเลใจเล็กน้อย “อืม... ไม่เคยเขียนแต่น่าจะเขียนได้”
“ฮ่าๆ เช่นนั้นเ้าคิดหน่อยว่าจะเขียนกลอนคู่อะไรดี ต้องเขียนสองชุด บ้านท่านย่าของข้าทางนั้นก็ติดหนึ่งชุดด้วย ข้ากับผิงอันเอากระดาษตัดให้เสร็จก่อน รอเ้าคิดได้แล้วค่อยเขียน” เจินจูแผ่กระดาษแดงแผ่นใหญ่ออกแล้วใช้มือกะขนาดความยาวที่ต้องตัด
หลัวจิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้น จมดิ่งอยู่ในสภาพค้นหาคำอวยพรที่ติดหน้าประตู
ตัดกระดาษแดงให้ได้ขนาดที่เหมาะสมด้วยความระมัดระวังแล้ววางไว้ด้านข้าง เจินจูเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าเล็กรูปงามของหลัวจิ่งยังคงยับย่น หน้าตาท่าทางประหนึ่งบุคคลที่กำลังคิดไตร่ตรอง ทำให้อดหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ต้องคิดกลอนคู่ที่ซับซ้อนเกินไป เอาแค่เต็มไปด้วยความสุขและเป็มงคลให้เหมาะกับบรรยากาศของการฉลองปีใหม่ก็พอแล้ว เช่น เงินทองไหลมาเทมาตามกาลเวลาใบไม้ผลิมาเยือน หรือขอให้มีความสุขดุจทะเลมหาสมุทร ความมีโชคมาอยู่เคียงกาย ส่วนแผ่นคำขวัญคู่ก็ เงินทองไหลมาเทมา ฮ่าๆ” คิดถึงคำขวัญคู่คู่นี้ที่ธรรมดาและเข้าใจง่าย เห็นบ่อยที่สุดในวันฉลองปีใหม่ เจินจูมีความสุขจนหัวเราะดวงตาโค้ง
“ท่านพี่ ท่านยังแต่งคำขวัญคู่ได้อีกด้วย สุดยอดไปเลย!” ในตาผิงอันทอความเลื่อมใสศรัทธา สิ่งที่พี่สาวของเขารู้มีมากนัก
“เอ่อ… ข้าเคยได้ยินคนท่องในเมือง รู้สึกว่าน่าสนใจเลยจำมา มิใช่ข้าแต่ง” เจินจูเหงื่อแตกพลั่กเต็มใบหน้า นางแค่คนมีความรู้งูๆ ปลาๆ และเป็ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือเช่นนี้ ยังจะแต่งคำขวัญคู่อะไรขึ้นได้
คำขวัญคู่ในเมืองล้วนเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเช่นนี้? หลัวจิ่งกลุ้มอกกลุ้มใจเล็กน้อย หากเป็เช่นนี้เขาก็จำคำขวัญคู่ง่ายๆ และติดปากขึ้นได้สองสามคู่
“ผิงอัน! ยู่เซิง! เจินจู ทั้งหมดมาทานบะหมี่กัน เดินเล่นมาทั้งเช้าได้ทานแค่เกี๊ยวน้ำคนละหนึ่งถ้วยน่าจะหิวนานแล้ว” หลี่ซื่อใช้ถาดรองยกบะหมี่น้ำสี่ถ้วยด้วยสองมือเดินเข้ามา
เจินจูวางกระดาษแดงในมือลงทันทีแล้วเข้าไปช่วยยก
บะหมี่น้ำร้อนกรุ่น ้าของแต่ละถ้วยล้วนวางไข่ทอดหนึ่งฟองกับเนื้อพะโล้หนึ่งชั้นหนาๆ ผสมรสชาติพะโล้เข้มข้น บะหมี่ทั้งหมดส่งกลิ่นหอมกระตุ้นให้คนอยากทานอาหาร
“ว้าว ยังเป็บะหมี่น้ำบ้านเราที่อร่อยกว่า ที่ขายอยู่ข้างนอกทำไม่อร่อยเท่าท่านแม่เลย” ผิงอันนั่งลงข้างโต๊ะ วิจารณ์ไม่หยุดปากแล้วยิ้มหวานหนึ่งทีต่อหน้าหลี่ซื่อ ทำให้หลี่ซื่อยิ้มจนตาหยี
“รู้แล้วว่าเ้าปากหวาน รีบทานเถิด อีกเดี๋ยวจะเย็นเอา” เจินจูยิ้มแล้วเหลือบมองเขาหนึ่งที เ้าเด็กนี่ตามออกไปข้างนอกไม่กี่เที่ยว ความกล้าหาญมากขึ้นนัก นิสัยก็ยิ่งปราดเปรียวขึ้นเล็กน้อย
หลัวจิ่งทานบะหมี่ด้วยความเงียบสงบ ความอบอุ่นสบายๆ ที่ส่งกันไปมาของแม่ลูกสามคน ทำให้เขาย้อนคิดถึงความเ็ปลึกๆ ในใจ เขาหลุบเปลือกตาลงเพื่อปิดบังความรู้สึกที่ตีรวนขึ้นมา เลือกจดจ่อจิตใจให้คีบบะหมี่เข้าในปาก
บะหมี่น้ำหอมอร่อยกระจายความเศร้าสลดของหลัวจิ่งลง จะว่าไปแล้วก็น่าแปลกั้แ่เขาเด็กจนโตทานอาหารดีและเอร็ดอร่อยมาไม่น้อย แต่อาหารของครอบครัวหูกลับทำให้เขารู้สึกพิเศษมาก แม้ความพิเศษอย่างละเอียดเป็อย่างไร เขาก็ไม่สามารถกล่าวได้
หลี่ซื่อนายหญิงของบ้าน ที่จริงแล้วฝีมือการทำครัวธรรมดานัก ที่ทำได้ค่อนข้างถนัดก็เห็นจะเป็บะหมี่ แต่เดิมบะหมี่หนึ่งถ้วยธรรมดาพอเพิ่มไข่ทอดกับรสพะโล้ลงไป ระดับรสชาติก็ดีขึ้นมาหลายส่วน
ว่าไปแล้วการพัฒนาแต่ละอย่างของครอบครัวสกุลหูระยะนี้ หลัวจิ่งเห็นอยู่ในสายตามาโดยตลอด ตอนเขาเพิ่งมาถึงครอบครัวหู สภาพอาการาเ็ค่อนข้างหนัก นอนหงายอยู่ในห้องเล็กครึ่งค่อนเดือน ในระหว่างนั้นหญิงชรากับหลานสาวสกุลหูเริ่มปรับปรุงอาหารการกินและนำมันขายออกไป เพื่อจะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของครอบครัวให้ดีขึ้น
ฝีมือหญิงชราสกุลหูไม่เลวเลย อาหารที่ทำออกมาระดับเหนือชั้นกว่าหลี่ซื่ออย่างชัดเจนนัก แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่มีบทบาทที่สุดในนั้นน่าจะเป็เด็กสาวตรงหน้าที่ดวงตาหนึ่งคู่ปรากฏความสดใสออกมา
ครอบครัวสกุลหูไม่ได้หลีกเลี่ยงเขาเมื่อถึงเวลาพูดคุยกันในเื่เฉพาะเจาะจง ในลานบ้านครอบครัวหูไม่กว้าง เนื้อหาที่ทุกคนพูดคุยมักเข้ามาในหูของหลัวจิ่งบ่อยๆ
จากการพูดคุยของพวกเขา หลัวจิ่งได้ยินอย่างง่ายดาย รูปแบบอาหารส่วนใหญ่ที่สกุลหูทำล้วนเป็หูเจินจูเอ่ยออกมา ส่วนการลงมือทำอย่างละเอียดก็นำโดยหญิงชราสกุลหู
เริ่มแรกนั้นทำลูกชิ้นชนิดต่างๆ ที่ไม่เคยเห็นออกมาก่อน หลังจากนั้นก็ทำอาหารหมักที่อร่อยชนิดอื่นๆ ออกมาอีก ระยะนี้ที่ทำให้คนแปลกใจคือพะโล้ต่างๆ พะโล้ขาหมู พะโล้หัวหมู พะโล้ปอดหมู พะโล้ลิ้นหมู… ไม่มีอะไรไม่พะโล้เลยจริงๆ ที่สำคัญที่สุดคือยังทำได้อร่อยมากด้วย ไม่นึกเลยว่าทานมาระยะหนึ่งแล้วยังทานได้ไม่มีเบื่อ ตัวหลัวจิ่งเองรู้สึกประหลาดใจมากนัก
คีบเนื้อพะโล้หนึ่งชิ้นในถ้วยขึ้น ที่ทานอยู่น่าจะเป็หัวใจหมู สด หอม ชานิด เผ็ดหน่อย เคี้ยวแล้วยังมีความหนึบและนิ่ม รสชาติดีมาก แต่ไหนแต่ไรมาหลัวจิ่งไม่รู้เลยว่าเครื่องในหมูเหล่านี้ สามารถพะโล้ออกมาแล้วรสชาติจะทำให้คนน้ำลายไหลได้
บนใบหน้าหลัวจิ่งเหมือนไม่ใส่ใจแต่ข้างในแอบวิพากษ์วิจารณ์อยู่ และทานบะหมี่น้ำหมดไปอย่างเงียบๆ
“ยู่เซิง!” เสียงใสไพเราะของเด็กสาวะโเรียกชื่อของเขา “ครั้งนี้ข้าซื้อกระดาษขาวมาไม่น้อย รอให้ข้าตัดเสร็จแล้ว เ้าก็สามารถฝึกเขียนตัวอักษรก่อนได้”
“เอ่อ… ได้” หลัวจิ่งตอบรับ
วันต่อมา
หวังซื่อจับไก่สองตัวที่บ้านมาแต่เช้าตรู่
ใส่พะโล้ลงหนึ่งโถใหญ่ ไข่ไก่หนึ่งตะกร้า หูฉางกุ้ยก็ออกเดินทางไปมอบของกำนัลตอบให้กับสือหลี่เซียง
หูฉางกุ้ยเคยตามหูฉางหลินไปส่งอาหารหมักอยู่หลายครั้ง ฝีมือการขับเกวียนวัวเลียนแบบได้เหมือนอยู่มาก แม้ท่าทางของเขาจะค่อนข้างเงอะงะ ไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างเป็ธรรมชาติ แต่ก็นำของกำนัลส่งท้ายปีไปส่งได้ไม่มีปัญหาอะไร
มอบหมายงานให้หูฉางกุ้ยอย่างดี ตอนกลับมาให้เขาซื้อโถขนาดพอดีมามากหน่อย เดิมทีที่บ้านเคยซื้อโถมาสองสามใบแล้ว แต่ระยะนี้ล้วนใช้เก็บพะโล้และทำของกำนัลส่งท้ายปีให้กับผู้อื่น หนนี้ย่อมต้องซื้อสำรองไว้มากสักหน่อย
พอส่งหูฉางกุ้ยไปแล้วที่บ้านก็ยุ่งขึ้น ไม่กี่วันก็จะฉลองปีใหม่แต่ละครัวเรือนในหมู่บ้านวั้งหลินต่างพากันเริ่มทำความสะอาดที่พักอาศัย ที่พักของสกุลหูสองบ้านล้วนฉวยโอกาสที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เริ่มทำความสะอาดครั้งใหญ่ก่อนที่ปีใหม่จะมาถึง ล้างเครื่องครัวให้สะอาด เช็ดขอบหน้าต่าง ปัดฝุ่นกวาดใยแมงมุม พรมน้ำทำความสะอาดลานบ้าน... ยุ่งอยู่กับงานกันจ้าละหวั่น
บนศีรษะหลัวจิ่งโพกผ้าชิ้นสี่เหลี่ยม ในมือถือไม้กวาดยาวกำลังเงยหน้าทำความสะอาดใยแมงมุมบนมุมห้อง
สองสามวันนี้เขาไม่ต้องใช้ไม้เท้าเดินแล้ว ค่อยๆ กะเผลกขาเดินไปตามทางระยะสั้นๆ ได้
แต่เดิมหลี่ซื่อไม่อยากให้เขาเข้าร่วมขบวนล้างทำความสะอาดบ้าน แต่จะทำอย่างไรได้ตัวหลัวจิ่งเองยืนหยัดว่า้าช่วยเหลือ เลยจำใจต้องเลือกงานที่ค่อนข้างสบายๆ ให้เขา
กวาดห้องเล็กๆ ที่เขาอาศัยอยู่เองจนเสร็จ หลัวจิ่งก็รู้สึกว่าการกวาดใยแมงมุมเป็งานที่ง่ายมาก
รอกวาดโถงกลางจนเสร็จ จึงจะไปกวาดห้องฝั่งตะวันออกเป็ลำดับต่อไปลำคอที่เงยกับแขนที่ยกขึ้นสูงก็เริ่มปวดเมื่อยขึ้นมา เขาวางไม้กวาดลงและส่ายลำคอพร้อมกับนวดแขนด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
ที่แท้การทำความสะอาดง่ายๆ เช่นนี้ ก็ทำให้คนเหนื่อยเช่นกัน
“ยู่เซิง เหนื่อยแล้วล่ะสิ! พักสักเดี๋ยวก่อน ค่อยเป็ค่อยไป ต้องห้ามทำงานหนักเด็ดขาด” หลี่ซื่อใช้สองมือยกเสื้อผ้าและเครื่องใช้หนึ่งกะละมังใหญ่ที่ซักเสร็จแล้ววางไว้ข้างประตู เห็นหลัวจิ่งนวดไหล่อยู่พอดี เลยเดินมาข้างหน้าหยิบไม้กวาดยาวมาทันที กลัวมากว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะเหนื่อยล้าเข้า
“อา… อาสะใภ้หู ไม่เป็ไร ข้าไม่เหนื่อย อีกสักพักก็จะกวาดเสร็จแล้ว” หลัวจิ่งรีบคว้าไม้กวาดมา งานเล็กน้อยนี่จะทำไม่เสร็จได้อย่างไร
หลี่ซื่อมองหลัวจิ่งที่ยื้อแย่งไม้กวาดไปทำความสะอาดต่อ ในใจรักและสงสารเล็กน้อย คุณชายตัวน้อยผิวขาวผ่องเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใดจึงเร่ร่อนอยู่ข้างนอก เฮ้อ ชีวิตของครอบครัวร่ำรวยใหญ่โตก็ไม่ใช่จะราบรื่นไปเสียทุกอย่างเพียงนั้น ทั้งยังถูกตีจนร่างกายได้รับาเ็สาหัส หากไม่ใช่เป็เพราะแม่สามีผ่านไปช่วยเขาไว้ เกรงว่าตอนนี้ิญญาคงถูกทิ้งอยู่ในสุสานกองศพที่ไร้คนช่วยฝังแล้ว
ประสบกับความทุกข์ทรมานล้มลุกคลุกคลานเช่นนี้ เด็กชายตรงหน้ากลับไม่โทษฟ้าตำหนิคนแล้วเต็มใจที่จะยอมรับ แม้อุปนิสัยของเขาจะเ็าไปบ้าง ปกติไม่ชอบพูดจา แต่ในสายตาบริสุทธิ์นั้นไม่เผยอารมณ์ด้านลบออกมา
หลี่ซื่อปวดใจกับหลัวจิ่งมาก ประสบพบเจอกับสภาพยากลำบากที่สิ้นหวังมาเหมือนกัน นางเข้าใจความรู้สึกสิ้นหวังหมดแรงและไม่สามารถต้านทานโชคชะตาได้อย่างลึกซึ้ง
ยิ่งไปกว่านั้น เด็กผู้นี้ยังอายุน้อยเช่นนี้
หลี่ซื่อหันไปยิ้มให้หลัวจิ่งด้วยความสงสาร มองเขาที่เริ่มเงยศีรษะชูแขนขึ้นอีกครั้ง รู้ว่าเขาคิดอยากจะช่วยเหลือก็เลยให้เขาทำความสะอาดต่อไป อีกทั้งยังไม่ใช่งานที่หนักหนาอะไร
“เหนื่อยแล้วก็พักผ่อน งานนี้ไม่รีบร้อน” หลังกำชับหนึ่งประโยค หลี่ซื่อก็ยกเสื้อผ้าที่ซักสะอาดแล้วไปผึ่งแดด
หลัวจิ่งขานรับหนึ่งเสียง แล้วแหงนหน้าต่อสู้กับใยแมงมุมต่อไป
ลานหลังบ้าน เจินจูกวาดกิ่งไม้ใบไม้แห้งรวมไว้เป็กอง ใช้ปุ้งกี๋ใส่ให้ดีแล้วขนไปเททิ้งยังคลองที่ไม่ไกลนัก
ผิงอันยังคงอยู่ในกระท่อมกระต่าย ทำความสะอาดมูลกระต่ายเสร็จก็วางอาหารให้อีกครั้ง
ขณะที่หนึ่งครอบครัวกำลังยุ่งจนบรรยากาศคึกคักเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เสียงรถม้าก็แว่วมาจากข้างนอก
หลี่ซื่อที่ผึ่งเสื้อผ้าและเครื่องใช้เสร็จแล้วได้ยินอย่างชัดเจน เงยหน้าขึ้นมองออกไปไปทันที
กายแข็งแรงของเฉินเผิงเฟยแต่งกายด้วยชุดสีน้ำเงินสดใส สะบัดแส้ขับรถม้าเข้ามา
หลี่ซื่อกังวลเล็กน้อย รีบไปหลังบ้านะโเรียกเจินจู
พร้อมกับเสียงเห่า “บ๊อกๆ” ของเสี่ยวหวง รถม้าของเฉินเผิงเฟยหยุดลงที่หน้าประตูลานบ้าน
ยังไม่รอให้เจินจูได้เดินเข้ามาทักทายใกล้ๆ เฉินเผิงเฟยก็ผูกรถม้าไว้หน้าลานโดยปราศจากพิธีรีตองความยุ่งยากใดๆ เปิดประตูเกวียนแล้วขนย้ายสิ่งของเดินเข้ามาด้านใน
“เสี่ยวหวง มานี่! ห้ามเห่าเสียงดังใส่แขก” น้ำเสียงตำหนิไพเราะดังขึ้น เสี่ยวหวงหยุดเห่าเสียงดังอย่างฉลาดปราดเปรื่อง วิ่งกลับมาข้างขาเจินจู
“ทักทายแม่นางหู ฮ่าๆ… ข้ามาอีกแล้ว ครั้งนี้นำของกำนัลส่งท้ายปีตอบกลับของคุณชายมามอบให้โดยเฉพาะ” เฉินเผิงเฟยเสียงดังก้องกังวาน ยิ้มแล้วทักทายขึ้น
“เมื่อวานยังบอกอยู่เลยว่าเจอกันปีหน้า วันนี้องครักษ์เฉินวิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาอีกแล้วหรือเ้าคะ!” เจินจูหัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียงแล้วกล่าวหยอกเย้า
“ฮ่าๆ ไม่ลำบาก เส้นทางั้แ่เมืองหลวงถึงเมืองไท่ผิงไกลเช่นนี้ล้วนผ่านมาหมดแล้ว มาถึงหมู่บ้านพวกเ้าแค่นี้ไม่นับว่าลำบากอะไร” เฉินเผิงเฟยยิ้มแล้วตอบ สองมือถือกล่องของขวัญเล็กๆ ไม่กี่กล่องท่าทางไม่รีบร้อน “คุณชายของพวกเราบอกว่า ขอบคุณครอบครัวเ้าที่ตั้งใจนำของกำนัลส่งท้ายปีไปส่งให้ถึงในเมือง เดิมทีคุณชายอยากมามอบของขวัญตอบด้วยตนเอง น่าเสียดายที่สองวันก่อนไม่ระวังโดนอากาศหนาวและลมเย็นเข้า จึงป่วยเล็กน้อยยังไม่หายดี ตอนนี้ไม่เหมาะจะออกเดินทาง ครั้งนี้เลยมีเพียงข้าที่มาเอง”
“คุณชายพวกท่านป่วยอีกแล้วหรือเ้าคะ? ครั้งก่อนดูเหมือนจะดีขึ้นหน่อยแล้วนี่!” พื้นฐานร่างกายกู้อู่แย่เกินไปแล้ว
“ได้รับความหนาวเย็นนิดหน่อย ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก” ในความเป็จริงหากเทียบกับเมื่อก่อนที่พอได้รับอากาศหนาวเย็นเล็กน้อยก็จะป่วยหนัก แต่ปัจจุบันนี้เป็เพียงอาการไข้เล็กน้อยนอนป่วยไม่กี่วัน สภาพเช่นนี้คือดีขึ้นมากแล้ว
ตอนเพิ่งประสบกับลมหนาวเข้า ทุกคนล้วนกังวลมาก เมื่อก่อนเป็เพราะลมหนาวจึงทำให้ป่วยหนักอยู่หลายครั้ง
ครั้งนี้ทุกคนล้วนตระเตรียมทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง กู้ฉีมีเพียงไอหนัก วิงเวียนเล็กน้อย หายใจไม่ค่อยออก แต่ปัญหาอื่นกลับไม่ใหญ่
การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเช่นนี้ทำให้คนแปลกใจอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังรอให้เฉินเผิงเฟยขนย้ายข้าวของลงมา... ไปๆ กลับๆ ห้าหกรอบ หางตาเจินจูกระตุกอย่างหยุดไม่อยู่เล็กน้อย
ต้องเวอร์ขนาดนี้เลยหรือ! ของกำนัลส่งท้ายปีที่กองราวกับูเานี่ จะให้พวกนางครอบครัวเกษตรกรชนชั้นธรรมดาเช่นนี้รับไว้อย่างมีความสุขได้อย่างไร
ในตะกร้าไผ่สานสองใบใหญ่ใส่ผักสดกับผิงกั่วและผลส้มตามฤดูกาล ในตะกร้าไม้ไผ่สองสามใบแยกกันใส่เหอเถา พุทราจีน เม็ดเกาลัด... ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดลายดอกไม้สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน สีเขียว สีส้ม และสีม่วงสว่างสดใสหกพับ แล้วยังมีห่อกับกล่องของขวัญใหญ่หลายห่อปิดไว้อย่างดี เจินจูไม่ได้ดูละเอียด คาดว่าไม่ใช่อาหารแห้งก็เป็ผลไม้เชื่อม
หลัวจิ่งที่อยู่ด้านข้างเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจ แล้วแหงนคอที่ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทำความสะอาดใยแมงมุมที่มุมห้องต่อไป
การตอบสนองของหลัวจิ่ง เจินจูก็แอบเห็นอยู่ คิดๆ ไปแล้วข้าวของเหล่านี้สำหรับเขาแล้วคงไม่รู้สึกว่ามีค่ามากเท่าไร
นั่นก็ใช่... ตามบรรทัดฐานของตระกูลครอบครัวสูงศักดิ์ร่ำรวย เป็ไปได้ที่ของเหล่านี้ล้วนเป็ของมาตรฐานต่ำสุด
เจินจูยิ้มไม่ได้ขัดแย้งในใจอีก แล้วมองสีท้องฟ้า “องครักษ์เฉินหากงานไม่ยุ่งล่ะก็ ทานอาหารกลางวันแล้วค่อยกลับไปเถิด?”