ภายในรถม้าเงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จ้าวิจูจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงรอยหยอกเย้า “พี่หญิงตั้งใจแต่งตัวมาเทียบข้าหรือ” ครั้งแรกที่เห็นจ้าวเหม่ยหลินสวมชุดสีเดียวกับตนเอง จ้าวิจูก็ยิ่งรู้สึกขัดตาอย่างบอกไม่ถูก
จ้าวเหม่ยหลินมัวครุ่นคิดถึงเื่ที่ตนลืมบอกกงเจวี๋ยในวันก่อน ถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำถามนั้น “ข้าอย่างนั้นหรือ ไยจะกล้าเทียบความงามของน้องิจูได้” นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ
“หึ” จ้าวิจูกวาดตามองจ้าวเหม่ยหลินั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า พอเห็นปิ่นทองของตนเองเสียบอยู่บนมวยผมของพี่หญิงก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ เพราะปิ่นนั้นทำให้อีกฝ่ายดูโดดเด่นเกินหน้า
“ข้าขอปิ่นคืน” จ้าวิจูกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็า
จ้าวเหม่ยหลินไม่เอ่ยคำใด เพียงถอดปิ่นออกจากผมแล้วยื่นคืนให้ พร้อมกับปลดเสื้อคลุมของฮูหยินรองเกาออกส่งคืนไปด้วย ในเมื่อไม่ไว้ใจสองแม่ลูกนี้แต่แรก นางก็ไม่ควรจะเก็บสิ่งใดไว้กับตัวทั้งนั้น
จ้าวิจูรับของทั้งหมดคืนด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับแฝงไปด้วยความขุ่นเคืองชัดเจน
จ้าวเหม่ยหลินเบือนหน้ามองออกไปนอกม่านรถ ไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดอีก ส่วนจ้าวิจูก็กอดอกเบือนหน้าไปอีกทาง บรรยากาศในรถม้าจึงเงียบงันลงไปอีกครั้ง
ทว่าเมื่อจ้าวเหม่ยหลินรับรู้ได้ถึงเสียงล้อไม้บดไปบนทางหินกรวด รถม้าเริ่มเปลี่ยนจังหวะไปจากเดิม นางก็พลันรู้สึกผิดสังเกตจึงหันไปถามจ้าวิจู “เ้าเคยไปจวนตระกูลหยางหรือไม่?”
จ้าวิจูเงยหน้าขึ้นตอบด้วยท่าทีมั่นใจ “แน่นอน ข้าเคยไปหลายครั้ง จวนตระกูลหยางเป็จวนของขุนนางฝ่ายบุ๋น อีกทั้งพี่ซ่งจื่อเองก็เคยร่ำเรียนอยู่ที่นั่น ส่วนข้ากับคุณหนูหยางก็เป็สหายสนิทกัน”
“จวนหยางอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่?” จ้าวเหม่ยหลินเอ่ยถามต่อ นางััได้ถึงความผิดปกติในบรรยากาศโดยรอบ
จ้าวิจูพยักหน้าตอบแววตาแฝงความสงสัย “อยู่ในเมืองหลวงนั่นละ ทำไมหรือ?”
จ้าวเหม่ยหลินค่อยๆ ยกชายม่านรถม้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นว่าข้างนอกล้วนมีแต่ต้นไม้ขึ้นแน่นขนัด
จ้าวเหม่ยหลินจึงหันกลับมามองน้องสาวต่างมารดาอีกครั้งแล้วเอ่ยถาม “เวลานี้…ควรจะถึงจวนหยางแล้วหรือไม่?”
จ้าวิจูพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายปลอบใจตนเอง “คนขับรถม้าคนใหม่ อาจหลงทางอยู่กระมัง…”
“นี่…เ้ามัวทำอะไรหลงทางอยู่หรือ!” จ้าวิจูะโถามคนขับรถม้าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ถังซื่อที่กำลังบังคับรถม้าแล่นลึกเข้าไปในป่าเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติคล้ายคนข้างในจะเริ่มรู้ตัวแล้ว เขาจึงชะลอรถม้าให้หยุดลง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบผ่านม่าน “ขออภัยขอรับ… ข้าคงหลงทาง”
“กลับจวน ข้าจะให้ท่านแม่สั่งโบ..” จ้าวิจูยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค สายตาก็พบเห็นวัตถุทรงกลมประหลาดกลิ้งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า
“นั่นคืออะไร” สองเสียงพี่น้องเอ่ยขึ้นประสานกัน เพียงครู่เดียวควันสีจางก็พวยพุ่งออกมาจากวัตถุนั้น
จ้าวเหม่ยหลินและจ้าวิจูใจนตั้งตัวไม่ทัน ยังไม่ทันได้ยกมือปิดจมูก ร่างทั้งสองก็ทรุดลงหมดสติ
ถังซื่อปิดจมูกด้วยผ้าดำแ่า ก่อนรีบรุดไปเปิดประตูรถม้า เมื่อเห็นร่างสองสาวหมดสติแล้วจึงส่งสัญญาณให้ชายสองคนที่ซุ่มอยู่ไม่ไกลรีบเข้ามาช่วยยกตัวพวกนางลงจากรถ
“พี่ แล้วคนไหนคือคุณหนูใหญ่กันแน่” ชายคนหนึ่งเอ่ยถาม พลางกวาดตามองสองร่างที่หมดสติสลับไปมาอย่างลังเล
ถังซื่อขมวดคิ้ว ก่อนชี้นิ้วไปยังร่างสวมชุดสีเหลืองอ่อนมีผ้าคลุมพาดอยู่ “ก็คนที่ใส่ชุดเหลืองนั่นแหละ ฮูหยินรองบอกว่าคุณหนูใหญ่จะมีผ้าคลุมติดตัว… ข้าก็จำได้แค่นั้น”
ชายอีกคนมองอีกร่างในรถม้า “แล้วอีกคนล่ะพี่ เราจะทำยังไง”
ถังซื่อปรายตามองหญิงสาวอีกคนที่ยังคงหมดสติ นอนนิ่ง “ปล่อยไว้ที่นี่ รอคนมาเจอคิดว่าโดนโจรปล้นแล้วหนีไป” เขากล่าวเสียงเรียบ “อย่าให้ใครตามรอยเราเจอ เข้าใจหรือไม่”
ชายทั้งสองพยักหน้ารับไม่เอ่ยอะไรต่อ ก่อนจะหันไปแบกร่างหญิงสาวในชุดสีเหลืองอ่อนไปยังรถม้าอีกคันที่จอดซ่อนอยู่ในพุ่มไม้
ผ่านไปไม่นานนัก ดวงตาของจ้าวเหม่ยหลินก็เริ่มกระตุกเล็กน้อย เปลือกตากระพริบถี่ ก่อนดวงตาของจ้าวเหม่ยหลินจะค่อยๆลืมขึ้น
“เื่บ้าอะไรอีกเนี่ย” หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น ร่างกายหนักอึ้งความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอัดแน่นอยู่ในอกจนหายใจไม่ทั่วท้อง
“ิจู” ร่างเล็กเอ่ยเรียกชื่อน้องสาว แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ
จ้าวเหม่ยหลินจึงพยายามยันตัวลุกขึ้น มือควานหาผ้าม่านรถม้าแล้วเลิกมันขึ้น น้องสาวต่างมารดาของนางได้หายตัวไปแล้ว
แต่เมื่อละสายตาจากต้นไม้รอบตัว แล้วมองไปยังม้าที่ถูกผูกไว้หน้ารถม้า จ้าวเหม่ยหลินก็ถอนหายใจออกมาแ่เบา “ข้าขี่ม้าไม่เป็ แล้วจะกลับไปบอกคนที่จวนได้ยังไงกัน…” ร่างเล็กพึมพำเสียงเบา
ทว่าเมื่อก้มลงมองพื้นกลับพบรอยล้อบนทางกรวดยังคงปรากฏชัดเจน ร่างเล็กจึงรวบชายกระโปรงขึ้น จากนั้นก็ตัดสินใจเดินย้อนรอยล้อกลับไปตามเส้นทางเดิม