เรือนชิงหรู ถังชิงหรูนอนอยู่บนเก้าอี้ ด้านหน้ามีหนังสือวางอยู่เล่มหนึ่ง มือของนางกำลังพลิกหนังสืออ่าน
พอได้ยินเสียงของหรูเยียน ก็เงยหน้าขึ้น ด้วยตำแหน่งที่หรูเยียนยืนอยู่ นางเงยหน้าขึ้นมองค่อนข้างลำบาก จึงลุกขึ้นมานั่ง ขยี้ตาอย่างเกียจคร้าน หาวออกมาทีหนึ่งก่อนเอ่ยถาม "เมื่อครู่เ้าบอกว่าใครมาหาข้านะ"
หรูเยียนสวมอาภรณ์สีเขียว ในมือถือผ้าเช็ดหน้า นางเล่นผ้าเช็ดหน้าในมือพลางเอ่ยว่า "คุณหนูหวังเ้าค่ะ"
"คุณหนูหวังไหน?" ถังชิงหรูมุ่นคิ้วขมวด "ั้แ่มาอยู่ที่นี่ข้ารู้จักคนไม่น้อย คนแซ่หวังก็มีตั้งเยอะ แต่ก็เป็ลูกค้าที่ร้านทั้งนั้น แล้วจะมีคุณหนูหวังมาหาถึงที่นี่ได้อย่างไร"
"นางบอกว่า... นำเงินมาคืนให้แม่นางเ้าค่ะ" หรูเยียนครุ่นคิดก่อนถ่ายทอดคำพูดของคุณหนูหวังให้ถังชิงหรู
ถังชิงหรูลุกขึ้นยืน สีหน้าเผยความประหลาดใจ "เมื่อวานยังได้ยินว่านางถูกขังคุก นี่ถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ แต่สถานการณ์บ้านนางเป็เช่นนั้น แล้วจะมีเงินมาคืนข้าได้อย่างไร ข้าไปต้องไปดูเสียหน่อย"
ตระกูลหวังเป็สกุลใหญ่ บุตรสาวสกุลหวังมีมากมาย แต่คนสกุลหวังที่เอาเงินมาคืนได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
เมื่อวานหลังจากได้ฟังเื่ราวของคุณหนูหวังผู้นี้ นางพยายามหยั่งเชิงเมิ่งหลิงดู แต่เห็นเขาไม่นำพา จึงยอมแพ้แค่นั้น อย่างไรเสียตนเองก็ไม่ใช่เทพยดา ช่วยเหลือไม่ได้ทุกคน ไหนเลยจะคาดคิดว่าวันนี้จะได้ยินว่าคุณหนูหวังออกจากคุกมาแล้ว
ยามเห็นคุณหนูหวังตัวจริงตามคำบอกเล่า ถังชิงหรูยังอุทานว่า 'น้องหญิงหลินคนงาม'[1] อย่างอดไม่ได้
คุณหนูหวังผู้นี้ท่วงท่าแช่มช้อย เอวบางร่างน้อยแลดูนุ่มนวลอ่อนหวาน หน้าตาแม้ไม่ถึงกับงามเพริศพริ้ง แต่ให้ความรู้สึกน่าเวทนาสงสาร ยามนี้นางยืนอยู่ตรงนั้น ข้างกายมีสาวใช้ติดตามสองคน ใบหน้ารักษารอยยิ้มที่แลดูเหมาะเจาะ
ยามคุณหนูหวังเงยหน้าขึ้น ดวงเนตรคู่นั้นยิ่งทำให้นางรู้สึกชอบ
ั์ตาที่มีทั้งความดื้อดึง มุ่งมั่น มิย่อท้อต่อชะตากรรม
โบราณกล่าวว่า ดวงตาเป็หน้าต่างของหัวใจ อุปนิสัยของคนคนหนึ่งเป็เช่นไร จะเผยออกมาจากดวงตา
สตรีผู้นี้ภายนอกนุ่มนวลอ่อนโยน แต่ภายในเป็คนเข้มแข็งยิ่ง
"คุณหนูหวัง" ถังชิงหรูเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไป
"แม่นาง" คุณหนูหวังเห็นถังชิงหรูก็ยอบกายน้อยๆ "่นี้ข้าสร้างปัญหาให้กับแม่นางแล้ว"
"คุณหนูหวังกล่าวถึงปัญหาอันใด ข้าไม่เห็นเข้าใจ"
"ข้อแรก หวังซีนำอาภรณ์มาจากร้านของแม่นางแต่กลับมิได้ชำระเงินทันที เท่ากับตนเองผิดสัญญากับพวกท่าน หวังซีมาเพื่อขอขมาโดยเฉพาะ หวังว่าแม่นางจะให้อภัย แม่นางไปที่บ้านของหวังซีมา คิดว่าคงจะทราบเื่ของข้าแล้ว ข้ามิได้ตั้งใจจะผิดสัญญา แต่ว่า... ชีวิตช่างอาภัพ ข้อสอง หวังซีได้ออกจากคุกใหญ่แห่งนั้นก็ต้องขอบคุณแม่นางมาก หากไม่เพราะท่านไปขอร้องใต้เท้าเมิ่ง หวังซีคงไม่ได้ออกมาจากสถานที่แห่งนั้น"
"หืม?" ถังชิงหรูขัดจังหวะการพูดของหวังซีชั่วขณะ เอ่ยถามอย่างนึกกังขา "ความหมายของเ้าก็คือ... เพราะข้าช่วยขอร้อง ใต้เท้าเมิ่งถึงปล่อยเ้าออกมา?"
"ถูกต้อง หรือว่ามิใช่เล่า" หวังซีมองถังชิงหรูด้วยความซาบซึ้งตื้นตัน "ใต้เท้าเมิ่งบอกว่า หากไม่เพราะแม่นางมาขอร้อง เขาคงไม่ปล่อยข้าออกมา ใต้เท้าเมิ่งยังบอกว่า... รู้สึกสงสารที่สตรีอย่างข้าต้องมาประสบชะตากรรมแบบนี้ เขายินดีรับข้าเป็อนุภรรยา ดังนั้น แม่นางคือดาวนำโชคของข้าโดยแท้ หากไม่มีแม่นาง แม้ว่าไม่ต้องติดคุกชั่วชีวิต แต่หลังจากออกมาแล้วก็ไม่มีหน้าไปเจอผู้คนได้อีกแล้ว สุดท้ายก็คงต้องแขวนคอตาย หรือไม่ก็ต้องไปบวชที่สำนักชี ทว่าตอนนี้ใต้เท้าเมิ่งกลับยินดีรับข้าเป็อนุ"
ถังชิงหรูมองหวังซีด้วยสีหน้าตกตะลึง
เส้นประสาทเส้นไหนของเมิ่งหลิงเกิดผิดปรกติหรือไม่ ปล่อยหวังซีออกจากคุกยังพอเข้าใจได้ว่าเขาอาจจะอารมณ์ดีจึงยอมปล่อยสตรีอ่อนแอคนหนึ่งออกมา แต่ไม่น่าจะถึงขั้นรับหวังซีเป็อนุภรรยาหรอกกระมัง ต้องตานางรึ? เช่นนั้นก็อย่าดึงตนเองเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยสิ นางไม่อยากแบกหม้อใบนี้เสียหน่อย[2]
"เขาบอกเ้าด้วยตนเองเลยหรือ ว่าสงสารที่เ้าต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ และตัดสินใจรับเ้าเป็อนุภรรยา?" ถังชิงหรูซักไซ้อีกครั้ง
"หามิได้" ดวงหน้าน้อยของหวังซีแดงซ่าน เอ่ยด้วยท่าทางเอียงอาย "พ่อบ้านข้างกายเขาเป็คนพูด พ่อบ้านบอกว่านี่เป็ความประสงค์ของใต้เท้าเมิ่ง เขาไม่กล้าเอ่ยวาจาส่งเดช"
ถังชิงหรูมุมปากกระตุก ยิ้มอย่างจนใจ
หวังซีพูดถูก พ่อบ้านไม่กล้าพูดส่งเดชอยู่แล้ว แต่ใครช่วยบอกนางทีเถอะ ว่าทำไมเมิ่งหลิงถึงรับหวังซีเป็อนุภรรยา
เป็เพราะตนเองไปขอร้องจริงหรือ
ถ้าเป็เช่นนี้ หากต่อไปคุณหนูหวังเกิดมีอันเป็ไปขึ้นมา นางมิต้องเป็คนผิดหรอกรึ
นอกจากนี้ หวังซีจะรู้ตัวหรือไม่ว่าตนเองต้องตกไปอยู่ในอุ้งมือมารร้าย ไฉนใบหน้าของนางถึงดูเขินอายเยี่ยงนั้น
หรือว่านางไม่เคยได้ยินเื่อื้อฉาวของเมิ่งหลิงมาก่อนเลย คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกกระมัง เมืองชิ่งถึงจะกว้างใหญ่ แต่ปรกติเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เพียงไม่กี่ชั่วยามข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองแล้ว บัดนี้แม้แต่เด็กสามขวบยังรู้เลยว่าเ้าเมืองคนใหม่ของพวกเขาเป็คนโเี้อำมหิตแค่ไหน
"คนทางบ้านของญาติผู้พี่เ้า... คงไม่มาหาเื่เ้าอีกกระมัง" ถังชิงหรูเอ่ย
"อื้ม" หวังซีหลุบตาลง ขณะเดียวกันประกายเยียบเย็นก็วาบผ่านดวงตา "ข้าไม่แค้นเคืองญาติผู้พี่ นางเป็สตรีที่น่าสงสาร หลายปีมานี้หากไม่เพราะนาง ข้าคงอดตายไปนานแล้ว ข้าเป็ลูกกำพร้า ไม่มีครอบครัวคุ้มหลัง หากมิได้นางคอยดูแล เกรงว่าคงถูกผู้อื่นกดขี่ข่มเหงจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกไปแล้ว บุรุษหน้าเนื้อใจเสือผู้นั้นตบตีญาติผู้พี่ทุกวันไม่ว่า ยังคิดจะข่มเหงข้าอีกด้วย"
"ได้ยินว่าตอนนี้ยังสลบไม่ฟื้นเลยรึ" ถังชิงหรูมองหวังซีด้วยความเห็นอกเห็นใจ แต่กลับไม่ช่วยนางออกความคิดเห็น หากนาง้าเป็อนุภรรยาของเมิ่งหลิงจริงๆ ต่อไปคิดจะจัดการกับผู้ใด ก็แค่เป่าลมข้างหมอนของเมิ่งหลิงเท่านั้น จะว่าไป ตนเองยังต้องรักษามิตรภาพกับนางไว้ ต่อไปภายหน้าหากมีเื่อันใด จะได้ให้นางช่วยเหลือ
"นั่นเป็กรรมที่เขาสมควรได้รับ" หวังซีกล่าวด้วยน้ำตาคลอ "ข้าจะทวงหนี้คืนอย่างสาสม"
หลังส่งหวังซีกลับไปแล้ว ถังชิงหรูก็มองตั๋วเงินในมือ
หวังซีบอกว่านี่เป็สินสอดทองหมั้นที่เมิ่งหลิงมอบให้
สตรียุคโบราณช่างน่าเศร้ายิ่งนัก ไม่เคยมีชะตาชีวิตเป็ของตนเอง ส่วนตัวนางนับวันก็ยิ่งมิอาจทำตามที่ใจปรารถนา
ไม่ได้ นางจะปล่อยให้เป็เช่นนี้มิได้ นางมิอาจพึงพอใจกับความเป็อยู่ตอนนี้ นกที่ถูกขังอยู่ในกรงแม้จะมีความสุขสบายแต่นับว่าเป็อันใด?
"เสี่ยวอี" ถังชิงหรูแอบเรียกเสี่ยวอี
เสี่ยวอีมาปรากฏตัวต่อหน้านาง
สุนัขตัวน้อยที่เพิ่งหย่านมจ้องมองนางตาแป๋ว ทว่าภายในกลับแฝงแวววิตกกังวลซึ่งมีเพียงนางเท่านั้นที่เข้าใจ
ถังชิงหรูอุ้มเสี่ยวอีขึ้นมา ลูบขนของมันอย่างอ่อนโยน
นี่เป็ครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าดีที่เสี่ยวอีเปลี่ยนร่างเป็สัตว์เลี้ยง อย่างน้อยนางก็ได้เห็น และสามารถลูบััตัวมันอย่างนี้ได้ด้วย
"เสี่ยวอี จิตพิสัยจรรยาแพทย์ของข้ามีเท่าไรแล้ว" ถังชิงหรูถาม
"่นี้นายหญิงช่วยรักษาโรคภายในของสตรีให้ฮูหยินเ่าั้ ช่วยให้พวกนางมีใบหน้าที่งดงาม และมีรูปร่างที่ดีขึ้น สิ่งเ่าั้ล้วนเปลี่ยนมาเป็จิตพิสัยจรรยาแพทย์ได้ทั้งสิ้น ตอนนี้มีสองแสนแต้มแล้วครับ" เสี่ยวอีบอก
"เยอะขนาดนี้เชียว" ถังชิงหรูนึกประหลาดใจ คราก่อนที่ถาม เสี่ยวอียังบอกว่ามีแค่ไม่กี่หมื่นเอง
"่นี้นายหญิงไม่ค่อยได้ใช้เทคโนโลยีของศตวรรษที่สามสิบเอ็ด ดังนั้นแต้มจิตพิสัยจรรยาแพทย์ที่แลกมาได้จึงสูงขึ้นมาก" เสี่ยวอีให้คำตอบ
"อื้ม งั้นช่วยแลกสุดยอดเคล็ดวิชาเล่มนั้นให้ฉันทีสิ ฉันอยากมีวรยุทธ์ติดตัวบ้าง" ถังชิงหรูกล่าว "ฉันรู้ว่ามีนายคอยปกป้อง แต่นายเองก็ประสบปัญหาพลังงานหมดอยู่บ่อยครั้ง หากฉันพบเจออันตรายใน่เวลานั้นพอดี ก็มีแต่ต้องรอความตาย"
"ได้ครับ" ครั้งนี้เสี่ยวอีตอบรับอย่างรวดเร็ว
ขณะกะพริบตา ก็มีตำราฝึกยุทธ์ชุดหนึ่งผุดขึ้นในสมอง
ของสิ่งนั้นฝังอยู่ในสมองของนาง ไม่ต้องกังวลว่าจะลืม นอกจากนี้นางยังสามารถฝึกฝนเองได้โดยตรงอีกด้วย
ตำราฝึกยุทธ์ชุดนั้นมีชื่อว่า ‘เคล็ดวิชาจิตน้ำแข็ง’
"เคล็ดวิชาจิตน้ำแข็ง?" ถังชิงหรูพึมพำกันตนเอง "ไฉนถึงรู้สึกว่าเหมือนเคล็ดวิชากระบี่ดรุณีหยกเลยเล่า"
เรือนเฟิ่งเซี่ยว[3]เป็ชื่อเรือนของเฟิ่งหยาง เดิมทีไม่ใช้ชื่อนี้ แต่พอถังชิงหรูเปลี่ยนชื่อเรือนมาเป็เรือนชิงหรูได้ไม่นาน เขาก็เปลี่ยนชื่อบ้าง ดังนั้นจึงกลายมาเป็เรือนเฟิ่งเซี่ยว
ตอนนั้นถังชิงหรูยังหัวเราะแดกดันเขาว่าชื่อนี้แลดูทะนงตนเกินไป เห็นแวบแรกก็รู้ว่าเป็บุรุษที่ชอบคิดว่าตนเองถูกเสมอ
เฟิ่งหยางกับพ่อบ้านสนทนากันอยู่ในห้องหนังสือสองชั่วยามแล้ว หลังจากปรึกษาพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านก็เดินออกมา
เฟิ่งหยางยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองดอกท้อโปรยปรายในสวน
มีเสียงตวัดกระบี่ดังมาจากเรือนที่อยู่ติดกัน เขารู้ว่าคนที่กำลังฝึกซ้อมอยู่หาใช่หลินหลันเซิง แต่เป็สตรีโง่งมถังชิงหรู
สตรีผู้นี้อายุอานามสิบกว่าปี กระดูกย่อมปิดหมดแล้ว เพิ่งจะมาฉุกคิดอยากฝึกฝนวรยุทธ์ น่าแปลกจริงๆ
"เฟิ่งอี" เฟิ่งหยางเอ่ยเสียงเรียบ
คนผู้หนึ่งะโจากหลังคาลงมาอยู่ข้างกายเขา ก่อนมองเขาอย่างสงบนิ่ง
"นั่นคือเพลงกระบี่อันใด เคยเห็นหรือไม่" เฟิ่งหยางเอ่ยถาม
เฟิ่งอีมองไปยังเรือนที่อยู่ไม่ไกล ก่อนตอบเสียงเบา "ข้าน้อยไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ใน่สองสามวันมานี้ ข้าน้อยทำการตรวจสอบทุกสำนักในยุทธภพก็ไม่พบว่ามีเพลงกระบี่นี้ นี่เป็วิชากระบี่ที่เหมาะสมกับสตรี นุ่มนวลและสง่างาม แม้ว่าแม่นางถังจะฝึกยุทธ์ช้าไปเสียหน่อย แต่ก็เรียนรู้เร็วยิ่ง เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือน ก็เริ่มมีกำลังภายในขึ้นมาบ้างแล้ว"
"สตรีผู้นั้น... มีที่มาอย่างไรกันแน่ ไฉนถึงได้น่าอัศจรรย์เช่นนี้ นางมักจะเป็ในสิ่งที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน" เฟิ่งหยางขมวดคิ้วเอ่ยวาจา "ตอนนั้นที่ตรวจสอบข้อมูลของนาง บอกว่านางเป็สาวใช้ของสกุลน่าหลัน ต่อมาก็รู้จักกับเฉินิ ดูจากเพลานี้ เื่ราวคงมิได้เรียบง่ายเช่นนั้น หากนางเป็สาวใช้แล้วมีความสามารถขนาดนี้ ใต้หล้านี้ก็คงเป็ใต้หล้าของสาวใช้ไปแล้ว"
"นายท่านสอบถามนางด้วยตนเองสิขอรับ บางทีนางอาจยอมบอกก็ได้" เฟิ่งอีกล่าวเรียบๆ
"ถ้าเป็เ้า เ้าจะบอกข้าหรือไม่" เฟิ่งหยางย้อนถาม "ช่างเถอะ จับตาดูนางดีๆ หากมีอะไรก็ให้มารายงานข้า"
"หลิงจื้อ..." ปรกติหลิงจื้อมีหน้าที่คุ้มครองถังชิงหรู และขณะเดียวกันก็คอยเฝ้าสังเกตทุกการกระทำของนางด้วย
"เ้าเด็กนั่นถูกนางซื้อใจไปเรียบร้อยแล้ว" เฟิ่งหยางเม้มริมฝีปาก เอ่ยอย่างไม่พอใจยิ่ง "สตรีผู้นั้นมีกลเม็ดเด็ดพรายในการโน้มน้าวใจคน"
"หลิงจื้อจงรักภักดีต่อนายท่าน ไม่มีทางทรยศเป็แน่ นี่เป็ความเข้าใจผิดอันใดหรือไม่" เฟิ่งอีได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยปาก
"ข้าบอกว่าถูกซื้อใจ หาได้บอกว่าเขาจะทรยศข้า เ้าเด็กนั่นยอมศิโรราบให้กับอาหารไม่กี่มื้อของหญิงโสโครกแซ่ถัง ตอนนี้มีเื่อะไรย่อมเก็บงำไว้ ในใจของเขาเริ่มเอนเอียงไปที่นางแล้ว" เฟิ่งหยางส่ายหน้า
"อาหารของแม่นางถังนับว่าเลิศรสในหมู่มนุษย์ขนานแท้ ข้าน้อยไม่เคยกินของอร่อยเท่านี้มาก่อน" เฟิ่งอีพึมพำเสียงเบา
"แม้แต่เ้าก็ยังเคยกินอาหารที่นางทำรึ ตอนที่ข้าไม่อยู่สตรีผู้นี้ใช้ของกินมาหลอกล่อพวกเ้าไปเท่าไรแล้วล่ะ จะดีจะชั่วอย่างไรพวกเ้าก็เป็ผู้ติดตามข้าบุกเหนือล่องใต้ไปทั่ว ควรแล้วหรือที่จะเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยแค่นี้" เฟิ่งหยางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
--------------------------------------------------------------------------------
[1] น้องหญิงหลินในที่นี้หมายถึงหลินไต้อวี้ ในวรรณกรรมคลาสสิกจีนเื่ความฝันในหอแดง หลินไต้อวี้เป็หญิงงามแช่มช้อยที่ดูอ่อนแอน่าทะนุถนอม มีประโยคะจากงิ้วเื่ความฝันในหอแดงที่พระเอกพบนางเอกครั้งแรก แล้วอุทานว่า ์ส่งน้องหญิงหลินมาเกิดแท้ๆ ความหมายคือ งดงามราวกับนางฟ้านาง์
[2] มีสำนวนจีนว่าแบกหม้อดำ มีความหมายเหมือนกับคำว่าเป็แพะรับบาป คือต้องรับความผิดแทนผู้อื่นโดยที่ตนเองเป็ผู้บริสุทธิ์ หม้อในที่นี้จึงหมายถึงสิ่งที่ตนเองมิได้กระทำ แบกหม้อ คือต้องยอมรับสิ่งที่ตนเองมิได้กระทำ
[3] เฟิ่งเซี่ยว มีความหมายว่าหงส์แผดเสียงกึกก้องกัมปนาท