หลังจากเสร็จงานเลี้ยง ฮวารั่วซีกลับไปที่ตำหนัก มั่วหนงเห็นสีหน้านางไม่สู้ดีจึงทูลถามอย่างระมัดระวัง “พระสนมไม่สบายหรือเพคะ? ้าให้บ่าวตามหมอหลวงหรือไม่เพคะ?”
ฮวารั่วซีเดิมทีอยากจะพูดว่าไม่ต้อง ทว่าเมื่อได้ยินคำว่าหมอหลวงพลันนึกบางอย่างได้ นางจึงพยักหน้า “ตามหมอหลวงซาง โรคเก่าของข้ากำเริบอีกแล้ว”
มั่วหนงรีบพยักหน้าและออกไปถ่ายทอดคำสั่งจากนั้นกลับมารับใช้นางตามปกติ ตนเองอยากประคองนางไปนอนบนตั่งนุ่มหลังม่านลูกปัด ไม่คาดคิดเลยว่าฮวารั่วซีจะกล่าวปฏิเสธ “ไม่ต้อง อยู่ตรงนี้เถิด จับชีพจรผ่านเส้นไหมโดยมีม่านลูกปัดกั้นมีความต่างอย่างเลี่ยงไม่ได้ หมอเอาใจใส่ดุจบิดามารดา ไม่จำเป็ต้องเลี่ยงข้อห้าม”
มั่วหนงตอบรับคำแล้วหยิบหมอนนุ่มสองใบมาวางข้างนางทั้งสองฝั่งเพื่อให้นางพิงได้สบายตัวขึ้น
ฮวารั่วซีเท้าศีรษะพลางหลับตารอซางจือิอยู่เงียบๆ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น นางลืมตาขึ้นและเห็นซางจือิยืนคำนับทูลเสียงทุ้มอยู่ตรงประตู ฮวารั่วซีจึงสั่งให้เขาลุกขึ้นและให้มั่วหนงไปเฝ้าอยู่ที่ประตู
แม้มั่วหนงจะสงสัยเล็กน้อย ทว่าก็ยังเชื่อฟังและถอยออกจากห้อง
ซางจือิเอ่ยถามเสียงทุ้ม “พระสนมไม่สบายที่ใดพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮวารั่วซีเงยหน้ามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาเอ่อคลอจนทำเอาหมอหลวงซางใ จากนั้นก็ได้ยินนางเอ่ยเสียงแ่ “พี่ิช่วยข้าด้วย”
พี่ิ เสียงเรียกนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในหลายปีที่ผ่านมา เพียงแค่อยู่ในความทรงจำเท่านั้น ทว่าคำเรียกจริงใจที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้กลับทำให้ซางจือิรู้สึกคาดไม่ถึง
ซางจือิคิดว่าตนเองหูฝาด ทว่าเมื่อเห็นน้ำตาในดวงตาของฮวารั่วซี เขาจึงรู้ว่าตนเองฟังไม่ผิด ความเ็ปในใจทะลักออกมาทันทีราวกับย้อนกลับไปในอดีต ตอนที่นาง้าความช่วยเหลือ ตนเองก็ะโออกมาบอกนางเหมือนต้านทาน์ไว้ “น้องหญิงรั่วซี ข้าจะปกป้องเ้าเอง”
เขาโพล่งประโยคนี้ออกมาโดยไม่มีความลังเลแม้แต่นิดเดียว
หลายปีมานี้เขายังคงรักษาสัญญาในอดีตเสมอ น้องหญิงรั่วซีคือคนที่เขาต้องปกป้อง
เขาอดทนต่อแรงกดดันของบิดาเพื่อคำที่ได้สัญญาไว้ั้แ่เล็กจนโต จวบจนถึงปัจจุบันเขาก็ยังอยู่ตัวคนเดียวและไม่เคยแต่งงานมีบุตรเลย
ฮวารั่วซีรู้สึกภาคภูมิใจชั่วขณะ ในเวลาเดียวกันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลายปีมานี้ระยะห่างระหว่างเขากับนางไกลเกินไป ไกลจนนางคิดว่าความผูกพันระหว่างพวกเขาดับสิ้นไปแล้ว
ทว่ายังดีที่เสียงทดสอบนั่นได้ยืนยันความไม่มั่นใจในใจนาง
ซางจือิยังเป็พี่ิเหมือนดังเช่นในอดีต
หลังจากความตื่นเต้นเมื่อก่อนหน้าผ่านพ้นไป ซางจือิก็นึกถึงสถานะในปัจจุบันของพวกเขาทั้งสอง แสดงสีหน้าเคร่งขรึมกลับมาทันที จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างนอบน้อม “พระสนมรู้สึกไม่สบายที่ใดพ่ะย่ะค่ะ?”
ไม่คิดเลยว่าเมื่อสิ้นเสียงมือฮวารั่วซีกุมมือเขาไว้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนแอ นางเอ่ยเสียงแ่เบา “พี่ิ ตอนนี้มีเพียงแค่เราสอง ทำตัวเหมือนเมื่อก่อนเถิด”
ซางจือิเผยสีหน้างุนงง หากบอกว่าเมื่อครู่คิดว่านางเลอะเลือนชั่วคราว ประโยคนี้ในเวลานี้คงเป็ความจริง
แม้ฮวารั่วซีจะพูดเช่นนี้ ทว่าซางจือิกลับไม่กล้าทำตามใจมากเกินควร สองมือประสานกัน แววตายังหลุบต่ำมองพื้น ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ขุนนางพึงกระทำ
ฮวารั่วซีกลับไม่รีบร้อน นางมองเขาแล้วเอ่ยเสียงนุ่มนวลเหมือนย้อนกลับไปยัง่เวลาไร้เดียงสาในอดีต “พี่ิเป็เช่นนี้เท่ากับว่าห่างเกินกับรั่วซีแล้ว”
ซางจือิถอนหายใจเบาๆ “น้องหญิงรั่วซี ตอนนี้เรามีสถานะต่างกัน เพื่อความปลอดภัยของเ้า เราไม่ควรพบกันตามลำพังเช่นนี้”
ที่แท้ก็เพื่อตัวนาง ฮวารั่วซีแอบมีความสุขอยู่ในใจ ทว่าไม่ได้แสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า นางเพียงแค่พูดเสียงเบา “พี่ิดีกับรั่วซีั้แ่เด็ก ยังจำได้ว่าปีนั้นที่เมืองหลินเจียงของเป่ยอูถูกทำลาย เป็ท่านปกป้องรั่วซีออกจากที่นั่น เป็ผลให้ถูกแทงบนร่างหนึ่งดาบ แม้รอยแผลจะหายไปแล้ว แต่มันจะอยู่ในใจรั่วซีตลอดมา ไม่มีวันลืมเลือน”
ซางจือิตอบเสียงเบา “ลืมได้ก็ลืมมันเถิด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ในดวงตาฮวารั่วซีเผยให้เห็นถึงความโศกเศร้าทันที นางพูดเสียงปนสะอื้น “พี่ิรังเกียจรั่วซีหรือ?”
“เ้าคือแม่มดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งเป่ยอูตลอดไป” ซางจือิทนฟังนางร้องห่มร้องไห้ไม่ได้ ในที่สุดเขาก็เงยหน้ามองนางจึงเห็นดวงตานางแดงก่ำ เมื่อเห็นสายตาที่มองตนเองอย่างจริงใจ หัวใจเขาก็สั่นไหว ความสงสารที่ข่มกลั้นมาโดยตลอดทะลักขึ้นมาในใจ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและคิดถึงช่องว่างทางสถานะระหว่างพวกเขา จากนั้นเขาก็หยุดฝีเท้า “น้องหญิงรั่วซี หยุดร้องได้แล้ว”
“พี่ิไม่รังเกียจรั่วซี เช่นนั้นกำลังตำหนิรั่วซีอยู่หรือ?” ฮวารั่วซีหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับคราบน้ำตา น้ำตาหนึ่งหยดไหลผ่านใบหน้านาง
“ฮื่อ…... น้องรั่วซีควบคุมตนเองไม่ได้ ข้าจะตำหนิท่านได้อย่างไรเล่า?” หากต้องตำหนิก็คงต้องตำหนิโชคชะตากระมัง
ซางจือิคิดอย่างหมดอาลัยตายอยาก หากปีนั้นไม่ได้ส่งฮวารั่วซีไปเบื้องหน้าอวิ๋นอู๋เหยียน หรือหากนางไม่ได้พบกับซ่งอี้เฉิน เขากับนางจะอยู่ในอีกสถานะหนึ่งหรือไม่?
นั่นคือคนที่เขาจับมือมาตลอดเชียวนะ…
“หลายปีมานี้รั่วซีรักษาระยะห่างกับพี่ิ พี่ิคงโกรธรั่วซีแล้วกระมัง” ฮวารั่วซีถอนหายใจแ่เบา
ซางจือิไม่ได้ตอบกลับ
ปีนั้นหลังจากฮวารั่วซีเข้าวัง เขาก็อาศัยวิชาแพทย์อันล้ำเลิศช่วยชีวิตไทเฮาจนเข้าวังหลวงมาได้อย่างราบรื่น หลายปีมานี้ทั้งสองได้พบกันทุกวัน ทว่าพวกเขาไม่ได้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างกันต่อหน้าธารกำนัล พวกเขาเพียงแค่ปกป้องกันและกันอย่างลับๆ เท่านั้น
ฮวารั่วซีรู้สึกมองไม่เห็นแสงสว่างหรือ? บางครั้งซางจือิก็คิดแบบนี้เช่นกัน ตนเองเป็เพียงหมอหลวง นางเป็ซูเฟยของตำหนักหลัง โดยปกติแล้วไม่อาจพัวพันกับเขาได้ มิฉะนั้นจะถูกผู้อื่นโจมตีได้โดยง่ายและสร้างปัญหาใหญ่ให้ตนเอง
สาเหตุที่เขาอยู่ในวังหลวงมาตลอดก็เพราะว่านางไม่ถือว่าตนเองเป็คนแปลกหน้า
ทว่าความห่างเหินในยามปกติกลับเห็นได้ชัดเช่นกัน
จู่ๆ วันนี้นางพูดออกมา ทำให้เขาสับสนมากจริงๆ ทว่าความจริงแล้วซางจือิไม่ได้ใส่ใจ ต่อให้ต้องบุกูเาฝ่าดงกระบี่ ทะเลเพลิง เขาก็ต้องไป
ฮวารั่วซีไม่ได้คิดว่าที่เขาเงียบไปเขาจะมีความคิดไม่ดีต่อตนเอง ครั้งล่าสุดที่ตำหนักรับรองขององค์หญิงใหญ่ ดูผิวเผินซางจือิจับชีพจรองค์หญิงใหญ่ ทว่าความจริงแล้วเขากำลังแตะจุดมิ่งเหมินขององค์หญิงใหญ่
หากตอนนั้นองค์หญิงใหญ่ตรัสทำร้ายฮวารั่วซี ซางจือิจะต้องลงมือช่วยเหลือนางแน่นอน หากลงมือจริงๆ เกรงว่าซางจือิอาจได้รับโทษสถานหนักไปจนถึงขั้นเสียชีวิต
“ความจริงรั่วซีอยากสนิทกับพี่ิเหมือนตอนยังเด็ก พี่ิสำคัญกับฮวารั่วซีมาก หากบนโลกนี้ยังมีญาติอยู่ คนคนนั้นก็คือพี่ิ”
เสียงฮวารั่วซีอ่อนโยน แววตาที่หยุดอยู่บนร่างเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน “พี่ิควรรู้ว่าทันทีที่เข้าสู่ประตูวังหลวงที่ลึกดั่งมหาสมุทร ทุกการกระทำและการเคลื่อนไหวของรั่วซีถูกสายตานับพันนับหมื่นจับจ้อง หากเข้าใกล้พี่ิมากเกินไปอย่างไม่ระวัง เกรงว่าจะพัวพันไปถึงพี่ิได้”
ร่างกายซางจือิสั่นสะท้าน ในใจเหมือนคลื่นซัดโหมกระหน่ำ เมื่อก่อนเขาเคยเข้าใจฮวารั่วซีผิดและเคยตำหนินาง ต่อมาหลังจากอยู่ในวังหลวงเป็เวลาหลายปี ได้เห็นความปากหวานก้นเปรี้ยวมากมาย คำตำหนิจึงค่อยๆ หายไป
เขาเคยคาดเดาต้นสายปลายเหตุที่ฮวารั่วซีไม่เปิดเผยกับตนเองเช่นกัน ครุ่นคิดไปมากมาย ทว่าก็เหลือเพียงสิ่งนี้ เขาเชื่อเสมอว่าฮวารั่วซียังคงเป็เทพธิดาจิตใจงดงามดังเช่นเมื่อก่อน
จนกระทั่งนางลงมือสังหารพระสนมในวังที่กำลังตั้งครรภ์