โม่ซิ่วร้องห่มร้องไห้กอดโม่เสวี่ยิ่ไว้ ครานี้เสียงค่อนข้างดัง บ่าวไพร่ที่อยู่ด้านนอกต่างได้ยินกันทั่ว คนที่หัวไวหน่อยก็รีบถอยออกไปจากเรือน เฝ้าอยู่แต่ด้านนอก ม่านกั้นถูกเลิกขึ้น มามาคนหนึ่งเดินออกมา เมื่อเห็นคนที่อยู่โดยรอบถอยกันไปหมดแล้ว จึงเผยสีหน้าพึงพอใจก่อนจะกลับเข้าไปกระซิบข้างหูเหล่าไท่ไท่ประโยคหนึ่ง
“พอแล้ว หยุดให้ข้าเดี๋ยวนี้ กลัวผู้อื่นไม่รู้หรืออย่างไรว่าจวนโม่เกิดเื่ฉาวโฉ่ จะมาเอะอะโวยวายเพื่ออะไร” เหล่าไท่ไท่โกรธจนหน้าเขียวหน้าดำ เส้นเืที่หน้าผากเต้นตุบๆ บ้านไหนเกิดเื่ทำนองนี้ล้วนต้องช่วยกันปกปิดสุดชีวิต แต่เด็กสาวสองคนที่อยู่เบื้องหน้ากลับเพียรแต่จะโวยวายให้คนรู้ เดิมทีเห็นโม่เสวี่ยิ่เหมือนว่าจะเป็เด็กพูดง่ายรู้เื่ แต่ตอนนี้กลับหุนหันพลันแล่นร้องจะฆ่าตัวตาย ทำให้เหล่าไท่ไท่โกรธจนลมแทบจับ
เห็นเหล่าไท่ไท่ท่าทางหัวเสีย โม่เสวี่ยิ่ก็ตระหนักได้ว่าเมื่อครู่โม่เสวี่ยถงพูดกับนางรุนแรงมาก นางจึงตอบโต้ด้วยการคิดสั้น บัดนี้เมื่อได้สติกลับมาจึงรีบเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าเหล่าไท่ไท่ ดึงชายเสื้อของนางแล้วร้องโอดครวญอย่างน่าสงสาร “ท่านย่า ิ่เอ๋อร์ทำไม่ถูก เมื่อครู่เพราะคำพูดของน้องสาม ิ่เอ๋อร์จึง… จึงขาดสติทำอะไรโง่ๆ ลงไป ขอท่านย่าโปรดลงโทษ”
ยามนี้นางทำตัวสงบเสงี่ยม กลับมาเป็สตรีนุ่มนวลอ่อนโยนคนเดิม
“ท่านย่า ถงเอ๋อร์ผิดเอง ถงเอ๋อร์แค่ใที่พี่หญิงให้ถงเอ๋อร์ยอมรับผิด จึงได้พูดจาซี้ซั้วออกไป เป็บุตรภรรยาเอกแต่จะให้รับโทษแทนบุตรอนุ หากท่านยายทราบเื่ ไม่เพียงแต่จะไม่ละเว้นถงเอ๋อร์ ท่านพ่อก็คงโดนตำหนิไปด้วย ถงเอ๋อร์ไม่กล้าปิดบังท่านพ่อหรอกเ้าค่ะ ดังนั้นจึงไม่อาจยอมรับความคิดของพี่หญิงใหญ่ได้” โม่เสวี่ยถงน้ำตาร่วงเผาะๆ ราวกับพิรุณโปรย แสร้งทำอ่อนแอใครก็ทำได้ แต่ในขณะที่กำลังเสแสร้ง นางก็สามารถดึงเื่นี้ไปที่จวนฝู่กั๋วกงได้เช่นกัน
จวนเจิ้นกั๋วโหวแม้จะสูงศักดิ์ไม่อาจล่วงเกิน แต่อำนาจของจวนฝู่กั๋วกงไม่ยิ่งใหญ่กว่าหรือ นางไม่เชื่อว่าเหล่าไท่ไท่จะใคร่ครวญไปไม่ถึงจุดนี้
โม่เสวี่ยิ่พูดจาวกไปวนมาก็หมายจะให้นางยอมรับผิดแทน แต่ไม่ได้คิดว่าหากนางถูกบีบบังคับให้ยอมรับ มีหรือที่จวนฝู่กั๋วกงจะยอมอยู่เฉยๆ ถึงเวลาเื่แดงขึ้นมา ใครจะกล้าออกหน้ารับความกดดัน ทั้งจวนโม่ย่อมถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคแต่มีน้ำหนักไม่เบา เมื่อเหล่าไท่ไท่ได้ฟังก็มุ่นคิ้วขมวด
เื่นี้ไม่อาจแก้ไขด้วยวิธีนี้ได้ แต่หากไม่ทำ แล้วทางจวนเจิ้นกั๋วโหวจะจัดการอย่างไร เหล่าไท่ไท่ตกอยู่ในภาวะลำบากใจทั้งขึ้นทั้งล่อง
โม่เสวี่ยิ่เห็นเหล่าไท่ไท่เงียบไป สายตาที่จ้องโม่เสวี่ยถงก็ยิ่งฉายแววชิงชังมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด ก็ถูกโม่เสวี่ยถงชิงตัดหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง
“ท่านย่าวิตกกังวลเื่จวนเจิ้นกั๋วโหวใช่ไหมเ้าคะ ซือหม่าหลิงอวิ๋นล่วงเกินน้องสี่แต่กลับไม่คิดรับผิดชอบ คุณชายคุณหนูที่เห็นเหตุการณ์มากมายขนาดนั้น แม้จวนเจิ้นกั๋วโหวจะมีอิทธิพล แต่คุณชายคุณหนูมากมายเ่าั้ก็เป็บุคคลที่ไม่อาจล่วงเกินได้เช่นกัน ขอเพียงแค่เราหาโอกาสเหมาะสมไปพบคุณชายคุณหนูสักสองสามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ พูดคุยสิ่งที่เกิดขึ้นให้กระจ่าง จวนเจิ้นกั๋วโหว้าให้พวกเราชดใช้ให้กับพวกเขา ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวมิใช่บอกเองหรือว่าน้องสี่หกล้มแล้วซื่อจื่อเข้าไปช่วยประคอง เื่แบบนี้ไม่ใช่พวกเขาพูดมาฝ่ายเดียวแล้วก็จบ ต้องดูจากคำบอกเล่าของคุณชายคุณหนูท่านอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์จึงจะอ้างอิงได้ เื่นี้แม้ว่าจะแพร่งพรายออกไปข้างนอก แต่จวนเจิ้นกั๋วโหวก็ต้องชดใช้ให้น้องสี่ด้วยเช่นกัน ไยพวกเราจะต้องกลัวพวกเขาด้วย”
โม่เสวี่ยถงรู้ว่าเหล่าไท่ไท่กังวลใจเื่ชื่อเสียงของคุณหนูสกุลโม่ แต่ขอเพียงแค่ยืนยันได้ว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นเป็ผู้กระทำความผิด เื่นี้เขาคิดจะไม่รับผิดชอบย่อมไม่ได้
“น้องสาม คุณหนูคุณชายเ่าั้มีสถานะสูงส่ง ใช่ว่าพวกเราจะไปเชิญมาได้ง่ายๆ” โม่เสวี่ยิ่กล่าวอย่างร้อนใจ
“พี่หญิงวางใจได้ ข้าจะให้ท่านยายเชิญคุณหนูคุณชายเ่าั้มาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กระจ่าง” มุมปากของโม่เสวี่ยถงเผยแววเยาะหยันวูบหนึ่ง ถึงยามนี้แล้วโม่เสวี่ยิ่ยกเื่สถานะมากดดันคนได้ จวนฝู่กั๋วกงใช่ที่ที่ผู้อื่นจะมาล่วงเกินได้หรือ
“แต่ว่า... มีเื่มีราวแบบนี้ คงไม่เป็ผลดีต่อชื่อเสียงเท่าไรกระมัง” โม่เสวี่ยิ่ท้วงติงไม่ยอมลงง่ายๆ
“พี่หญิงใหญ่ช่างเป็บุตรสาวที่แสนดีของสกุลโม่อย่างแท้จริง ถึงตอนนี้แล้วก็ยังกังวลเื่ชื่อเสียง” โม่เสวี่ยถงยกมุมปากเยาะหยัน “วางใจเถอะเ้าค่ะ ขอเพียงแค่คุณหนูคุณชายเหล่านี้ร่วมกันเป็พยานชี้ความผิดของซือหม่าหลิงอวิ๋น อย่างไรเขาก็ต้องยอมแต่งน้องสี่ มิเช่นนั้นจวนเจิ้นกั๋วโหวของพวกเขาไหนเลยจะยังเหลือชื่อเสียงให้คนนับถือได้”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องมีแต่แล้วเ้าค่ะพี่หญิงใหญ่ ตอนที่ข้าเดินอยู่ในป่าเหมย ได้พบกับชายาเสี่ยนจวิ้นอ๋อง นางสามารถเป็พยานให้ข้าได้ ว่าผู้ที่อยู่บนรถม้าในเวลานั้นไม่ใช่ข้า และตอนนี้พี่ิจูญาติผู้พี่ของข้าก็ไปแจ้งให้ท่านยายรับทราบแล้ว ยามนี้คุณหนูคุณชายเ่าั้คงจะได้รับเชิญไปที่จวนฝู่กั๋วกงเรียบร้อยแล้วด้วย” โม่เสวี่ยถงยิ้มเยาะ ตอกกลับโม่เสวี่ยิ่ด้วยหมัดเด็ดสุดท้ายอย่างมีความสุข
มีพยานบุคคล และพยานของนางยังเป็ถึงชายาเสี่ยนจวิ้นอ๋องผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ประโยคสุดท้ายของโม่เสวี่ยถงตัดบทความคิดทุกอย่างของโม่เสวี่ยิ่ นางนิ่งอึ้งตะลึงงันอยู่กับที่ แม้แต่การเสแสร้งสร้างภาพก็ยังลืมสิ้น เข่าอ่อนล้มกองอยู่ที่พื้น ใบหน้างดงามเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีด ขบฟันจนกรามแทบป่น นึกแค้นเคืองอยู่เงียบๆ
โม่เสวี่ยถง นังคนชั้นต่ำช่างเ้าเล่ห์ร้ายกาจนัก!
เสี่ยนจวิ้นอ๋องเป็เชื้อพระวงศ์ แต่ก็นับว่าห่างเหินกับจักรพรรดิจงเหวินตี๋พอสมควร เสี่ยนจวิ้นอ๋องผู้นี้เป็พระภาดาของจักรพรรดิ ทั้งยังแตกต่างจากเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ั้แ่เล็กเขามีวรยุทธ์สูงส่ง ไม่โปรดการอักษร เข้าร่วมกับกองทัพั้แ่อายุน้อย ไต่เต้าจากตำแหน่งองครักษ์ชั้นล่างขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งบัดนี้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่
ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของเขาแตกต่างจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของลั่วเฉิง แม้ว่าทั้งสองจะมีอำนาจในกองทัพไม่ต่างกันมาก แต่กล่าวกันว่าจุดแข็งของเสี่ยนจวิ้นอ๋องมิได้มีเพืยงเื่สองเื่ ประการหนึ่งเพราะเขาเป็พระญาติกับจักรพรรดิ อีกประการหนึ่งคือผลงานในการศึก เสี่ยนจวิ้นอ๋องมีประสบการณ์ในการทำศึกน้อยใหญ่มากกว่าลั่วเฉิงมากนัก ดังนั้นไม่ว่าใครเอ่ยถึงเสี่ยนจวิ๋นอ๋องล้วนแต่นับถือชื่นชม
ชายาที่เสี่ยนจวิ้นอ๋องทรงเลือกมิใช่เป็หญิงสาวในห้องหอธรรมดาทั่วไป แต่เป็บุตรสาวของรองแม่ทัพเหยียน-เหยียนรั่วหลิง กล่าวกันว่าพระชายาผู้นี้ไม่เป็เื่เย็บปักถักร้อยเช่นสตรีทั่วไป แต่กลับชอบจับอาวุธมีดดาบทวนพลอง มีอุปนิสัยเปิดเผย ใจกว้าง ตรงไปตรงมายิ่งนัก ยามนั้นโม่เสวี่ยถงเห็นหัวหงส์บนกำไลหยกที่ชายาเสี่ยนจวิ้นอ๋องทรงสวมใส่ และสังเกตเห็นว่าสาวใช้ที่ตามอยู่ด้านหลังทั้งสี่ล้วนมีวรยุทธ์
เมื่อนำทุกอย่างประเมินรวมกัน นอกจากชายาเสี่ยนจวิ้นอ๋องผู้มีชื่อเสียงขจรไกล แล้วจะเป็ผู้ใดไปได้อีก
โม่เสวี่ยถงตั้งใจเปิดเผยชื่อตัวเข้าไปสอบถามก็เพื่อให้ชายาเสี่ยนจวิ้นอ๋องเป็พยานผู้พบเห็น หลังจากเกิดเื่ รถม้าของจวนเจิ้นกั๋วโหวก็จากไป แต่นางกลับเพิ่งเดินออกมาจากป่าเหมย ไม่ว่าอย่างไร ผู้ที่เกิดเื่อยู่บนรถม้าย่อมไม่อาจเป็นางได้ ด้วยคุณธรรมของชายาเสี่ยนจวิ๋นอ๋อง ย่อมพูดในสิ่งที่เป็ความจริงแน่นอน
แม้ว่าโม่เสวี่ยิ่จะยืนกรานว่าคนที่อยู่บนรถคือตนเองอย่างไร คำพูดของนางหรือจะมีน้ำหนักไปกว่าวาจาของชายาเสี่ยนจวิ้นอ๋อง แน่นอนว่าโม่เสวี่ยถงย่อมไม่นึกถึงเฟิงเจวี๋ยหร่าน เพราะการที่นางพบปะติดต่อกับเขาเดิมทีก็เป็เื่ส่วนตัว หากจะว่าไปก็ดูคล้ายเป็การแอบพบกัน ยิ่งไปกว่านั้นเฟิงเจวี๋ยหร่านก็เป็คนอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่เอานอนไม่ได้ จากไม่มีเื่ก็อาจเป็เื่ขึ้นมา โม่เสวี่ยถงจึงไม่กล้ารบกวนคนคุ้นเคยเก่าแก่ผู้นี้
ชายาเสี่ยนจวิ้นอ๋องก็ทราบความจริงเื่นี้ ส่วนคุณหนูที่เห็นเหตุการณ์เ่าั้พอก้าวพ้นออกจากจวนโม่ ก็ได้รับเชิญไปจวนฝู่กั๋วกงต่อทันที บัดนี้ก็คงเข้าใจทุกอย่างถูกต้องชัดเจนดีแล้ว หากตนเองซึ่งอยู่ที่นี่ยังทำเื่ออกหน้ารับผิดแทนบุตรอนุ ไม่เพียงแต่เป็การล่วงเกินต่อจวนฝู่กั๋วกง ชายาเสี่ยนจวิ้นอ๋อง แม้แต่คุณหนูคุณชายเ่าั้ก็รวมอยู่ด้วย นี่เป็สิ่งที่สกุลโม่ไม่อาจแบกรับได้
เมื่อเหล่าไท่ไท่ได้ยินดังนั้นก็ล้มเลิกความคิดเดิมทันที เมื่อเื่กลายเป็เช่นนี้ไปแล้ว ต่อให้จวนเจิ้นกั๋วโหวจะไม่อยากรับผิดชอบก็ต้องรับ จะว่าไปแล้วเหล่าไท่ไท่ก็ได้รับความไม่เป็ธรรมเช่นกัน เดิมทีคิดจะประนีประนอม จึงยอมก้มหัวให้กับจวนเจิ้นกั๋วโหว แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยังคงป้ายความผิดมาให้จวนโม่ทั้งหมด ยามนี้เมื่อได้ยินว่ามีคนช่วยเหลือสนับสนุน ไหนเลยจะแยแสต่อหน้าตาของจวนเจิ้นกั๋วโหวอีก
ขอเพียงพิสูจน์ได้ว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นจงใจทำรุ่มร่ามกับโม่เสวี่ยฉง ศักดิ์ศรีของสตรีสกุลโม่ก็ย่อมไม่เสียหาย
“ท่านย่า แม้จะเป็เช่นนี้ แต่น้องสามปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันตามลำพังเพียงสองคนบนรถม้าก็ไม่ถูกต้อง ถึงเวลาหากจวนเจิ้นกั๋วโหวถามขึ้นมา พวกเราจะอธิบายด้วยเหตุผลใด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลงโทษน้องสาวด้วย เพื่อให้ผู้อื่นเห็นว่า คนสกุลโม่ทำผิด สกุลโม่ย่อมลงโทษเองได้”
จัดเตรียมแผนการมาอย่างรัดกุมเพียงนี้ โม่เสวี่ยถงก็ยังดิ้นหลุดไปได้ โม่เสวี่ยิ่ย่อมแค้นฝังใจ น้ำเสียงแทบจะข่มความร้ายกาจไว้ไม่อยู่ สายตาจ้องโม่เสวี่ยถงอย่างมาดร้าย อยากทำลายให้ย่อยยับใจจะขาด ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางยอมให้อีกฝ่ายได้อยู่เป็สุข
คำพูดนี้เหล่าไท่ไท่ได้ยินแล้วก็นึกชมเปาะอยู่ในใจ เื่วันนี้พลิกไปพลิกมา จนวุ่นวายไปกันใหญ่ เพราะโม่เสวี่ยถงลงจากรถเป็เหตุไม่ใช่หรือไร ยิ่งไปกว่านั้นเด็กสาวคนนี้ยังกล้ายกจวนฝู่กั๋วกงมาข่มนาง ทั้งไม่มีความกตัญญูทั้งน่ารังเกียจ ฉวยโอกาสนี้ลงโทษนางก็สมควรด้วยเหตุผล
คิดได้ดังนั้นจึงไม่ให้โม่เสวี่ยถงได้พูดแก้ตัวอีก หันไปหานางและกล่าวเสียงแข็ง “ิ่เอ๋อร์พูดถูก เกิดเื่แบบนี้ขึ้น พวกเราจวนโม่จะไม่แสดงความรับผิดชอบสักนิดได้อย่างไร เ้าก็อย่าพูดมาก เพื่อชื่อเสียงของจวนโม่ เ้าจงไปคุกเข่าสำนึกผิดที่ห้องบูชาบรรพชนเถิด ตนเองก่อเื่ไว้ก็ต้องยอมรับเองถึงจะถูกต้อง”
“ท่านย่า ต้องคุกเข่านานแค่ไหนเ้าคะ น้องสามสุขภาพไม่ดี...” โม่เสวี่ยิ่แสร้งถามด้วยความเป็ห่วง พยายามข่มความรู้สึกสาแก่ใจไว้อย่างสุดกำลัง
“ความผิดใหญ่ขนาดนี้ยังต้องถามว่าให้คุกเข่านานเท่าไรอีกหรือ หากรู้ความก็คุกเข่าไปเถิด สุขภาพไม่ดียังออกไปก่อเื่ได้ขนาดนี้ หากสุขภาพดีมิทำเอาสกุลโม่พังพินาศไปเลยหรือ” เหล่าไท่ไท่ไม่ถูกชะตากับโม่เสวี่ยถงอยู่แล้ว คิดแต่อยากให้ตัวก่อหายนะไปให้พ้นหูพ้นตาโดยเร็ว แค่เห็นหน้าก็หงุดหงิดรำคาญใจจะแย่อยู่แล้ว
“ท่านย่า น้องสามสุขภาพอ่อนแอ หากให้คุกเข่าทั้งคืน เกรงว่านางจะรับไม่ไหวนะเ้าคะ” โม่เสวี่ยิ่แสร้งถามด้วยความห่วงใย ซ่อนแววตาร้ายกาจอยู่เบื้องลึก วาดแผนการไว้ พูดชี้นำออกมาเองว่าเหล่าไท่ไท่ให้คุกเข่าทั้งคืน
“หากทนไม่ได้ ต่อไปก็อย่าก่อเื่เช่นนี้อีก ออกไปได้แล้ว” เหล่าไท่ไท่ไม่อยากเห็นหน้าโม่เสวี่ยถงแล้วจริงๆ ไม่ว่าอย่างไร ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็ความผิดของนาง จึงโบกมือไล่พวกนางออกไป
หญิงรับใช้าุโสองคนเดินเข้ามาหมายจะลากโม่เสวี่ยถงไปห้องบูชาบรรพชน ชั่วขณะนั้นโม่เสวี่ยถงกวาดมองไปที่พวกนางด้วยสายตาเย็นเยียบร้ายกาจ หญิงรับใช้สองคนหวาดกลัวตัวสั่น ก้มหน้าลงทันที รู้สึกเพียงว่าคุณหนูสามผู้นี้ดูมีอำนาจน่ากลัวยิ่ง พวกนางไม่กล้าล่วงเกิน
“ขอบคุณท่านย่าที่สอนสั่งเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงลุกขึ้นย่อกายคำนับต่อเหล่าไท่ไท่ ก่อนจะหมุนตัวพาโม่เยี่ยไปยังห้องบูชาบรรพชนด้วยตนเอง
เมื่อครู่นางเห็นชัดเจนว่าดวงตาของโม่เสวี่ยิ่ฉายแววพึงพอใจ ย่อมตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายคงมีวิธีจัดการกับนางเรียบร้อยแล้ว นางไม่สนใจแม้กระทั่งการรักษาภาพลักษณ์ของหญิงสาวที่แสนดี อบอุ่นอ่อนโยน กล้าพูดออกมาต่อหน้าเหล่าไท่ไท่เยี่ยงนั้น คิดว่าคงมีลูกไม้ใหม่ที่จะเล่นงานตนเองได้แล้ว
ก็ดี ห้องบูชาบรรพชนแห่งนี้ นางย่อมต้องไปคุกเข่า ให้โม่เสวี่ยิ่ได้สมดังใจเสียหน่อย
เมื่อตอนกลางวันนางไม่อาจฉีกหน้ากากของโม่เสวี่ยิ่ออกมาได้ ครานี้ไม่แน่ว่าอาจเป็โอกาสดี นางเฝ้ารอให้ถึงคืนนี้อย่างยิ่ง
พอพ้นออกจากประตู หญิงรับใช้าุโสองคนก็คุมตัวโม่เสวี่ยถงมาถึงห้องบูชาบรรพชนที่อยู่ในมุมเปลี่ยว พอพวกนางเข้าไปแล้ว หญิงรับใช้ทั้งสองก็ปิดประตูอย่างแรง จากนั้นก็ถอยออกไป
“คุณหนูจะคุกเข่าที่นี่จริงๆ หรือเ้าคะ” โม่เยี่ยมองดูห้องเล็กแสนคับแคบที่มีเพียงโต๊ะบูชาหนึ่งตัว บนพื้นมีเบาะรองสองสามแผ่น นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอื่นใดอีก ในห้องไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย ลมหนาวพัดเข้ามาเป็ระลอกทางหน้าต่าง แม้กระทั่งนางเป็ผู้มีวรยุทธ์ยังรู้สึกหนาวเสียดกระดูก แล้วร่างกายของคุณหนูจะทนได้อย่างไร
โม่เสวี่ยถงคุกเข่าลงหน้าป้ายชื่อของมารดาอย่างนอบน้อม หลังจากโขกศีรษะคารวะก็กล่าวเสียงเรียบ “คงคุกเข่าไม่นานเท่าไรหรอก พี่สาวคนดีของข้าไหนเลยจะให้ผู้อื่นสุขสบายเยี่ยงนั้น”
“กำชับให้โม่เฟิงจับตามองโม่เสวี่ยิ่ให้ดี ถูกเอาเปรียบไปมากมายเพียงนั้นจะอดทนได้อย่างไร” นางลุกขึ้น จากนั้นก็รับธูปที่โม่เยี่ยส่งให้แล้วปักลงไปในกระถาง ควันจางๆ ล่องลอยอ้อยอิ่ง ทำให้ใบหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาดูนิ่งขรึมและเ็าขึ้นหลายส่วน
แผนการของโม่เสวี่ยิ่ล่มไม่เป็ท่า ย่อมทำให้นางโมโหแทบคลั่ง สถานการณ์บังคับให้มาถึงจุดนี้แล้ว ขั้นต่อไปตนเองจำเป็ต้องระมัดระวังตัวให้ดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้