เจินจูนั่งอยู่ในห้องโถง ฟังผิงอันเล่าด้วยความสนใจเป็อย่างยิ่ง
“ข้าเห็นจ้าวไฉ่สยากับอาสะใภ้หลิวเอ่อร์เข้าป่าไป ก็รีบให้เอ้อร์หนิวไปตามหัวหน้าหมู่บ้านมาเลย บอกว่าเป็ท่านพ่อมีเื่จะคุยกับเขา หลังจากนั้นตอนเดินไปถึงด้านข้างของป่าก็บอกว่าได้ยินด้านในเหมือนมีคนพูดคุยกันอยู่ จึงพาหัวหน้าหมู่บ้านเข้าไป เื่ก็ดำเนินการไปอย่างราบรื่น ต่อมาเอ้อร์หนิวก็ไปทางเข้าหมู่บ้านอีก ทำทีบอกว่าในป่ามีคนวิวาทกัน หลังจากนั้นก็ดึงดูดชาวบ้านกลุ่มหนึ่งให้มามุงดูขึ้น”
ผิงอันมีสีหน้าภาคภูมิใจอย่างมาก หน้าที่ที่ท่านพี่มอบให้เขา เขาทำสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยม
“เช่นนั้นหลังจากหัวหน้าหมู่บ้านพาคนไปศาลบรรพบุรุษแล้ว เกิดอะไรขึ้น?”
เพื่อไม่ให้หูชุ่ยจูเข้าไปพัวพันกับเื่วุ่นวาย เจินจูเลยไม่ได้ไปมุงดูด้วย กลัวจะไปยั่วโมโหจ้าวไฉ่สยา ทำให้นางไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาแล้วเกี่ยวพันชุ่ยจูเข้าไป แม้ชุ่ยจูจะไม่มีความผิด แต่คำพูดบางอย่างเมื่อแพร่ไปมาย่อมง่ายต่อการเปลี่ยนไปเป็อย่างอื่น สุดท้ายแล้วก็จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของนางเข้า
วิธีที่ดีที่สุดก็คือการตัดสกุลหูออกจากเื่นี้ให้หมด
“หัวหน้าหมู่บ้านเรียกจ้าวป่านเติ้งกับบิดามารดาของหลิวเหล่าซานมาเป็พยานต่อหน้าหนึ่งรอบ ท่านพี่ ท่านอาจไม่ทราบ สถานที่นั้นวุ่นวายนัก จ้าวป่านเติ้งต่อยตีหลิวเหล่าซานทีหนึ่ง ทั้งทุบตีเถียนกุ้ยจือด้วยอีกทีหนึ่ง ต่อมายังสะบัดฝ่ามือฟาดใส่หน้าจ้าวไฉ่สยาอีกหนึ่งฉาดใหญ่ ใบหน้าจ้าวไฉ่สยาบวมนูนออกมาครึ่งหนึ่ง แล้วเขาก็ตำหนินางเสียงดังลั่นเลยว่าให้นางห้ามกลับบ้านมาก่อเื่อีก” เมื่อผิงอันนึกถึงใบหน้าที่บวมออกมาครึ่งหนึ่งของจ้าวไฉ่สยาขึ้น เขาก็หัวเราะจนคล้ายกับลูกสุนัขจิ้งจอกตัวน้อย นางจิตใจชั่วร้ายเองนี่ สมน้ำหน้ายิ่งนัก
“โอ้ ผลสุดท้ายก็จบเช่นนี้หรือ?” เจินจูลูบคาง หากจ้าวเหวินเฉียงทราบว่าจ้าวไฉ่สยามุ่งเป้าไปยังว่าที่หลานสะใภ้ในอนาคตของเขา เขาจะโมโหจนกระทืบเท้าปึงปังด้วยความเดือดดาลสุดขีดหรือไม่นะ
“ไม่เลย อาสะใภ้หลิวเอ้อร์ผู้นั้นเอะอะโวยวายยิ่งนัก บอกว่าเถียนกุ้ยจือตบตีนางจนาเ็ ต้องให้เถียนกุ้ยจือชดใช้ค่าเสียหาย เถียนกุ้ยจืออีกนิดจวนจะเข้าไปตบตีนางขึ้นมาอีกรอบ ต่อมาจ้าวป่านเติ้งเลยชดเชยให้อาสะใภ้หลิวเอ้อร์ไปยี่สิบเหวิน นางจึงเลิกลาไป แต่เถียนกุ้ยจือก็ไม่ยอมอีก บอกว่าหลิวเหล่าซานหลบอยู่ในป่าทำให้นางใกลัว ไม่เพียงทำให้นางได้รับาเ็แต่ยังทำลายชื่อเสียงนางด้วย ต้องให้หลิวเหล่าซานชดใช้ค่าเสียหายเช่นกัน หลิวเหล่าซานอ้ำๆ อึ้งๆ บอกว่าไม่มีเงิน สุดท้ายก็เป็บิดามารดาของเขาชดใช้ให้เถียนกุ้ยจือไปห้าสิบเหวิน” ผิงอันกล่าวเพลิดเพลินเป็อย่างยิ่ง ท่าทางยังดูการแสดงอย่างไม่ถึงอกถึงใจ
“…” อื้ม สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงเอาพี่รองไปพัวพันด้วย ไม่เลว สมองของจ้าวไฉ่สยานับว่ายังไม่คิดสั้น รู้ว่าหากเอาพี่รองเข้าไปพัวพันด้วยก็ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง
“ดียิ่งนัก วันนี้เ้า เอ้อร์หนิวและเสี่ยวเหล่ยจัดการได้ไม่เลว อีกเดี๋ยวเ้าให้เนื้อกวางพะโล้สามชั่งและกุนเชียงสามชั่งกับพวกเขาสองบ้านด้วย ให้พวกเขาปิดปากให้สนิทหน่อย แม้พวกเราจะไม่ได้ทำเื่ที่น่าละอาย แต่อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เื่ที่มีคุณธรรมอะไร ต้องเงียบๆ ไว้หน่อย เข้าใจไหม?”
“ฮิๆ ท่านพี่ ข้าทราบแล้ว ท่านวางใจ พวกเขาล้วนเข้าใจดี จ้าวไฉ่สยาวางแผนใส่พวกเราก่อน พวกเราเพียงทำการปรับเปลี่ยนตามแผนของพวกเขาเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ผิงอันยักคิ้วแล้วหัวเราะอย่างชั่วร้าย
เจินจูยิ้มพร้อมกับลูบศีรษะเล็กของเขา “หากคนเขาไม่ทำผิดต่อเรา เราย่อมไม่ทำผิดต่อเขา พวกเขาอยากวางแผนผู้อื่นก็ต้องเตรียมใจถูกผู้อื่นวางแผนทำร้ายด้วย พวกเราไม่ชอบหาเื่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราเกรงกลัวต่อเื่นั้น”
“อื้มๆ! ท่านพี่ ข้าทราบแล้ว” ผิงอันพยักหน้าไม่หยุดคล้ายกับไก่ตัวเล็กที่จิกเมล็ดข้าวก็ไม่ปาน
“เอาล่ะ เ้าไม่ใช่ว่าอยากขี่ม้าเดินเล่นมาตลอดหรือ รอวันที่ท้องฟ้าสดใสแล้วพี่จะพาเ้าไปขี่ม้าเล่นสักรอบ” เจินจูยิ้มอย่างเอาใจ
“ว้าว เยี่ยมยิ่งนัก พาเสี่ยวหวงกับเสี่ยวเฮยไปได้ไหม?” ผิงอันโห่ร้องด้วยความยินดีทันที ม้าสองตัวของบ้านอาจารย์ฟาง ท่าทีที่มันมีต่อเจินจูและท่าทีที่มีต่อเขาแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ
ดีกับผู้เป็พี่สาวของเขาเสียจนแทบจะคุกเข่าลงพื้นให้นางขึ้นไปได้สะดวกนัก แต่สำหรับเขาแล้วอีกนิดแทบจะจมูกเชิดขึ้นฟ้า
เจินจูหัวเราะแล้วพยักหน้า “อื้ม ไปทั้งหมดเลย นานแล้วที่ไม่ได้จูงม้าไปเดินเล่น ควรพามันไปวิ่งสักหน่อย”
...จ้าวไฉ่สยานั่งลงบนเตียงอิฐด้วยใบหน้าบวมฉึ่งออกมาครึ่งหนึ่ง
เื่ราวเปลี่ยนไปจนกลายเป็เช่นนี้ ต้องผิดพลาดที่ตรงไหนอย่างแน่นอน
“ไฉ่สยา ตอนนี้เ้าอย่าเพิ่งกลับมาบ้านเลยนะ ท่านพ่อเ้าโมโหมากยิ่งนัก เ้าดูใบหน้าเ้าสิ โธ่เอ๋ย กลับไปควรบอกลูกเขยอย่างไรดี แม่จะไปต้มไข่ให้เ้าประคบ เ้ารอหน่อยนะ” เถียนกุ้ยจือกลั้นความเ็ปทั่วทั้งกายลงจากเตียงอิฐ
“ท่านแม่ ทำไมท่านถึงคิดไปในป่าตรงทางเข้าหมู่บ้านได้เ้าคะ?” จ้าวไฉ่สยาถามขึ้นมากะทันหัน
เถียนกุ้ยจือชะงักทันที คิดอะไรขึ้นได้ นางจึงกลับไปข้างขอบเตียงอิฐ แล้วกล่าวกับไฉ่สยาด้วยความจริงใจแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง “ไฉ่สยา แม่รู้ เ้าแต่งให้กับตู้ต้าฝูคงรู้สึกกล้ำกลืน แต่เ้าก็แต่งงานไปแล้ว และยังตั้งครรภ์ลูกของเขาอยู่อีก ต่อไปเ้าอย่าทำเื่โง่เขลาอีกเลย หากถูกคนพบเข้าอาจเกิดความร้ายแรงเป็อย่างมากได้นะ”
จ้าวไฉ่สยายิ่งฟังก็ยิ่งตื่นใ เหตุใดท่านแม่ของนางถึงรู้ความคิดของนางได้ ลำคอของนางแห้งผาก “ท่านแม่ ท่าน… รู้อะไรมาบ้างหรือเ้าคะ?”
“เฮ้อ แม่ได้ยินเด็กน้อยสองคนพูดคุยกัน บอกว่าเ้าเข้าไปในป่านานาพันธุ์ตรงทางเข้าหมู่บ้าน แล้วผู้ที่อยู่ในป่าด้วยกันกับเ้ายังเป็ผู้ชายเยาว์วัยคนหนึ่งด้วย แม่ร้อนใจนักกลัวว่าเ้าจะทำอะไรยุ่งเหยิงเข้า เลยวิ่งพุ่งตรงออกไป ผู้ใดจะรู้ว่าในป่ามืดสลัวนัก แม่คิดกำลังจะออกไปอยู่แล้วแต่เ้าชั่วหลิวเหล่าซานนั่นเข้ามาปิดปาก และลากเข้าไปในป่า” ตอนนี้พอเถียนกุ้ยจือคิดขึ้นมาแล้วก็รู้สึกกลัดกลุ้มอัดแน่นอยู่เต็มอกยิ่งนัก
“เด็กสองคน? ผู้ใดเ้าคะ?“ จ้าวไฉ่สยารีบซักถาม
“…นี่ ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนัก อย่างไรก็เป็เด็กผู้ชายสองคนอายุแปดปีหรือเก้าปีแม่ก็ไม่ทันมองให้ดี น่าจะเป็เด็กในหมู่บ้าน” เถียนกุ้ยจือในตอนนั้นกำลังเอาเสื้อผ้ามาผึ่งแดดอยู่ในลานบ้าน พอเด็กสองคนกล่าวจบ นางก็รีบวิ่งพุ่งออกไปทันทีอย่างร้อนรน
เหตุใดบังเอิญเพียงนี้ ตอนเช้านางไปดูลาดเลาทางหนีทีไล่ในป่ากับหลิวเหล่าซานจริงๆ แต่เข้าไปครู่เดียวก็ออกมา นางตั้งใจมองแล้วว่าไม่มีคนถึงได้วิ่งเข้าไป เด็กผู้ชายสองคนอายุแปดถึงเก้าปีจะเห็นนางกับหลิวเหล่าซานเข้าไปได้อย่างไร? จ้าวไฉ่สยาคิดด้วยความคับแค้นใจ
สรุปแล้วหูชุ่ยจูผู้นั้นก็ไม่ได้เข้าไปในป่านั่น? ไม่ได้ไปหรือไปแล้วแต่เห็นว่ามีเื่ราวเอะอะโวยวายแล้วหนีไปก่อน?
จ้าวไฉ่สยาปวดศีรษะเล็กน้อย นางลูบใบหน้ารูปไข่ที่บวมแดง แล้วก็คิดถึงใบหน้าที่ท่าทางเบื่อหน่ายระอาของบิดาขึ้น นางกัดริมฝีปากล่างแน่น รู้สึกน้อยใจไม่หยุด
ฉับพลันนั้นท้องของนางก็เ็ปขึ้นมาพักหนึ่ง ระหว่างขาสองข้างราวกับมีของเหลวเปียกชุ่มไหลลงมา
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที เสียงสูงร้องะโเรียกเถียนกุ้ยจือที่เข้าไปในห้องครัว
เถียนกุ้ยจือเร่งรีบวิ่งเข้ามาในห้อง เห็นจ้าวไฉ่สยาประคองท้อง กระโปรง่ล่างถูกย้อมเป็สีแดงเล็กน้อย นางใจนส่งเสียงตื่นตระหนกเล็กแหลมออกมา
นางพยุงจ้าวไฉ่สยาให้นอนลงบนเตียงอิฐ
รอจนท่านหมอชราหลินเข้ามาอย่างรีบร้อน ผ้าห่มกับที่นอน่ล่างของจ้าวไฉ่สยาก็ย้อมไปด้วยสีแดงเป็วงกว้าง
เมื่อท่านหมอหลินจับชีพจรก็ทราบได้ว่าจ้าวไฉ่สยาแท้งลูกแล้ว
ทันทีที่คำพูดของเขากล่าวออกมา เถียนกุ้ยจือและจ้าวไฉ่สยาแม่ลูกไม่ทำเสียงอะไรออกมาสักนิด คล้ายกับจั๊กจั่นปลายฤดูใบไม้ร่วง [1]
เหตุใดจึงเป็เช่นนี้? จ้าวไฉ่สยาลูบท้องของตนเองก็เห็นว่ายังดีๆ อยู่เลย ทำไมถึงแท้งได้ล่ะ?
ท่าหมอหลินกล่าวว่านางคิดมากเกินไป เกิดความกลัดกลุ้มอัดแน่นอยู่ในใจ รวมกับวันนี้ที่ความโมโหกระทบกระเทือนจิตใจ เืลมแปรปรวน อารมณ์ขึ้นลงพลิกผัน เดิมทีตัวอ่อนในครรภ์ของนางก็ไม่มั่นคงอยู่แล้ว พอมาเป็เช่นนี้อีกทารกในครรภ์เลยรักษาไว้ไม่ได้
ตัวอ่อนในครรภ์ของนางก็ไม่มั่นคงหรือ? ไม่กี่วันก่อน ่ล่างของนางมีเืไหลออกมาจางๆ เล็กน้อย นางว้าวุ่นอยู่กับเื่หูชุ่ยจูและจ้าวไป่ิที่จะหมั้นหมายกันอยู่ตลอด จึงไม่ได้ใส่ใจนัก
ที่แท้ก็มีสัญญาณล่วงหน้าั้แ่เนิ่นๆ แล้ว จ้าวไฉ่สยาใบหน้าขาวซีดทันที นางยังรีบมาวางแผนใส่ผู้อื่นอีก นี่เป็การชดใช้ผลกรรมอย่างนั้นหรือ?
หางตาจ้าวไฉ่สยามีน้ำตาแห่งความเสียใจไหลริน อะไรที่ไม่ใช่ของตนเอง ถึงที่สุดแล้วก็ดึงดันให้ได้มาไม่ได้
เถียนกุ้ยจือทรุดนั่งลงบนพื้น วันนี้นางวิวาทกับหลิวเอ้อร์ และยังถูกจ้าวป่านเติ้งฟาดอยู่หลายที ทั่วทั้งกายไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งได้ฟังข่าวร้ายของจ้าวไฉ่สยาเข้าไปอีก นางจึงยืนหยัดไว้ไม่ไหว
“โธ่เอ๋ย ไฉ่สยาบุตรสาวที่ชีวิตอาภัพของข้า กว่าลูกน้อยที่ตั้งตารอคอยจะมาไม่ง่ายเลย ก็มาจากไปแบบนี้เสียแล้ว เวรกรรมยิ่งนัก” เถียนกุ้ยจือตบตีต้นขาของตนเอง กล่าวไปพลางร่ำไห้ไปพลาง โศกเศร้าไม่หยุด
ท่านหมอหลินขมวดคิ้วขึ้น เื่วันนี้เขาก็ได้ยินมาเช่นกัน สองแม่ลูกคู่นี้มักทำให้ตัวเองเ็ปอยู่เสมอ หากจ้าวไฉ่สยาอยู่บ้านบำรุงครรภ์ให้ดีคงไม่เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นหรอก
“ภรรยาป่านเติ้ง ท่านอย่าร้องไห้เสียงดังไปเลย ตอนนี้บุตรสาวของท่านยัง้าการดูแลจากท่านอยู่ หากไม่ดูแลบำรุงร่างกายให้ดี คราวหน้าก็จะยิ่งยากขึ้นแล้ว”
เถียนกุ้ยจือชะงักทันที หยุดร้องไห้คร่ำครวญไปตามคาด นางข่มความเจ็บทั่วทั้งกายไว้และหยัดกายยืนขึ้น “ท่านหมอหลิน ท่านรีบสั่งยามาได้เลย ข้าจะให้ไฉ่เฟิงตามไปรับยากับท่าน ส่วนค่ายารอให้จ้าวป่านเติ้งน่าตายนั่นกลับมา ค่อยนำไปให้ท่านอีกทีนะเ้าคะ”
เถียนกุ้ยจือคิดโทษจ้าวป่านเติ้งขึ้น หากไม่ใช่จ้าวป่านเติ้งตบหน้าจ้าวไฉ่สยา บุตรสาวของนางอาจไม่มีทางแท้งก็ได้
ท่านหมอหลินส่ายหน้า จ้าวป่านเติ้งได้พบเข้ากับภรรยาเช่นนี้ ชีวิตความเป็อยู่ช่างผ่านไปได้อย่างยากลำบากนัก
...ตาตาร์กับหว่าชื่อถอนทัพไปตั้งมั่นอยู่กำแพงเมืองที่ถูกยึดไว้
ข่าวนี้ได้แพร่กระจายมาถึงยังเมืองหลวง ประชาชนล้วนรู้สึกดีใจต่างะโโลดเต้นกับข่าวการพักรบนี้ยิ่ง
แม้ถูกยึดกำแพงเมืองไปบ้าง แต่นั่นล้วนอยู่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือทั้งสิ้น ไม่ได้ส่งผลร้ายแรงกับพื้นที่ภายในอาณาจักร ก้นบึ้งของหัวใจประชาชนย่อมสงบลงเป็ธรรมดา
ผนวกกับอาการประชวรของฮ่องเต้เริ่มดีขึ้นอย่างช้าๆ ชั่วขณะหนึ่งในอาณาจักรที่แต่เดิมวุ่นวายก็คืนสู่ลู่ทางที่ถูกต้องตามลำดับ
ท้องฟ้าของเมืองหลวง เกล็ดหิมะเต็มไปทั่วท้องฟ้า
โปรยปรายลงเป็สาย ราวกับขนห่านก็ไม่ปาน บางเบาและลอยร่วงลงมา
ภายในที่พักไท่อัน บนต้นไม้ที่เขียวชอุ่มอยู่ตลอดทั้งสี่ฤดู ได้ถูกกองหิมะทับถมปกคลุม ผืนหิมะบนยอดไม้ร่วงหล่นลงมาเป็ระยะๆ
ภายในห้องที่อบอุ่น ทั่วทั้งใบหน้าของอันซื่อเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ นางกำลังดื่มชาร้อนกรุ่นที่ชงขึ้นใหม่ นั่นเป็ชาดอกกุหลาบหนึ่งกระปุกเล็กที่กู้ฉีนำกลับมาจากบ้านสกุลหู
“ฉีเอ่อร์ ขณะนี้กำลังวังชาของฮ่องเต้หนึ่งวันดีขึ้นมากกว่าอีกหนึ่งวันนัก โสมคนสองต้นนั้นมหัศจรรย์เกินไปแล้วจริงๆ ตอนเ้าของร้านในอำเภอหย่งหลินรับโสมคนไว้ ไม่ได้เก็บชื่อและที่อยู่ของคนเก็บโสมคนไว้หรือ?”
“ท่านแม่ ร้านสมุนไพรที่รับซื้อวัตถุดิบยาโดยตลอดมาก็จะไม่เก็บชื่อแซ่และที่อยู่ของคนขายไว้ นี่เป็กฎบังคับของอาชีพนี้ขอรับ” กู้ฉีส่ายหน้า
“เฮ้อ แม่แค่กลัว หากภายภาคหน้าอาการประชวรของฮ่องเต้กำเริบขึ้นมา พวกเราจะไปหาโสมคนชั้นยอดที่ไหนถวายขึ้นไปอีก” อันซื่อถอนหายใจ
กู้ฉียกถ้วยชาขึ้น นิ้วมือลูบไล้ลวดลายดอกไม้ล้ำค่าที่ผลิบานอยู่บนถ้วยชาเบาๆ
“ท่านแม่ เรือมาถึงสะพานแล้วย่อมต้องตรงต่อไป ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลยขอรับ”
อันซื่อเห็นบุตรชายท่าทางจิตใจสงบ อดเผลอยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ใช่แล้ว แม่ทุกข์ใจมากเกินไปจริงๆ ครั้งนี้หากพระวรกายของฮ่องเต้หายเป็ปกติได้ก็จะดีมากยิ่งนัก เื่ภายภาคหน้าก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะควบคุมได้”
กู้ฉีจิบชา กลิ่นหอมของดอกกุหลาบอันเข้มข้นกระจายอยู่ทั่วทั่งปาก ใบหน้าและจมูกล้วนจมดิ่งสู่ท่ามกลางกลิ่นหอมนั้นไปทั่ว
อันซื่อสูดดมกลิ่นหอมดอกไม้เข้าจมูก แล้วถอนหายใจ “ชาดอกกุหลาบนี้หอมจริงๆ เป็ผลผลิตของสกุลหูด้วยหรือ?”
การกระทำบนมือกู้ฉีหยุดชะงัก “ไม่ใช่ เป็ข้าที่ซื้อมาตอนอยู่หัวเมืองเอ้อโจว ซื้อเพียงหนึ่งกระปุกเล็กเพื่อชิมรสชาติเท่านั้นขอรับ”
เขาต้องเริ่มลดเลือนภาพความจำของอันซื่อที่มีต่อสกุลหูช้าๆ ป้องกันวันข้างหน้าไม่ให้นางหยิบยกสกุลหูมาใช้ประโยชน์ได้
“อื้ม อร่อยยิ่งนัก น่าเสียดายเ้าซื้อมาเพียงกระปุกเล็กแค่นี้เอง” อันซื่อยกถ้วยชาขึ้นดื่มหนึ่งอึก
ในห้องอันอบอุ่นอุณหภูมิดั่งฤดูใบไม้ผลิ อันซื่อดื่มชาร้อนอยู่สองสามอึก รู้สึกว่าบนหน้าผากมีเหงื่อชุ่มบางๆ นางล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเบาๆ
“เมื่อวาน เ้าไปจวนท่านโหวเหวินชางมา ท่านน้าเ้าสบายดีหรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] ไม่ทำเสียงออกมาคล้ายกับจั๊กจั่นปลายฤดูใบไม้ร่วง เป็การอุปมาว่า กังวล ไม่กล้าทำเสียงหรือกล่าวอะไรออกมา เหมือนกับจั๊กจั่นในปลายฤดูใบไม้ร่วงที่จะเก็บตัวเงียบไม่ส่งเสียง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้