“อ้อ” ซินหรูเห็นขันทีทางด้านนั้นแล้วเช่นกัน “พี่สาวจะไปแล้วหรือเ้าคะ?”
“อื้อ”
ซินหรูยื่นมือออกไป “พี่สาว ข้าก็เลี้ยงงูลวดลายสีเหลืองไว้ตัวหนึ่งข้าเรียกมันว่า อาหวง” นางยื่นงูเล็กๆ ตัวหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของนางราวกับเป็สมบัติล้ำค่าของตน
งูตัวนั้นยังอายุน้อยมากทั้งตัวเล็กกะจิดริดหลินชิงเวยมองแล้วคิดว่าซินหรูหาสหายที่ดีได้คนหนึ่งทว่าชัดเจนอย่างยิ่งว่าทำให้ขันทีที่นำความมาแจ้งนั้นตื่นตระหนกใ
หลินชิงเวยขยิบหางตาให้นางครั้งหนึ่ง “เยี่ยมมากพี่สาวกลับมาค่อยมาชมเชยเ้า เก็บมันขึ้นมาก่อน”
“อ้อ” ซินหรูเก็บงูตัวนั้นขึ้นมาราวกับกำลังม้วนเชือกเส้นหนึ่งแล้วส่งเข้าไปในช่องแขนเสื้อ
ขันทีก้าวขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่ไม่มั่นคงนัก “หลิน หลินเฟยเหนียงเหนียงฝ่าามีรับสั่งให้หลินเฟยเหนียงเหนียงเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
กงกงเบื้องหน้าเป็ผู้นำทางหลินชิงเวยไปยังตำหนักซวี่หยางทันทีที่ก้าวเข้าประตูตำหนักลำพังเพียงแค่ทัศนียภาพก็ชัดเจนยิ่งนักว่าคนละระดับกับตำหนักฉางเหยี่ยนนางกำนัลภายในตำหนักซวี่หยางมีจำนวนมากกว่านางกำนัลในตำหนักฉางเหยี่ยนเป็สิบเท่าอีกทั้งทุกอย่างล้วนเป็ระเบียบเรียบร้อยมีกงกงของตำหนักซวี่หยางนำทางหลินชิงเวยจึงเดินเข้าไปโดยมิถูกขัดขวางกระทั่งมาถึงตำหนักบรรทมของเซียวจิ่น
กงกงขานขึ้นด้านนอกตำหนักบรรทม “ทูลฝ่าาหลินเฟยเหนียงเหนียงมาถึงแล้วพะยะค่ะ”
ชั่วอึดใจหนึ่งได้ยินเสียงไอโขลกลอยมาจากข้างใน น้ำเสียงอ่อนแรงกล่าวขึ้นว่า“เข้ามาเถิด”
ดังนั้นประตูห้องจึงถูกเปิดออกจากด้านในนางกำนัลชุดหนึ่งเดินออกมาเป็แถวราวกับฝูงปลา จากนั้นข้างในพลันเงียบงันรอเพียงหลินชิงเวยเข้าไปหลินชิงเวยยกเท้าก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปสู่ตำหนักบรรทมของเซียวจิ่น
นางเคยมาตำหนักบรรทมแห่งนี้เมื่อหลายวันก่อนดังนั้นจึงไม่รู้สึกแปลกที่แปลกทางทว่านางกลับรู้สึกแปลกหน้าต่อคนที่อยู่ในตำหนักบรรทมแห่งนี้ยิ่งยวด
การมาในครั้งก่อนเซียวจิ่นนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงแต่เวลานี้เขาสวมอาภรณ์เรียบร้อยและกำลังนั่งอยู่อย่างสงบนิ่งบนเก้าอี้รถเข็น
บรรยากาศเงียบสงบครอบคลุมภายในตำหนักบรรทม
พูดจริงๆ แล้ว หลินชิงเวยไม่ค่อยถนัดกับการต้องรับมือกับเด็กน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กน้อยเช่นเซียวจิ่นที่มีร่างกายพิการอีกทั้งเป็เด็กน้อยที่มีฐานะเป็ถึงฮ่องเต้ นางเป็เพียงชาวบ้านธรรมดาสามัญคนหนึ่งต่อให้เป็นางสนมในตำหนักในก็ตามที ซ้ำทั้งยังเป็นางสนมของเด็กน้อยที่ยังไม่ถึงวัยเจริญพันธุ์คิดดูแล้วก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจยิ่งนัก หากว่ากันตามเหตุผลนางควรจะคุกเข่าให้กับเด็กน้อยคนนี้จากนั้นต้องเอ่ยอย่างจงรักภักดีว่า“ฝ่าาทรงพระเจริญ หมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”
ละเว้นนางเถิด นางคุกเข่าไม่ลงจริงๆ
เซียวจิ่นประเมินนางอย่างละเอียดถี่ถ้วนบนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มปรากฏอยู่ เมื่อเขายิ้มส่งผลให้ใบหน้านั้นสง่างามและสดใสยิ่งยวดเขากล่าวว่า “หากเ้าไม่อยากคุกเข่าให้เจิ้น เจิ้นจะละเว้นธรรมเนียมนี้ให้กับเ้า”
“...” หลินชิงเวยหางตากระตุก เ้าเด็กร้ายกาจคนนี้ กลับอ่านใจนางออกทะลุปรุโปร่งอะไรจะอ่อนไหวปานนี้ นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ถวายพระพรฝ่าาเพคะ”
เซียวจิ่นให้นางลุกขึ้น ต่อมาหลินชิงเวยจึงก้าวขึ้นหน้า“วันนี้ฝ่าารู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวหรือไม่เพคะ?อีกประเดี๋ยวหากหม่อมฉันทำอะไรที่เป็การล่วงเกินฝ่าา ยังต้องขอฝ่าาโปรดประทานอภัยระหว่างหม่อมฉันและฝ่าามิใช่ฮ่องเต้และขุนนาง แต่เป็หมอและคนไข้เพคะ”
เซียวจิ่นมองสายตาจริงจังของนางแล้วอดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม “ได้เช้าวันนี้เจิ้นตื่นขึ้น รู้สึกเวียนศีรษะและหนักศีรษะ”
“ไม่ค่อยสดใส?”
“ประมาณนั้น”
เสียงนกที่อยู่บนต้นไม้ด้านนอกร้องจิ๊บๆนางกำนัลล้วนเฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักบรรทม หลินชิงเวยเดินไปถึงริมหน้าต่างใช้ไม้ค้ำอันหนึ่งที่วางอยู่ด้านข้างเปิดประตูหน้าต่างออกไปอากาศจากภายนอกถ่ายเทเข้ามา ปรากฏให้เห็นสภาพอากาศในวสันตฤดูอยู่เบื้องหน้า เ้านกน้อยที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ะโไปมาอย่างคล่องแคล่วว่องไวมันกระพือปีกบินไปกิ่งนั้นบ้างกิ่งนี้บ้าง นางหันกลับมามองเซียวจิ่น “เช่นนี้อาจจะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเพคะ”
เซียวจิ่นหันหน้าไปทางหน้าต่างแสงสว่างในตำหนักบรรทมสว่างขึ้นหลายส่วน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาคล้ายกับบรรยากาศในวสันตฤดู“ดีขึ้นบ้างแล้วจริงๆ”
เมื่อหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงมาถึงตรวจชีพจรของเซียวจิ่นในยามเช้าตามปกติเห็นสภาพภายในตำหนักบรรทมของเซียวจิ่นถึงกับเบิกตากว้าง ด้วยคิดว่าตนเองดวงตาพร่ามัวเสียแล้ว
เวลานั้นหลินชิงเวยโน้มกายเข้ามายื่นมือแตะหน้าผากของเซียวจิ่นนางเอ่ยเสียงต่ำว่า “พระอาการตัวร้อนเริ่มลดลงเหลือเพียงตัวรุมๆ แล้วเพคะ พระอาการตัวร้อนสำหรับฝ่าาแล้วนั้นถือเป็เื่ปกติธรรมดานี่เป็เื่ที่ถูกกำหนดด้วยพื้นฐานร่างกายของฝ่าาฝ่าาเป็เช่นนี้ั้แ่ถือกำเนิดมาใช่หรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่นพยักหน้า “ั้แ่เจิ้นถือกำเนิดมาสุขภาพอ่อนแอหลายโรครุมเร้า”
หลินชิงเวยมองเขาแวบหนึ่ง แล้วยกข้อมือของเขาขึ้นมาจับชีพจรของเขา“เช่นนั้นการที่ท่านเติบโตได้จนถึงวันนี้ช่างเป็เื่ไม่ง่ายดายจริงๆ” หมอหลวงที่ยืนอยู่มุมหนึ่งปาดเหงื่อแทนหลินชิงเวย นางเอ่ยวาจาไม่เกรงใจเช่นนี้ หากฝ่าาเกิดโทสะขึ้นเกรงว่าศีรษะคงต้องหลุดออกจากบ่ากระมังต่อให้ฝ่าาของพวกเขาจะมีอุปนิสัยสุภาพอ่อนโยนมาตลอดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนั้นทว่ากลับมิได้ถือสา เพียงแต่หัวเราะหึๆหลินชิงเวยยกมือขึ้นบีบคางของเซียวเจิ่น “เด็กดี แลบลิ้นออกมาให้พี่สาวดูสักหน่อย”
หมอหลวง “...” นี่ นี่ต้องศีรษะหลุดออกจากบ่าแล้วเป็แน่! นี่มาตรวจรักษาอาการประชวรหรือมายั่วยวนฝ่าาต่อหน้าธารกำนัลกันแน่!
เซียวจิ่นยังคงแลบลิ้นออกมาอย่างเชื่อฟังแต่กลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจนักว่า“เ้าแน่ใจว่าเ้าไม่ได้ทำให้การรักษาดูบานปลายใหญ่โตเกินไป?”
หลินชิงเวยดูปลายลิ้นค่อนข้างแดงของเขาผิวของลิ้นไม่สม่ำเสมอจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “การตรวจดูและสอบถามทั้งหมดนี้ข้าไม่ได้ทำเกินไปต่อให้ทำเกินไ ก็ต้องขอให้ฝ่าาโปรดประทานอภัย ดูแล้วฝ่าาไม่เพียงแต่สุขภาพอ่อนแอก่อนหน้านี้ด้วยกระเพาะอาหารไม่แข็งแรงจึงส่งผลให้เจ็บป่วยได้ง่ายเื่ที่ต้องรักษามีหลายอย่าง”พูดแล้วจึงปล่อยคางของเซียวจิ่น “แต่วันนี้ข้าจะช่วยท่านขับพิษในร่างกายอีกครั้งหนึ่งก่อนหาไม่แล้วหากตัวร้อนขึ้นมาไม่รู้ว่าจะขึ้นถึงสมองเมื่อใด” นางหันกลับไปมองหมอหลวงที่ยืนอยู่ในมุมหนึ่ง“นำล่วมยาของพวกท่านมาให้ข้าใช้ก่อน”
เซียวจิ่นกล่าว “ส่งล่วมยาขึ้นมาแล้วถอยออกไปเถิดมีอะไรเจิ้นค่อยเรียกพวกเ้า”
หมอหลวงทั้งสองนำล่วมยามาวางไว้ข้างกายหลินชิงเวยแล้วถวายบังคมถอยออกไป
หลินชิงเวยทางหนึ่งเปิดล่วมยาออก อีกทางหนึ่งพลิกหาเข็มเงิน“ต่อไปฝ่าาคิดจะให้หม่อมฉันเป็หมอส่วนพระองค์ของฝ่าาหรือไม่เพคะ?หากเป็เช่นนั้นก็สมควรที่จะจัดล่วมยาที่มีเครื่องไม้เครื่องมือทุกอย่างครบถ้วนให้หม่อมฉันก่อนจึงจะใช้ได้”นางเปิดกระเป๋าผ้าเข็มเงินออกและมองไปทางเซียวจิ่น “การฝังเข็มจะต้องนอนลงบนเตียงจะให้หม่อมฉันเรียกนางกำนัลเข้ามาหรือให้หม่อมฉันอุ้มฝ่าาขึ้นไปบนเตียงเพคะ?”
เซียวจิ่นก้มหน้าลง สีหน้าที่ปรากฏนั้นแดงระเรื่อดูเหมือนจะตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง ยังไม่รอให้เขาตอบคำ หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นอีกว่า “เื่แค่นี้ยังต้องให้ฝ่าาถึงกับสับสนลังเลอีกหรือเพคะ?”นางก้มตัวลงมาอย่างว่องไวกลิ่นหอมจางๆจากร่างกายของนางเป็กลิ่นของสมุนไพรและกลิ่นหอมจากเรือนกายของหญิงสาวทำให้เซียวจิ่นรู้สึกไม่เป็ตัวของตัวเองไปครู่หนึ่ง หลินชิงเวยอุ้มเซียวจิ่นขึ้นมาจากเก้าอี้รถเข็นจากนั้นเดินไปยังแท่นบรรทมั วางเขาลงบนเตียง
สีหน้าที่ปรากฏบนใบหน้าของหลินชิงเวยปราศจากอารมณ์และความรู้สึกใดๆนางทำทุกอย่างด้วยความตั้งอกตั้งใจราวกับว่าหากเซียวจิ่นที่ถูกอุ้มขึ้นมาเกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาล้วนเป็เื่ไม่สมควร
เพราะนี่เป็เื่ที่จริงจังเื่หนึ่ง
หลินชิงเวยคิดในใจ นางยังขาดผู้ช่วยแพทย์คนหนึ่งนี่นานางเป็หมอมิใช่นางพยาบาลสักหน่อย เื่เหล่านี้ล้วนเป็งานที่พยาบาลต้องทำ
หลินชิงเวยเอ่ยขึ้น “ฝ่าา ลำดับต่อมาข้าต้องปลดอาภรณ์ของพระองค์ หากพระองค์รู้สึกลำบากใจก็หลับตาลงเสีย หรือจะให้หม่อมฉันฝังเข็มให้ฝ่าาหมดสติไปจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรเพคะ”