Chapter 8
เอเดนพลิกตัวบนเตียงนอน วาดแขนควานหาร่างเพรียวบางที่ให้เขาโอบกอดทั้งคืน พบเพียงความอุ่นที่ทิ้งไว้บนฟูก แต่ไร้ร่างกายของอีกฝ่ายนอนอยู่ เขาจึงลืมตาเด้งตัวขึ้นด้วยความใ กดปุ่มเปิดผ้าม่านเพิ่มแสงสว่าง คาดหวังให้โจไซอานั่งเล่นอยู่บนโซฟาเดี่ยว หรืออยู่สักมุมหนึ่งในห้องนอนแต่กลับไม่พบ หัวใจของเขาร่วงหล่นไปอยู่ที่พื้นเมื่อเห็นว่าประตูห้องนอนไม่ได้ล็อกเอาไว้เหมือนเมื่อคืน
“เฮเซล! เฮเซล”
เขาลุกจากเตียง เดินรอบชั้นสามพลางะโเรียกชื่ออีกฝ่ายแต่กลับไม่พบ หัวใจเต้นระรัวด้วยความกังวลอย่างห้ามไม่อยู่ มือของเขาสั่นเพราะไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ในหัวของเอเดนมีแต่เื่ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น กระทั่งได้ยินเสียงะโโวยวายจากโถงชั้นสอง
เอเดนรีบวิ่งลงบันไดทันที เสียงโวยวายเงียบลงแล้ว พร้อมกับพ่อบ้านแม่บ้านสองสามคนกำลังรีบวิ่งไปที่ห้องโถงด้วยใบหน้าตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน พวกเขารีบจนไม่ทันเห็นเอเดนด้วยซ้ำ ขายาวจึงพาตัวเองเดินผ่านกำแพง จนเห็นห้องนั่งเล่นอเนกประสงค์ แหล่งที่มาของเสียง
“เอเดน แม่ว่าจะให้คนไปเรียกอยู่พอดี” แม่เอ่ยด้วยเสียงร่าเริง เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวม มีนิตยสารวางอยู่บนตัก
ทุกอย่างตรงหน้าเอเดนเป็ภาพที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ราวกับเป็เพียงความฝัน
“ฮ่า ๆๆๆ จริงเหรอ” คือภาพพ่อที่หัวเราะเสียงดัง เพราะเฮเซลพูดอะไรบางอย่าง
“เฮเซล” เขาเรียกชื่ออีกฝ่าย โดยที่สมองว่างเปล่าทำตัวไม่ถูกกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“เอเดน มากินด้วยกันสิ” อีกฝ่ายตอบด้วยรอยยิ้ม กวักมือเรียกเขาให้มานั่งข้างกันที่บาร์เล็ก ๆ
“ไม่เห็นลูกบอกพ่อเลยว่ารู้จักคนคุยสนุกอย่างเฮเซล”
ขณะที่เอเดนอึ้งและพูดอะไรไม่ออก ทุก ๆ คนกลับทำราวเป็เื่ปกติดี มือเรียวดึงมือของเอเดนให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวสูงข้างกัน แล้วแม่บ้านก็เอาจานมื้อเช้าที่มีแพนเค้ก เบคอน และไข่มาวางตรงหน้า โจไซอาเป็คนรินน้ำเปล่าใส่แก้วให้เขา ขณะที่พ่อกำลังรินเหล้าจากขวดใส่แก้วสั้นของตัวเองด้วยรอยยิ้มที่เอเดนไม่ค่อยได้เห็นหากไม่อยู่ต่อหน้าแขกทางธุรกิจ
“แม่ครัวทำอาหารอร่อยมากเลย” โจไซอาพยายามอย่างมากให้เอเดนไม่สงสัย เขาตักแพนเค้กเข้าปากแล้วเคี้ยว จ้องมองสีหน้าสับสนของเอเดน รอให้หันมาสบตาตนเอง
“นี่เื่จริงเหรอเฮเซล” เขาดูไม่เชื่อสิ่งที่เห็น มันตรงกันข้ามกับที่เอเดนพบเจอมาตลอดชีวิต
“เื่จริงอะไรกัน” โจไซอาตอบปัด ก้มหน้ามองแพนเค้กตัวเองในจานที่ใกล้หมด เื่ราวที่เขาสร้างขึ้นใหม่เพื่อสะกดจิตพ่อกับแม่ของเอเดนสมบูรณ์แบบเกินไปจนเอเดนรู้สึกแปลก
“พ่อไม่ต้องไปที่บริษัทเหรอครับ” เอเดนละสายตาจากโจไซอา และเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ เขาตั้งใจถามเพื่อรอคอยคำตอบที่ตนเองรู้ดีอยู่แล้ว วิลเลียม กริฟฟินไม่สนใจวันหยุด ไม่มีเหตุผลให้ต้องอยู่บ้านเวลานี้
“ไม่มีทาง นี่วันหยุดพ่อนะ ฮ่า ๆๆ” วิลเลียมหัวเราะชอบใจง่ายดายอย่างไร้เหตุผลผิดกับปกติ “เฮเซล ตามสบายเลยนะ ดูแลแขกให้ดีด้วย” พ่อของเอเดนพูดกับโจไซอาอย่างเป็กันเอง และหันไปกำชับแม่บ้านที่ยืนชิดกำแพง ก่อนจะเดินไปนั่งหน้าโทรทัศน์จอใหญ่
“ไม่กินเหรอเอเดน” ใบหน้าของเอเดนสับสน และไม่อาจละทิ้งหลากหลายคำถามที่ผุดขึ้นมาเป็ร้อยข้อได้เลย โจไซอาไม่สามารถเปลี่ยนเื่กลบเกลื่อนดึงความสนใจได้ เพราะเื่ราวที่เขาสร้างขึ้นตรงกันข้ามกับความจริงเกินไป
เอเดนไม่ตอบ และลุกขึ้นจากเก้าอี้บาร์ เดินตรงไปนั่งเก้าอี้บุนวมข้างกับแม่ที่กำลังดูนิตยสารอยู่ คงมีแต่นิตยสารแฟชั่นบนตักของเธอที่ไม่ได้ผิดแปลกไปจากความจริง แต่รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนบนใบหน้าที่ส่งให้ลูกชายคนเดียวกลับดูแปลกจนน่ากลัว
“แม่ครับ”
“จ้ะ ลูกรัก”
“เื่แต่งงาน…” เขาหย่อนคำถามเพื่อทดสอบ แม่ของเอเดนปิดนิตยสารสีหน้ากระตือรือร้น ขมวดเรียวคิ้วแน่นทันทีั้แ่เขายังพูดไม่จบประโยค
“กับเฮเซล? เอเดน แม่ขอร้อง เื่แบบนี้เราต้องค่อย ๆ คิด จะด่วนตัดสินใจไม่ได้นะ ลูกเพิ่งเจอกันได้แค่อาทิตย์เดียวเอง”
“แค่อาทิตย์เดียว? แม่รู้เหรอครับ”
“เฮเซลเป็คนบอกแม่จ้ะ” โจไซอาแอบฟังบทสนทนาด้วยความหูดีกว่ามนุษย์ แกล้งทำเป็ไม่ได้ยินอะไรแล้วจัดการมื้อเช้า รับบทเป็คนหิวโซไม่รู้เื่รู้ราว
“ที่จริงผมหมายถึง กับเจน วูดเฮาส์…” หญิงวัยกลางคนมองไปที่สามีซึ่งนั่งดูการแข่งขันรถฟอร์มูลาวันจากโทรทัศน์อยู่ที่อีกมุมหนึ่งของห้องโถงแล้วถอนหายใจ
“แม่กับพ่อเปลี่ยนใจแล้ว คู่ชีวิตที่จะอยู่กับลูกตลอดไปควรจะเป็คนที่ลูกเลือกเอง และรักด้วยหัวใจ กับวูดเฮาส์แม่หวังว่าพวกเขาจะเข้าใจ”
โจไซอาแอบอมยิ้มขณะตักแพนเค้กคำสุดท้ายเข้าปาก เพราะประโยคหนักแน่นจากแม่ของเอเดนทำให้อีกฝ่ายเริ่มโอนอ่อนคลายความสงสัยจากเดิมลงมาก
“เอเดน เฮเซลบอกพ่อว่าลูกอยากหาเวลาไปพักผ่อน” จู่ ๆ พ่อของเอเดนก็ละสายตาจากการแข่งขันและพูดขึ้นมาดื้อ ๆ แต่มันคือสิ่งที่โจไซอากำหนดเอาไว้แล้ว
“อะไรนะครับ” เอเดนมองพ่อและโจไซอาสลับกัน
“ทำไมลูกกับเฮเซลไม่ไปเที่ยวด้วยกันสักหน่อยล่ะ”
เอเดนจ้องโจไซอานิ่ง ทุก ๆ อย่างบนใบหน้าบ่งบอกถึงหลายร้อยคำถามที่เกิดขึ้นในความคิดของเอเดน แต่เมื่อดวงตาสีเฮเซลจ้องมองโจไซอาที่ยิ้มและยักไหล่ให้ ราวกับการทำให้พ่อแม่ของเอเดนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังมือนั้นง่ายแสนง่าย เพียงเท่านั้นมนุษย์ที่แสนใสซื่อก็ปลดปล่อยคำถามออกไปจากความคิด เอเดนยิ้มกว้างด้วยความสุขครั้งแรกของวัน
และยังคงเป็รอยยิ้มที่อบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์แรกของฤดูใบไม้ผลิเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนเอเดน กริฟฟินตั้งตัวไม่ทัน พ่อแม่ที่ผิดแปลกไปจากปกติอำนวยความสะดวกทุก ๆ อย่างให้เขาสามารถเที่ยวพักผ่อนได้อย่างสบายใจ และสัญญาจะจัดการงานหมั้นที่ต้องล้มเลิกั้แ่ยังไม่ได้จัดกับตระกูลวูดเฮาส์ให้เอง เอเดนลากกระเป๋าเดินทางขนาดพอเหมาะที่มีของจำเป็อยู่น้อยนิด และขึ้นเครื่องบินมาพร้อมกับโจไซอา รู้ตัวอีกทีสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเขาก็เปลี่ยนไป
อากาศที่ร้อนมากขึ้นจนเขาต้องถอดเสื้อแจ็กเกตตัวนอกพาดไหล่ แสงอาทิตย์เจิดจ้า ท้องฟ้าไร้เมฆสีฟ้าสุดลูกหูลูกตา ตึกที่ตั้งตามพื้นที่ลาดชันไม่สม่ำเสมอและแทบไม่มีพื้นราบตกแต่งทาสีหลากหลายสีสัน ตามชั้นสองของแต่ละตึกจะมีระเบียงเหล็กที่มีเก้าอี้หวายเอนหลังตั้งอยู่ พร้อมกระถางดอกไม้บานสะพรั่งสีสันสดใสแข่งกับสีของตึก
และกลิ่นทะเลที่พัดมาตามลมทำให้เอเดนรู้สึกสงบ
“ชอบละสิ” เสียงหวานของคนที่พาเอเดนมาที่นี่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มคาดหวัง
“ครับ” แต่เอเดนโกหกโดยที่โจไซอารับรู้ทุกอย่าง ใบหน้าหล่อเหลาบ่งบอกอารมณ์ทั้งหมดแล้วว่าเอเดนชอบบรรยากาศที่นี่ แต่ไม่ชอบผู้คนที่เดินขวักไขว่ จะว่าสงบก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะมีนักท่องเที่ยวเดินอยู่เต็มไปหมด และพูดภาษาที่เอเดนฟังไม่ออก
“สวัสดีครับมาสเตอร์ สวัสดีครับ” ชายคนพื้นเมืองผิวสีแทนแดดเดินเข้ามาต้อนรับทั้งคู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และเขาไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ เอเดนจึงยืนนิ่ง หันมองคนข้างกาย
“ที่บ้านเรียบร้อยดีไหม”
“เรียบร้อยดีครับ เชิญเลยครับ เชิญ”
โจไซอาพูดคุยกับชายพื้นเมืองอย่างคล่องแคล่ว มือเรียวส่งกระเป๋าถือของตนเองให้ แล้วคว้ากระเป๋าเดินทางของเอเดนไปเพื่อส่งให้ชายผิวสีแทนแดด ผู้เป็คนดูแลบ้านพักตากอากาศของโจไซอา จากนั้นทั้งคู่จึงเดินบนถนนตามทางที่ชายพื้นเมืองเป็คนนำ เอเดนจับมือของโจไซอาเอาไว้แน่น แล้วโน้มตัวลงเพื่อกระซิบถาม
“คุณพูดภาษาอิตาเลียนด้วยเหรอ”
“ก็…” โจไซอานึกคำพูดที่จะไม่ให้เอเดนสงสัยมากนัก “ฉันเรียน”
เอเดนไม่ใช่คนช่างสงสัยในเื่ส่วนตัวของโจไซอาเป็ทุนเดิมจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ เสียงผู้คนที่เดินผ่านไปมาคุยกันเสียงดังแข่งกับเสียงคลื่นทำให้เอเดนรู้สึกถึงความวุ่นวายไม่ต่างจากเมืองหลวงที่จากมา เขาเลียริมฝีปากมองรอบ ๆ ด้วยความสับสน สลับกับมองโจไซอาเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ และจะพาเขาไปที่ไหน
“นี่คือ่ที่นักท่องเที่ยวเยอะที่สุดครับมาสเตอร์ มากันจนเต็มชายหาดเลยครับ” ชายผิวแทนแดดผายมือไปที่ชายหาดกว้าง อยู่ต่ำจากจุดที่พวกเขายืนอยู่
“เขาพูดว่าอะไรเหรอครับ”
“เป็่ที่คนเยอะที่สุดน่ะ”
โจไซอาลอบสังเกตสีหน้าของเอเดนระหว่างที่ดวงตาสีเฮเซลสะท้อนแสงอาทิตย์กำลังกวาดตามองชายหาด ผู้คนนั่งอยู่เรียงรายจนแน่นแทบมองไม่เห็นหาดทราย น้ำทะเลสีฟ้าสดและฟองคลื่นสีขาวล้วนแล้วแต่มีคนกำลังเล่นน้ำอยู่เต็มไปหมด คิ้วเข้มของเอเดนขมวดเข้าหากันจนเกิดรอยย่น แววตาสื่อชัดเจนว่าไม่อยากเอาตัวเองไปอยู่กลางชายหาดที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
“ฮ่า ๆๆ ที่ของเราไม่ใช่ที่นี่หรอกเอเดน ไม่ต้องห่วง” โจไซอาหัวเราะร่าเริงและพาเดินตามชายพื้นเมืองต่อไป
เอเดนจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะมีที่ไหนสงบเงียบแบบที่เขา้าได้บ้าง ในเมืองติดชายหาดที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวเช่นนี้ คำพูดของโจไซอาที่พร่ำบอกั้แ่ขึ้นเครื่องบินคือคำว่าจะพาไปที่ที่มีแค่พวกเขาเพียงสองคนเท่านั้น แต่สิ่งที่เห็นกลับตรงกันข้าม เอเดนจึงไม่กล้าคาดหวังอะไรอีก
กระทั่งชายพื้นเมืองนำทางทั้งคู่มาถึงท่าเรือที่มีเรือหรูจอดเรียงรายหลายลำ และยกกระเป๋าสัมภาระอันน้อยนิดของเขาไปไว้ด้านในเรือสีขาวครีมน้ำตาลไม่มีหลังคาขนาดพอเหมาะ ที่มีชายหนุ่มผิวเข้มอีกคนหนึ่งคอยรับกระเป๋าไป
“มาสิเอเดน”
“ครับ”
เอเดนมัวแต่ยืนนิ่งด้วยความสับสนจนโจไซอาร้องเรียก ร่างเพรียวบางก้าวขาจากท่าลงเรืออย่างคล่องแคล่ว แล้วเขาจึงตามลงไป ชายผิวเข้มที่เป็ผู้เตรียมเรือยนต์ลำนี้ให้โจไซอายกยิ้มต้อนรับการกลับมาของเ้านายในรอบหลายปี และทักทายด้วยความเคารพ เตรียมพร้อมประจำที่จะขับเรือไปส่งโจไซอากับแขกที่เ้านายพามาเป็คนแรก
“ส่งแค่นี้แหละ ขอบใจนะ” เ้านายของชายผิวเข้มทั้งสองหยิบธนบัตรออกมาส่งให้พวกเขา และโบกมือลาเป็อันเสร็จสิ้นหน้าที่ลงตรงนี้
โจไซอายึดมั่นในคำสัญญาที่ให้ไว้กับเอเดนยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะฉะนั้นบ้านพักตากอากาศบนเกาะส่วนตัวของเขาที่พ่อมอบให้เป็ของขวัญเมื่ออายุครบ 99 ปี จะต้องมีเพียงโจไซอาและเอเดนสองคนเท่านั้น มันต้องเป็ที่ที่มีแค่พวกเขาอย่างแท้จริง
“เธอขับเป็ไหม”
“ไม่อยู่แล้วเฮเซล”
เอเดนเริ่มตื่นเต้นเมื่อชายผิวเข้มจากไปจนเหลือเพียงทั้งคู่ และเมื่อโจไซอาเดินไปประจำตำแหน่งหลังพวงมาลัยและแผงควบคุมของเรือยนต์ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเที่ยวและใช้เรือประเภทนี้ แต่เขาไม่มีสิทธิ์ได้ขับหรือควบคุมทิศทางของมัน และการมาเที่ยวทะเลของตระกูลกริฟฟินจะเพื่อเหตุผลทางธุรกิจเท่านั้น ทุกอย่างจึงเป็ความแปลกใหม่ที่เอเดนไม่ได้ััและโหยหามันจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ไว้ฉันจะสอนนะ”
โจไซอาหยิบแว่นกันแดดสีดำจากกระเป๋าถือออกมาสวม เสียงเครื่องยนต์ของเรือดังอยู่ตลอดเพราะคนของโจไซอาติดเครื่องรอไว้แล้วเพื่อให้เขาออกเดินทางได้ทันทีที่มาถึง เอเดนมองท่วงท่าของร่างเพรียวบางโดยไม่ละสายตา มือเรียวหมุนบังคับเรือยนต์ออกจากท่าด้วยความชำนาญ กระทั่งพวกเขาออกมาสู่น้ำทะเลใสเป็ประกายสะท้อนแสงอาทิตย์ตอนสี่โมงเย็น
เมื่อขับออกมาได้สักพักจนมองเห็นท่าเรือเล็กจิ๋วยิ่งกว่าปลายนิ้วโจไซอาจึงเงยหน้ารับแสงแดดที่ตนชื่นชอบ รอยยิ้มสวยปรากฏบนใบหน้าหวานจนเอเดนยิ้มตาม ลมทะเลพัดเส้นผมสีทองหม่นจนปลิวไม่เป็ทรงแต่ยังไม่ลดความดูดีของเทพลง กลับทำให้เห็นหน้าผากสวยและโครงหน้าชัดเจนน่าหลงใหลมากกว่าเดิม
“เราจะไปที่ไหนกันเหรอครับ” เอเดนเดินไปยืนซ้อนหลังโจไซอาจนไหล่บางกระทบกับอก และใช้มืออีกข้างโอบเอวอีกฝ่าย
“ที่เกาะนั้น”
นิ้วเรียวชี้เกาะที่มีเนินูเาไม่สูงมากนักสีเขียวชอุ่ม ซึ่งโดดเดี่ยวอยู่กลางทะเลไม่มีเกาะน้อยใหญ่ข้างเคียง อยู่ไกลออกไปจนสามารถใช้กำปั้นบังมันเอาไว้ได้ แต่แสงแดดสว่างจ้าทำให้เอเดนหรี่ตา ขมวดคิ้วแน่นเพื่อสู้แสงอาทิตย์ โจไซอาเห็นอย่างนั้นจึงถอดแว่นกันแดดของตนเองออก
“มานี่มา” โจไซอาสวมแว่นกันแดดให้อีกฝ่ายแทน เอเดนก้มลงมาให้เขาสวมได้ถนัดแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างน่ามันเขี้ยวจนมือเรียวยกขึ้นบีบปลายคางของเอเดนเบา ๆ
“เห็นไหม”
“ที่นั่นมีคนไปอยู่ด้วยเหรอครับ”
“เราสองคนไง”
ความสุขเริ่มคละคลุ้งครอบคลุมทั้งร่างกายของเอเดนเมื่อทุก ๆ อย่างเป็อย่างที่เขาคิด และอย่างที่โจไซอาสัญญาเอาไว้ เขาตื่นเต้นจนหัวใจในอกสั่นระรัวไม่เป็จังหวะ แทบจะดังแข่งกับเสียงเครื่องยนต์เรือและเสียงท้องเรือกระทบกับคลื่นจนเกิดฟองสีขาว เขาแทบรอให้ถึงเกาะไม่ไหว
อากาศเริ่มร้อนผนวกกับลม และน้ำทะเลที่กระเซ็นถูกผิวกายทำให้โจไซอาถกแขนเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายบางจนเห็นผิวเนื้อขึ้นถึงข้อศอก แล้วปลดกระดุมออกถึงสามเม็ดกระทั่งเห็นแผ่นอกบาง ดึงชายเสื้อออกมาจากเอวกางเกงทรงหลวมสีน้ำตาลอ่อน ปล่อยให้มันพลิ้วไหวตามสายลมเหมือนกับเส้นผมสีทองหม่น โจไซอารู้สึกผ่อนคลายราวได้กลับบ้าน เพราะชอบแสงแดดและฤดูร้อนมากกว่าสิ่งใด
“คุณคงชอบฤดูร้อน” เอเดนเห็นความสุขจากภายในที่ปริ่มล้นออกมาจนแสดงอยู่บนใบหน้าหวานสวย
“ใช่ เธอล่ะ” เอเดนละสายตามองน้ำทะเลสีฟ้าสดใส กับท้องฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาที่อยู่โดยรอบ เพื่อคิดหาคำตอบ
“เหมือนกันครับ”
เมื่อก่อนนี้เอเดนไม่มีฤดูที่ชอบเป็พิเศษ แค่เกลียดฝนและสภาพอากาศแปรปรวนจนอาการภูมิแพ้ทำให้หายใจลำบาก แต่ตอนนี้อาการเ่าั้ไม่เกิดขึ้นกับเอเดนมานานจนเขาเลิกเกลียดสายฝน และเกิดความชื่นชอบในแสงอาทิตย์สดใสของฤดูร้อนเพราะเป็ฤดูที่เขาได้พบโจไซอา
เรือยนต์จอดเทียบท่าเรือไม้ที่ยื่นออกจากชายฝั่ง ถัดไปข้าง ๆ กันมีเรือยนต์ลำใหญ่กว่าสีครีมและสีน้ำตาลเข้มของไม้ที่มีหลังคาคลุมทับ มันจอดนิ่งและพร้อมใช้งานทันทีที่เ้าของนามว่าโจไซอา้า เพราะเขาให้ผู้ดูแลที่นี่เตรียมเอาไว้ทั้งหมดแล้ว
เอเดนยกกระเป๋าลากของตนเอง และกระเป๋าถือของโจไซอาขึ้นไปวางบนท่าเรือ ก่อนจะก้าวขาเหยียบแผ่นไม้ตามไป เขาหันหลังกลับ ยื่นมือมาให้โจไซอาอย่างเป็ธรรมชาติไม่ได้ปรุงแต่งหรือจงใจดูแลอีกฝ่ายทุกรายละเอียด เพียงแค่ทำด้วยความคุ้นชิน มือเรียววางบนมืออุ่นของเอเดน เหยียบแผ่นไม้ของท่าเรือโดยที่เอเดนช่วยพยุงไม่ให้ล้มกระทั่งแน่ใจแล้วจึงปล่อย
ชายร่างสูงใหญ่กำยำดูตื่นเต้นกระตือรือร้นเมื่อมาถึงเกาะส่วนตัวของโจไซอา แว่นกันแดดสีดำที่เขาสวมให้ ตอนนี้คาดอยู่บนศีรษะเอเดน จึงเห็นดวงตาสีเฮเซลเป็ประกายราวเด็กเห็นของเล่น พร้อมริมฝีปากที่ยกยิ้มตลอดเวลา ไม่ได้กดคว่ำลงจนดูดุดันเหมือนยามปกติเลยสักวินาทีเดียว โจไซอามองเอเดนด้วยความเพลินตา ยิ้มตามบ้างเป็บางครั้งเพราะได้เห็นเอเดนมุมนี้เป็ครั้งแรก
“ทางนี้เป็บ้านพัก เอาของไปเก็บก่อนแล้วมาเล่นน้ำดีไหม”
“ดีเลยครับ”
แม้แต่น้ำเสียงทุ้ม ๆ ของเอเดนยังแสดงออกถึงความตื่นเต้นเหมือนเด็กอย่างน่าเอ็นดู โจไซอาถึงได้หัวเราะออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนเอเดนสงสัย แล้วหัวเราะตามในที่สุด ร่างสูงรีบนำกระเป๋าเก็บในบ้านสองชั้นสไตล์โมเดิร์นหลังเล็กที่เต็มไปด้วยกระจกเต็มบานแทนกำแพงกับไม้สีเข้มเป็วัสดุหลัก แต่คนที่เรียนสายออกแบบภายในอย่างเอเดนแทบไม่สนใจการตกแต่งด้านในตัวบ้านเลย เพราะเขาสนใจชายหาดเงียบสงบที่กำลังรอคอยเขาอยู่มากกว่า
ราวกับเอเดน กริฟฟินลืมไปแล้วว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพังตัวคนเดียว ทันทีที่ถอดเสื้อผ้า เปลี่ยนเป็กางเกงขาสั้นเขาก็รีบออกไปที่ชายหาด ทรายเม็ดละเอียดสีขาวนวลเนียน ฟังเสียงคลื่นแ่เบา มองน้ำทะเลสีใสและฟองคลื่นกระทบหาดทราย เขายิ้มกว้างด้วยความสุข ดวงตาสีเฮเซลสะท้อนเป็ประกายมองเส้นขอบฟ้าไกลโพ้น มองท้องฟ้าไร้เมฆ สูดกลิ่นสดชื่นของทะเล ที่ผสานรวมเข้ากับความเป็อิสระ
โจไซอาเปลี่ยนเป็กางเกงขาสั้นผ้าลินินสีครีม แล้วเดินลงมาจากระเบียงบ้านพร้อมถังน้ำแข็งใส่ขวดไวน์ และแก้วก้านยาวสองใบเผื่อว่าเอเดนอยากจะดื่มด้วยกัน แต่ภาพที่เขาเห็นเมื่อเท้าเปล่าเหยียบผืนทรายทำให้หลุดยิ้มกว้าง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ เพราะชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาเสน่ห์มากล้น เ้าของดวงตาน่าค้นหาแสนเ้าเล่ห์ที่เขาเจอครั้งแรกที่คลับ กลับกลายเป็สุนัขตัวโตที่วิ่งจากชายหาดเข้ามาหาเขาจนทรายที่เท้าฟุ้งกระจาย เช่นเดียวกับเส้นผมสีดำที่พลิ้วตามลม
“เอเดน อึก—”
เอเดนอ้าแขนกอดร่างเพรียวบางแนบอก และลืมเบาแรงลงจนโจไซอาตัวปลิว แขนแข็งแรงโอบกอดรอบเอวคอดเล็กเสียแน่น วางคางเกยบนบ่าแคบด้วยรอยยิ้มกว้างและสดใสตามแบบฉบับของเอเดนยามมีความสุข โจไซอาไม่ได้กอดตอบแต่ชูแขนที่ถือแก้วไวน์กับถังน้ำแข็งใส่ขวดไวน์ขึ้นไม่ให้เลอะทราย
“ขอบคุณเฮเซล ขอบคุณจริง ๆ”
สิ่งที่โจไซอาทำมีความหมายกับเอเดนมากเสียจนคำว่าขอบคุณยังไม่เพียงพอสำหรับการถ่ายทอดความรู้สึกนี้ จากดวงไฟเล็ก ๆ ท่ามกลางความสิ้นหวังหลังจากเรียนจบปริญญาโท กลายเป็ผู้อยู่เคียงข้างเอเดนจนเขาได้ัักับอิสระจากการถูกบงการมาทั้งชีวิต ข้อบังคับและการขีดเส้นนำทางจากพ่อแม่ที่เขาต่อสู้มาตลอดกลับง่ายดายเพียงแค่มีโจไซอาอยู่ด้วยกัน ทั้งยังสามารถยกสิ่งที่เขา้ามาวางไว้ตรงหน้าในพริบตา
“เธอมีความสุขใช่ไหม”
“ครับ”
“เท่านั้นก็พอแล้ว”
โจไซอาไม่ชอบการออกแรงกายเลยสักนิด
ตรงกันข้ามกับเอเดนราวฟ้ากับเหว
เพราะั้แ่มาถึง เอเดนยังไม่หยุดว่ายน้ำทะเลสีใส และยังชวนโจไซอาให้ลงเล่นน้ำด้วยกันอย่างหนำใจราวเก็บกดมานาน จนเขาแกล้งทำหน้าเหนื่อยเพลียแม้ความจริงเขาแค่ี้เีและอยากนั่งจิบไวน์ เอเดนถึงจะยอมขึ้นฝั่งมาด้วยกัน แล้วล้างตัวเอาเม็ดทรายและน้ำทะเลออก เพื่อมานั่งเอนหลังที่เก้าอี้ริมระเบียงชั้นหนึ่งของบ้านซึ่งหันหน้าไปทางทะเล
ยามนี้โจไซอาจึงได้พักหายใจหายคอ จิบไวน์แดงด้วยรอยยิ้มของความสุขบ้าง
“พระอาทิตย์จะตกแล้ว”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเมื่อมองไปที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี แก้วไวน์ของเอเดนยังเหลืออยู่ก้นแล้ว และค้างอยู่ตรงนั้นกว่าหลายนาที แขนแข็งแรงทับกันและรองศีรษะเอาไว้ท่าทางดูผ่อนคลายระหว่างนอนเอนหลัง เหยียดขายาว ผมสีดำเปียกชื้นเสยไปด้านหลัง ยังคงมีน้ำเกาะตามผิวกายบ้างเล็กน้อยตรงท่อนบนที่เปลือยเปล่า
“อยากรอดูไหม”
“ครับ” ดวงตาสีเฮเซลหันมองโจไซอา เส้นผมสีทองหม่นเปียกชื้นและจับทัดหู เสื้อบางสีขาวไม่ได้ช่วยปกปิดอะไร ในมือมีแก้วไวน์อย่างเคยจนเอเดนเริ่มคุ้นชินกับการที่โจไซอาต้องมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดมือตลอดเวลา
“มีครั้งไหนบ้างนะที่คุณไม่ได้ดื่มตอนอยู่กับผม”
“ตอนที่ฉันขับรถ” เอเดนหัวเราะเมื่อโจไซอารีบตอบในทันที
“ครับ ๆ ผมไม่เถียง”
“ฉันไม่เมาแน่เอเดน เดี๋ยวจะอด” ใบหน้าหวานเอ่ยด้วยรอยยิ้มน่ามันเขี้ยว เพราะจำได้ดีว่าเอเดนจะไม่มีเซ็กซ์ด้วยหากเขาเมา โจไซอาท่องมันขึ้นใจแล้วบังคับตัวเองไม่ให้ดื่มจนเพลิน และไวน์หนึ่งขวดไม่ได้ทำให้เขาเมาอยู่แล้ว
โจไซอาลุกขึ้นจากเก้าอี้เอนหลังเพื่อหมุนตัวหาอีกฝ่าย รินไวน์เพิ่มให้เอเดนระดับพอเหมาะ แล้วชูแก้วขึ้นรอคอยให้ร่างสูงหยิบแก้วของตนเองมาชนกัน คนเกลียดแอลกอฮอล์ที่เริ่มชินกับรสชาติของไวน์แดงทำตามอย่างง่ายดาย แล้วค่อย ๆ จิบเครื่องดื่ม ลิ้มรสชาติกับกลิ่นหอมจากมัน
“คุณทำให้พ่อแม่ผมเปลี่ยนใจได้ยังไง” เมื่อเอเดนเริ่มพูดถึงคำถามที่โจไซอาพยายามเลี่ยงมาตลอด เขาจึงเอนหลังพิงเก้าอี้อีกครั้ง แล้วสวมแว่นกันแดดปกปิดดวงตาที่โกหกไม่เป็
“เปลี่ยนใจอะไร”
“ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ใช่คนอย่างนี้หรอกนะเฮเซล”
“ไม่รู้สิ ฉันแค่บอกว่าเอเดนพามาบ้านแล้วก็แนะนำตัวว่าชื่อเฮเซล ที่เหลือพวกเขาคุยกันเอง อ้อ ฉันชอบกอล์ฟน่ะ พ่อเธอเลยคิดว่าฉันคุยสนุก” กอล์ฟคือกีฬาเดียวที่โจไซอาเล่น แต่ครั้งสุดท้ายที่เขาจับไม้กอล์ฟคือก่อนที่เอเดนจะเกิดเสียอีก
“ทำได้ยังไงกัน” เอเดนพึมพำกับตัวเองเสียงเบา โจไซอาจึงปล่อยคำถามนั้นให้ลอยหายไปกับสายลม พยายามไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ เพราะสิ่งที่ต้องระวังเมื่อเริ่มโกหก คือการพูดไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นโจไซอาไม่พูดอะไรเลยยังดีกว่า
ท้องฟ้าที่เมื่อครู่เป็สีฟ้าสดใสไร้เมฆ ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็สีส้มเพราะแสงอาทิตย์กำลังเคลื่อนลงต่ำ โจไซอาจึงมองคนข้างกายเพราะรู้ว่าเอเดนชอบมองพระอาทิตย์ตก และเป็อย่างที่คิดว่าดวงตาสีเฮเซลจะเป็ประกายขณะที่มองภาพความงดงามราวงานศิลปะตรงหน้า โจไซอาเริ่มเห็นคุณค่าของสิ่งที่เขาไม่สนใจขึ้นมา เพียงเพราะเอเดนชอบท้องฟ้ายามเปลี่ยนสี
“ที่นี่สวยกว่าบนเขานั่นเยอะ” เอเดนหมายถึงสถานที่โปรดในการดูพระอาทิตย์ตกของเขาในเมืองบ้านเกิด แต่เมื่อเทียบกับแสงอาทิตย์ที่สะท้อนกับผืนน้ำจนระยิบระยับราวอัญมณีเช่นนี้ บนเขานั้นแทบไม่มีความหมาย
“มองจากตรงนี้เหมือนผมสามารถคว้าดวงอาทิตย์ได้”
“ฮ่า ๆๆ ไวน์แค่ค่อนแก้วก็ทำให้เธอเมาแล้วเหรอเอเดน”
“ฮ่า ๆๆๆ ผมพูดจริงนะ”
“ยังไงล่ะ”
เอเดนตอบคำถามด้วยการแสดงให้เห็น
ร่างสูงกำยำลุกขึ้นจากเก้าอี้เอนหลัง เดินลงระเบียงกระทั่งเท้าเหยียบทรายเนื้อละเอียดสีขาวนวลที่ยามนี้กลายเป็สีส้มเพราะอาบด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น ผิวกายสีแทนอ่อน ๆ จากแสงแดดของเอเดนก็ย้อมด้วยแสงสีส้มนวลตาเช่นกัน ดวงตาสีเฮเซลเปล่งประกายราวกับทองคำเมื่อสบมองภาพตรงหน้า
สองเท้าออกวิ่ง และวิ่ง จนััฟองคลื่นสีขาว ก้าวต่อไปจนน้ำทะเลค่อย ๆ สูงขึ้นปิดข้อเท้า และสูงปิดเอวของเอเดนในที่สุด เขามองดวงอาทิตย์ที่กำลังหายไปจากขอบฟ้า เอื้อมมือออกไปราวจะคว้ามันมาได้จริง ๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล เขารู้ดีว่าเขาไม่มีวันคว้าดวงอาทิตย์ได้ เพียงแค่อยากปลดปล่อยร่างกายให้เป็อิสระตามความคิดที่เกิดขึ้นในหัว เพราะเมื่อเอเดนอยู่กับโจไซอา เขาจะสามารถทำทุกอย่างที่อยากทำได้
เอเดนหันกลับมาที่ชายฝั่ง เห็นโจไซอาที่ตัวเล็กเท่าฝ่ามือกำลังกอดอกกระชับเสื้อเชิ้ตตัวบางมองเขาอยู่ โจไซอาแย้มยิ้มกว้างให้ และได้เห็นใบหน้ากับร่างกายในทุกอณูของเอเดนกำลังปริ่มล้นไปด้วยความสุข
เอเดนส่งรอยยิ้มกว้างให้โจไซอา ท่ามกลางแสงระยิบระยับจากดวงอาทิตย์ที่สะท้อนลงบนผืนน้ำทะเลนี้ รอยยิ้มของเอเดนสว่างไสวและเปล่งประกายที่สุด
เอเดนสามารถคว้าดวงอาทิตย์ได้จริง ๆ
และสามารถแสงสว่างจากทุกหนทุกแห่งมาไว้ที่ตนเองคนเดียวได้อย่างง่ายดาย
เพื่อเป็แสงเปล่งประกายงดงามให้เทพนามว่าโจไซอา
tbc.
#เฮเซลอาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้