วันต่อมา ไป๋หยุนเฟยยังคงไปรอที่นัดหมายก่อนเวลาหนึ่งก้านธูปเช่นเคย
แสงแดดยามเช้าวันนี้ราวกับจะอ่อนโยนเป็พิเศษ ทุกอย่างแลดูสดใสไม่เว้นแม้แต่ต้นหญ้าบนพื้นหรือต้นหลิวที่ริมน้ำ
ไป๋หยุนเฟยยืนอยู่ริมถนน เพ่งมองกิ่งหลิวที่ลู่ลมด้วยแววตาเหม่อลอยอยู่บ้าง
“ข้ามาถึงเมืองชุยหลิวได้สองวันแล้ว แต่ก็ยังไม่พบสิ่งใดผิดปกติ หรือเพราะอิทธิพลของตระกูลหยางและสำนักธารน้ำแข็งยังมาไม่ถึงที่แห่งนี้? อาจเป็เพราะ... ที่แห่งนี้มีสำนักหลิวขจี?”
“ไม่ทราบว่าตัวประกอบทั้งสองแห่งตระกูลหลงจะสร้างปัญหาอีกหรือไม่ ตระกูลหลงถือว่ามีอิทธิพลในเมืองนี้สมควรมีผู้ฝึกปรือิญญาอยู่ไม่น้อย คราก่อนข้าเพียงขู่ขวัญพวกมันจึงนำคนมาไม่มาก แต่หากครั้งหน้าพวกมัน้าล้างอาย...”
“แน่นอนว่าจากไปแต่เนิ่นๆจะดีกว่ากระมัง? เช่นนั้นไปจากที่นี่พรุ่งนี้เถอะ! หลังจากเที่ยวชมสถานที่วันนี้แล้ว ข้าจะบอกหลิวเมิ่งให้ชัดเจนว่าจะไปจากที่นี่ยามเช้าตรู่วันพรุ่งนี้...”
แม้จะตกลงใจได้ แต่กลับมีความรู้สึกหนึ่งแผ่ขยายในจิตใจไป๋หยุนเฟย หรือว่าจะเป็...ความไม่ยินยอม? ไป๋หยุนเฟยสั่นศีรษะแ่เบาพลางฝืนยิ้มก่นด่าตนเองที่ช่างโลเลจนเกินเยียวยา
“ไป๋... ไป๋หยุนเฟย?”
ชั่วขณะที่จิตใจว้าวุ่น น้ำเสียงเหลือเชื่อก็ดังมาจากด้านหลัง ไป๋หยุนเฟยสะดุ้งใรีบหันไปมองทันที
ชายหนุ่มมองเห็นหญิงสาวร่างงามระหงในชุดสีเขียวมรกตมองมาด้วยท่าทีประหลาดใจระคนยินดี ไป๋หยุนเฟยงงงันวูบก่อนจะเอ่ยปากด้วยความใ “ชิวลู่หลิว! ไฉนท่านอยู่ที่นี่ได้?”
หญิงสาวนางนี้จะเป็ใครหากไม่ใช่ชิวลู่หลิว ศิษย์สำนักหลิวขจีที่ติดตามมาเพื่อช่วยเหลือศิษย์น้องยามที่ไป๋หยุนเฟยลงมือสังหารจางหยาง
“นี่ควรเป็คำพูดของข้ามากกว่ากระมัง? ผู้ใดจะคิดว่าเป็ท่านจริงๆ? แม้แต่ข้าก็ยังคิดว่าจำคนผิด!” ชิวลู่หลิวเดินเข้าหาไป๋หยุนเฟยด้วยรอยยิ้ม หลังจากพิจารณาชั่วครู่จึงเอ่ยปากต่อไป๋หยุนเฟยอย่างสงสัย “ไฉนท่านจึงอยู่ที่เมืองชุ่ยหลิวได้?”
กล่าวถึงตรงนี้ ราวกับนึกเื่บางอย่างออก ชิวลู่หลิวหันมองรอบด้านโดยไม่รู้ตัวก่อนจะกล่าวเสียงค่อย “จริงสิ ยามนี้ตระกูลจางตามล่าท่านไปทุกหนแห่ง ท่านต้องระวังตัวให้ดี! คราก่อน ราวสิบวันหลังแยกทางกับท่าน จางเจิ้นซานบิดาของจางหยางมาหาข้า ้าให้ข้าเปิดเผยตัวตนและร่องรอยของท่าน ตัวข้าเอาตัวรอดได้ไม่ยากเย็น ยามนี้ทราบว่าท่านหลบหนีรอดได้จริงๆ ข้าก็วางใจได้แล้ว แต่ท่านก็นับว่าไม่ธรรมดา ไม่คิดเลยว่าท่านจะหลบรอดจากนกต่อตระกูลจางจนถึงที่นี่ได้...”
ได้ยินคำพูดจากชิวลู่หลิว ไป๋หยุนเฟยก็ซึมเซาไปชั่วครู่ก่อนจะฝืนยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่ได้โชคดีขนาดนั้น จางเจิ้นซานไล่ตามข้าทัน ข้าหลบหนีอย่างยากเย็นจึงรอดพ้นมาได้...”
“ว่ากระไร? มันไล่ตามท่านทัน?” ชิวลู่หลิวอุทานเสียงค่อย “มิหนำซ้ำ ท่านกลับหนีรอดมาได้? ท่านทำได้อย่างไร?”
“เอ่อ เื่นี้ยืดยาวนัก ยามนั้นมัน...”
“โธ่ ที่นี่ไม่เหมาะจะพูดคุยเื่นี้ พวกเราไปนั่งจิบชาคุยกันเป็อย่างไร? ั้แ่ที่พวกเรารีบร้อนแยกทางกันเมื่อครั้งก่อน ข้าก็หวังจะได้พบท่านเพื่อขอบคุณที่ช่วยชีวิตศิษย์น้องข้า” ชิวลู่หลิวกล่าวอย่างยิ้มแย้มขณะมองไปรอบด้าน
“นี่...” ไป๋หยุนเฟยมองไปยังถนนในเมืองก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีกระดากอาย “ข้าเกรงว่าวันนี้คงไม่สะดวก ข้านัดหมายผู้คนไว้และกำลังรอนางอยู่ที่นี่...”
“โอ เข้าใจแล้ว...” ชิวลู่หลิวครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “เช่นนั้นพรุ่งนี้เป็อย่างไร? ข้าจะได้มีเวลากลับไปยังสำนักเพื่อแจ้งต่อศิษย์น้อง นางต้องยินดีเป็แน่ พรุ่งนี้พวกเราค่อยพูดคุยถึงเื่ราวที่เกิดขึ้นดีหรือไม่?”
ไป๋หยุนเฟยเอ่ยปากถามอย่างลังเล “กลับไปสำนักท่าน? โอ จริงสิ สำนักหลิวขจีอยู่ที่เมืองชุ่ยหลิวแห่งนี้กระมัง? สำนักท่านไกลจากที่นี้หรือไม่? หากไกลเกินไปก็อย่าได้วุ่นวายเลยแม่นางชิว”
“ไม่ต้องห่วง สำนักหลิวขจีเป็ตึกใหญ่อยู่ทางทิศตะวันตกไม่ไกลจากตัวเมือง” ชิวลู่หลิวกล่าวกลั้วหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า ไม่คิดจริงๆว่าจะได้พบท่านโดยบังเอิญขณะออกจากสำนักมาวันนี้ คาดว่าศิษย์น้องข้าต้องยินดีที่ได้พบท่านอีกเป็แน่ ท่านทราบหรือไม่ว่านางเอ่ยถึงท่าน‘ผู้มีพระคุณช่วยชีวิต’ของนาง ครั้งแล้วครั้งเล่า ไป๋หยุนเฟย ไป๋หยุนเฟย...”
ภาพหญิงสาวร่างเล็กที่ซ่อนอยู่ด้านหลังชิวลู่หลิวพลันปรากฏในจิตใจไป๋หยุนเฟย ชายหนุ่มอดไม่ได้ต้องลอบหัวเราะกับตนเอง พลางกล่าวว่า “จริงสิ แม่นางฉู่เป็อย่างไรบ้าง? นางเริ่มฝึกวิชาแล้วกระมัง?”
“ย่อมแน่นอน ท่านอาจารย์เอ็นดูศิษย์น้องเล็กคนนี้อย่างยิ่ง ศิษย์น้องนับว่าเชื่อฟังทั้งยังตั้งใจฝึกปรือฝีมือ ด้วยการส่งเสริมจากท่านอาจารย์พลังิญญาของนางจึงตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว ยามนี้ก็เกือบจะบรรลุระดับกลางด่านนวกะิญญาแล้ว!” ชิวลู่หลิวราวกับปลาบปลื้มยินดียามที่เอ่ยถึงฉู่อวี้เหอ ไม่ว่าผู้ใดก็ดูออกว่านางรักใคร่ศิษย์น้องคนนี้ยิ่งนัก
ไป๋หยุนเฟยพยักหน้ากล่าวอย่างยิ้มแย้ม “โอ นับว่าน่ายินดีนัก วันพรุ่งนี้พวกเราจะพบกันที่ใด? และเวลาใด?”
“นี่... เช่นนี้เถอะ... ท่านบอกชื่อโรงเตี๊ยมที่ท่านพักแล้วข้าจะไปพบท่านที่นั่น ข้ายังมีเื่ต้องกระทำจึงไม่อาจบอกได้ว่าจะไปเยือนท่านเมื่อใด แต่จะไปพบท่านก่อนยามบ่ายอย่างแน่นอน...” ชิวลู่หลิวใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปาก
“โอ ตกลง ข้าจะรอท่านที่นั่น ข้าพักอยู่ที่...”
……
หลังจากมองดูชิวลู่หลิวลับจากไป ไป๋หยุนเฟยจึงเงยหน้าขึ้นมองหาท่ามกลางฝูงชน จากนั้นก้มหน้าพูดกับตนเองอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นกับเมิ่งเอ๋อร์? ไฉนนางยังไม่มาอีก? หรือนางจะล้มป่วยอีก?”
“หยุนเฟย ขออภัยที่ปล่อยให้ท่านรอนานอีกแล้ว...”
ชั่วขณะที่ไป๋หยุนเฟยกังวลใจ เสียงของหลิวเมิ่งก็พลันดังขึ้น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยความยินดีก็เห็นหลิวเมิ่งยืนไพล่หลังส่งยิ้มมองมาจากที่ห่างออกไปไม่กี่วา หญิงสาวสวมชุดยาวสีขาว ผมยาวสลวยราวธารน้ำคลอเคลียข้างแก้ม ยามสายลมไหลผ่านก็พัดเส้นผมละมุนราวใยไหมและชุดยาวของหญิงสาวโชยสะบัด ในสายตาไป๋หยุนเฟยมองเห็นราวเทพธิดาที่ลงมาจากฟากฟ้า...
หลังจากได้เห็นหญิงสาวงามระหงที่ตรงหน้า มิคาดว่าไป๋หยุนเฟยจะกลายเป็ซึมเซาไปชั่วขณะ มันทำได้เพียงมองดูหญิงสาวด้วยท่าทีโง่งม
“คุณ-ชาย-หยุน-เฟย!! ได้โปรดตื่นเถอะ!”
เสียงะโอย่างซุกซนแว่วเข้าหูไป๋หยุนเฟยปลุกชายหนุ่มให้รู้สึกตัว เมื่อได้เห็นเสี่ยวหนิงปิดปากหัวร่อคิกคักก็ได้แต่หัวร่ออย่างกระดากพลางกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์ในที่สุดท่านก็มา ท่านไม่เป็อะไรกระมัง? วันนี้ท่านรู้สึกไม่สบายอีกหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำพูดไป๋หยุนเฟย หลิวเมิ่งก็พลันหน้าแดงระเรื่อ เสี่ยวหนิงที่ด้านข้างกลับชิงตอบคำถามไป๋หยุนเฟย “นี่ คุณชายหยุนเฟย หรือท่านโทษว่าคุณหนูข้าที่มาสาย? หรือท่านไม่ทราบเลยว่าหญิงสาวทุกคนต้องใช้เวลาแต่งกายก่อนออกจากบ้าน? อืม คุณหนูถึงกับแต่งกายเป็พิเศษจึงใช้เวลานาน หรือท่านไม่สังเกตว่าวันนี้คุณหนูงดงามกว่าเมื่อวานอีก?”
“เสี่ยวหนิงเ้าพูดจาเหลวไหลอะไร?! ข้าแต่งกายเป็พิเศษเมื่อใดกัน...?” หลิวเมิ่งหยิกแขนเสี่ยวหนิงพลางกล่าวอย่างขุ่นเคือง
เมื่อถูกเสี่ยวหนิงตำหนิอีกครา ไป๋หยุนเฟยจึงไอแห้งๆสองคราอย่างกระดากพลางกล่าวเปลี่ยนเื่ “อืม ได้เวลาแล้ว เมิ่งเอ๋อร์พวกเราไปยังอารามชุ่ยฮัวกันเถอะ”
……
ทั้งสามย่างเท้าบนถนนที่ปกคลุมด้วยต้นหญ้าพลางพูดคุยหยอกล้อกันและกันขณะมุ่งหน้าไปยังอารามชุ่ยฮัวอย่างเชื่องช้า ยิ่งทั้งสามมุ่งหน้าไปก็ยิ่งพบผู้คนหนาตาขึ้น เซียมซีของอารามแห่งนี้ร่ำลือกันว่าแม่นยำนักจึงมักมีผู้คนมากหลายมาจุดธูปอธิฐานขอพร ผู้คนบางส่วนก็มาเพื่อท่องเที่ยวผ่อนคลาย
ยิ่งใกล้ถึงยามเที่ยง แสงแดดก็ยิ่งส่งแสงแรงกล้า แม้แต่อากาศก็กลายเป็ร้อนอบอ้าว เสี่ยวหนิงจึงกางร่มกระดาษเพื่อบังแดดให้แก่หลิวเมิ่งและตนเอง
เห็นไป๋หยุนเฟยหรี่ตาเพราะแสงแดดจ้า หลิวเมิ่งก็พลันนึกบางอย่างออก จึงหยุดเท้าและกล่าวอย่างนุ่มนวล “จริงสิหยุนเฟย ข้าเกือบลืมไปแล้วว่ามีของบางอย่างจะให้ท่าน!”
“โอ?” ไป๋หยุนเฟยมีท่าทีประหลาดใจ “มีของบางอย่างให้ข้า? อะไรหรือ?”
หลิวเมิ่งยื่นแขนที่งามดั่งหยกสลักออกมา วัตถุทรงกลมก็ปรากฏบนมือนาง --- มิคาดว่าจะเป็หมวกฟางสีเหลืองทอง...
“จำได้ว่ายามที่พวกเราพบกันคราแรก ท่านสวมหมวกฟางใบหนึ่ง แต่ดูเหมือนมันจะขาดรุ่งริ่งไปแล้ว วันนี้ยามออกมาข้าบังเอิญพบคนขายหมวกนี้ข้างถนนจึงซื้อมาให้ท่าน เอาไปใส่เถอะ จะได้ช่วยบังแดดให้ท่าน”
“……”
ไป๋หยุนเฟยรับหมวกฟางสีเหลืองทองที่มีแถบคาดสีแดงอย่างเงียบงันด้วยท่าทีงุนงงอยู่เนิ่นนาน ที่จริงในใจมันยินดีเป็ที่สุด มันไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลิวเมิ่งจะให้‘ของขวัญ’แก่มัน แต่ทว่า... ไฉนจึงต้องเป็หมวกฟางด้วยเล่า??
“หยุนเฟยท่านเป็อะไร? ท่านไม่ชมชอบ?”
น้ำเสียงไม่แน่ใจของหลิวเมิ่งดังขึ้น ไป๋หยุนเฟยจึงได้สติรีบกล่าวว่า “โอ? ไม่ ไม่ ข้าชอบมาก ฮ่า ฮ่า ขอบคุณมากเมิ่งเอ๋อร์...”
ขณะกล่าววาจาไป๋หยุนเฟยก็สวมหมวกฟางลงบนศีรษะด้วยรอยยิ้มยินดีบนใบหน้า ชายหนุ่มกดหมวกลงเล็กน้อยก็ไม่รู้สึกถึงแสงแดดที่แผดเผาอีกต่อไป นี่เป็ความรู้สึก‘เย็น’ที่ยากอธิบาย ไม่ใช่เย็นเพียงร่างกาย แต่เย็นไปถึงจิตใจ...
“คุณชายหยุนเฟย คุณหนูข้าให้ของขวัญท่านแล้ว หรือท่านจะไม่แสดงความขอบคุณบ้าง?”
“อา? โอ แน่นอน แน่นอน ข้าจะ...”
เสียงเหย้าแหย่ของเสี่ยวหนิงและคำตอบของไป๋หยุนเฟยล่องลอยไปตามลม เงาร่างทั้งสามก็เคลื่อนห่างออกไปทุกที...
