สวนดอกไม้ด้านหลังจิ้งหวางฝู่มีเพียงดอกเหลียนเฉียว ซึ่งใน่เวลานี้ตรงกับฤดูกาลออกดอกพอดี ดังนั้นดอกเหลียนเฉียวทั้งหมดจึงบานสะพรั่งจนเรียกได้ว่าดอกเหลียนเฉียวไร้ฝุ่นมลพิษสีสันสดใสจนปิดไม่มิด!
ศาลากุยอวิ๋นตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกเหลียนเฉียวที่งดงามและเงียบสงบ
แม้ว่าสวนดอกไม้ด้านหลังจะไม่ใช่สถานที่ต้องห้ามของกูเฟยเยี่ยนแล้ว ทว่าเมื่อไม่มีเื่อะไรนางก็จะไม่มา ดังนั้นนางจึงไม่ทราบว่าดอกไม้ที่นี่เบ่งบานออกหมดแล้ว ทันทีที่ก้าวผ่านประตูมา สีสันของบุปผาก็ปะทะใบหน้าจนทำให้นางเกิดความตื่นเต้นดีใจ
กูเฟยเยี่ยนบ่นพึมพำ “คิดไม่ถึงเลยว่าภายในเมืองจิ้นหยางจะมีทัศนียภาพวสันตฤดูที่งดงามเช่นนี้! ”
แต่แน่นอนว่าทัศนียภาพวสันตฤดูไม่งดงามเท่าทัศนียภาพของบุรุษ
ไม่ช้าร่างบางก็มองเห็นร่างสีขาวนวลรูปงามและเยือกเย็นราวกับดวงจันทร์ ท่ามกลางการอำพรางของสีสันดอกไม้ในศาลากุยอวิ๋น
นางเข้ามาในจวนได้สองเดือนกว่าแล้ว นอกเหนือจากการเดินทางไปยังหุบเขาเสินหนงกับจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยแล้ว จำนวนครั้งที่ได้พบหน้ากันจริงๆ นั้นน้อยมาก แต่จำนวนครั้งที่ได้เห็นเขาสวมใส่อาภรณ์สีขาวนั้นน้อยยิ่งกว่า แม้ว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยสวมใส่อาภรณ์สีขาวแล้วงดงามกว่าอาภรณ์สีดำ ทว่าทั้งร่างเขากลับให้ความเ็ามากกว่าเดิมเสียอีก
กูเฟยเยี่ยนเดินเข้าไปด้านหน้าพร้อมกับมองดู
ทั้งๆ ที่ดอกไม้รอบข้างบานสะพรั่งอย่างมีชีวิตชีวา และจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยก็อยู่ท่ามกลางความมีชีวิตชีวาเ่าั้ แต่นางยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเขาเหมือนจะอ้างว้างโดดเดี่ยวและเ็าเหลือเกิน และความอ้างว้างโดดเดี่ยวเ็านี้ดูเหมือนจะให้ความรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อยราวกับว่านางเคยพบเห็นมาก่อน
ดูเหมือนว่าจะเคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าเคยเห็นเมื่อนานมาแล้วเช่นกัน
นางกลัวความทรงจำที่เลือนรางเช่นนี้มากที่สุด ความรู้สึกคุ้นเคยนี้แยกไม่ออกว่าเป็ของตนเองหรือของร่างเดิม แยกไม่ออกว่าเป็ของตนเองในอดีตชาติหรือของตนเองในชาตินี้
นางเดินไปพลางมองดู ร่างกายหยุดเดินโดยไม่รู้ตัว
ในขณะนี้จวินจิ่วเฉินกำลังมองดอกเหลียนเฉียวที่บานสะพรั่งมีชีวิตชีวาอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยและตกอยู่ในภวังค์ของความคุ้นเคย เขามั่นใจมากว่าตนเองในวัยเด็กมักจะมองสีสันของดอกไม้ในสวนตรงหน้าเป็ประจำ เพียงแต่เขานึกไม่ออกว่าตนเองเคยพบเห็นที่ใด
สายลมแ่เบายามเดือนสี่ที่มีความอบอุ่นนุ่มนวลได้พัดพากลีบบุปผาที่ร่วงโรย และกลิ่นหอมของบุปผามากระทบพวงแก้ม
จวินจิ่วเฉินจึงได้สติขึ้นมา เขาหันหน้าไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจและสังเกตเห็นถึงกูเฟยเยี่ยนที่มองมาที่เขาอย่างหลงใหล
เขารู้สึกประหลาดใจมากทีเดียว แต่เห็นได้ชัดว่าไม่รังเกียจเฉกเช่นอดีตที่ผ่านมาแล้ว เมื่อเห็นว่ากูเฟยเยี่ยนยังคงตะลึงงันเขาจึงค่อยๆ หันหน้ากลับมาด้วยความเงียบเชียบราวกับวางแผนจะทำเป็มองไม่เห็น
ท่ามกลางความเงียบสงบดูเหมือนว่าเขาจะนึกเื่อะไรบางอย่างออก ปลายลิ้นของเขาไล้เลียไปที่ริมฝีปาก ก่อนจะค่อยๆ เผยยิ้มออกมา
แต่น่าเสียดายที่ผ่านไปไม่นานเซี่ยเสี่ยวหม่านก็มาถึง “แพทย์หญิงกู เ้านิ่งอยู่ทำไม? เตี้ยนเซี่ยรอเ้ามานานแล้วนะ! ยังไม่รีบไปอีก”
กูเฟยเยี่ยนได้สติกลับมาทันที พลันหันไปทำท่าทางให้เซี่ยเสี่ยวหม่านหยุดพูดด้วยความประหม่า นางกลัวว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยจะเห็นว่าตัวนางเองเสียมารยาทไป
เซี่ยเสี่ยวหม่านจะไปทราบได้อย่างไรว่าเมื่อสักครู่นี้เกิดเหตุใดขึ้น เขาผลักกูเฟยเยี่ยนออกไป “ไปซะ เตี้ยนเซี่ยทรงยุ่งมาก ไม่มีเวลามารอเ้า”
กูเฟยเยี่ยนเกิดความใจฝ่อ นางจ้องมองเซี่ยเสี่ยวหม่านแวบหนึ่งแล้ววิ่งเข้าไป
ทันทีที่มาถึงด้านหน้าของจวินจิ่วเฉิน กูเฟยเยี่ยนก็เป็เด็กดีมาก นางยิ้มหวานประจบประแจงจนดวงตาโค้งขึ้นประดุจพระจันทร์เสี้ยว “นู๋ปี้คารวะเตี้ยนเซี่ย ไม่ทราบว่าเตี้ยนเซี่ยเรียกนู๋ปี้มาเพราะมีรับสั่งอันใดเพคะ? ”
จวินจิ่วเฉินนั่งลงอยู่แล้ว เขาจึงโยนห่อใส่ของลงบนโต๊ะพลางเอ่ยว่า “ดูหน่อยว่าแร่ศิลาโอสถเหล่านี้มีของจริงมากน้อยเพียงใด”
ไม่บอกไม่ได้ว่าเมื่อได้ยินคำพูดนี้กูเฟยเยี่ยนเกิดความรู้สึกผิดหวังมาก
เดิมทีนางคิดว่าเมื่อจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยได้พบนางแล้ว ประโยคแรกที่เขาจะเอ่ยออกมาคือการเป็ห่วงเป็ใยเื่ที่นางถูกจี้ชิงตัวไป! แต่ใครจะไปทราบว่าทันทีที่เขาเอ่ยออกมาจะเป็การให้นางมาทำงาน
หากไม่ใช่เป็เพราะเื่ของแร่ศิลาโอสถ เขาก็จะไม่พบนางใช่หรือไม่?
กูเฟยเยี่ยนกำลังรู้สึกถึงความผิดหวัง ทว่าทันใดนั้นหวางเป่าติงที่ห้อยอยู่บนเอวของนางก็เกิดความดีอกดีใจและระส่ำระสายขึ้นมา โชคดีที่กูเฟยเยี่ยนกดไว้ได้ทันเวลาแล้วก็ไม่ให้มันทำการเคลื่อนไหวใดๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหวางเป่าติงที่กำลังอยู่ในสถานการณ์หยุดงาน ได้ถูกแร่ศิลาโอสถดึงดูดอีกครั้ง
กูเฟยเยี่ยนไม่มีเวลามาวิจารณ์สมบัติของตนเองนัก นางเปิดห่อยาออก ตั้งใจตรวจสอบไปหนึ่งรอบ พบว่าห่อใหญ่ใบนี้มีแร่ศิลาโอสถอยู่ทั้งหมดสามชนิดที่ล้วนเป็ส่วนประกอบในใบสั่งยาขับไล่ความหนาวเย็นของจิ้งหวาง แม้ว่าจะมีครึ่งหนึ่งเป็ของปลอมแต่จำนวนของของแท้ก็ทำให้เกิดความใ
กูเฟยเยี่ยนดีใจมากเพราะเมื่อมียาเหล่านี้ควบคู่กับแร่ศิลาโอสถชื่อเยี่ยนอันเดิมแล้วมันก็จะเพียงพอต่อการขับไล่ความหนาวเย็นได้
หลังจากที่นางอธิบายแล้วก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เตี้ยนเซี่ย ของแท้มากมายเหล่านี้ล้วนหามาจากหุบเขาเสินหนงหรือเพคะ? นู๋ปี้คิดว่าจะต้องใช้เวลาตามหานานกว่านี้เสียอีก”
จวินจิ่วเฉินพยักหน้าแล้วนำของแท้ทั้งหมดยื่นไปให้เซี่ยเสี่ยวหม่าน “นำไปเก็บไว้ให้ดี”
เดิมทีเซี่ยเสี่ยวหม่าน้าอยู่ต่อเพื่อฟังว่าเตี้ยนเซี่ยมาหากูเฟยเยี่ยนเพื่ออะไร แต่ในตอนนี้จำเป็ต้องรับคำสั่งแล้วปฏิบัติตาม
ทันทีที่เซี่ยเสี่ยวหม่านเดินออกไปจวินจิ่วเฉินจึงแสดงเจตนาให้กูเฟยเยี่ยนนั่งลงแล้วเอ่ยถาม “แพทย์หญิงกู เ้ามีเื่อะไรจะมารายงานหรือไม่? ”
กูเฟยเยี่ยนเศร้าเสียใจมาก นางคาดคิดเอาไว้ว่าที่เตี้ยนเซี่ยไม่ได้ให้นางออกไปเป็เพราะเป็ห่วงสถานการณ์ที่นางถูกจี้ชิงตัว! แต่ดูท่าแล้วนางคงคิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียวแล้ว
“หากไม่มีอะแล้วนู๋ปี้ก็ขอลา”
นางไม่ได้นั่งลง แต่ก้มหน้าก้มตาหันหลังเดินออกไปด้วยความโกรธ
ทว่าจวินจิ่วเฉินมองแล้วขมวดคิ้วเป็ปม เมื่อเห็นว่ากูเฟยเยี่ยนใกล้จะเดินออกไปไกลแล้วทันใดนั้นเขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเ็า “แพทย์หญิงกู เปิ่นหวางให้เ้าไปแล้วหรือ? ”
กูเฟยเยี่ยนหยุดเดินกะทันหันด้วยความประหลาดใจและใเล็กน้อย นางฟังออกว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยไม่พอใจมากจึงรีบย้อนกลับมาโค้งกาย “นู๋ปี้ ฟังคำสั่งของเตี้ยนเซี่ย”
จวินจิ่วเฉินไม่พอใจจริงๆ เขามองไปที่นางโดยไม่พูดอะไร
กูเฟยเยี่ยนชอบจ้องมองจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย แต่ไม่ชอบให้จิ้งหวางเตี้ยจ้องมองมาที่ตนเองอย่างแน่นอน นางไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาเลย ผ่านไปสักพักร่างกายก็เกิดความตึงเครียดขึ้นมา
นางอดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความกลัว “เตี้ยนเซี่ย ยัง…ยังมีคำสั่งอื่นอีกหรือเพคะ? ”
จวินจิ่วเฉินยังคงพูดประโยคที่ได้พูดไปก่อนหน้านี้ “แพทย์หญิงกู เ้ามีเื่อะไรจะมารายงานหรือไม่? ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้กูเฟยเยี่ยนจึงนึกไปถึงเื่ราวของห้องทรงพระอักษรในค่ำคืนวานนี้ นางแอบใ หรือว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยไปได้ยินอะไรมา?
ทว่าเมื่อคืนนี้มีกันอยู่แค่ไม่กี่คน แม้แต่เซี่ยเสี่ยวหม่านที่เข้าไปในพระราชวังยังไม่พบข่าวคราวอะไรเลยนี่นา!
กูเฟยเยี่ยนเกิดความลังเล
เพราะว่าเื่นี้เกี่ยวโยงไปถึงชีวิตของตัวนางเอง หากไม่มีความมั่นใจนางก็ไม่กล้าพูดออกมา
ต่อให้จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยมีอำนาจและอิทธิพลใหญ่โตมโหฬารเพียงใด แต่ก็เป็เพียงองค์ชายเท่านั้น เทียนอู่ฮ่องเต้ถึงจะเป็ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดแห่งอาณาจักรเทียนเหยียนตัวจริง หากว่าเื่นี้ถูกเปิดโปงออกมาแล้วเทียนอู่ฮ่องเต้้าสังหารนาง เกรงว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยก็คงจะปกป้องนางไว้ไม่ได้
นางถูกจี้ชิงตัวไปจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยไม่แม้แต่จะมีคำปลอบใจออกมาสักคำเดียว ดังนั้นมันจะเป็ไปได้อย่างไรที่เขาจะขัดแย้งกับเทียนอู่ฮ่องเต้เพื่อนางที่เป็หญิงรับใช้ตัวน้อย
หลังจากที่ครุ่นคิดแล้วกูเฟยเยี่ยนจึงตัดสินใจปิดปากเงียบให้ถึงที่สุดเพื่อที่จะไม่เป็ตัวรับะุแทน
นางตอบไปว่า “นู๋ปี้ไม่มีอะไรจะรายงานเพคะ”
จวินจิ่วเฉินมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นจึงหัวเราะเยาะออกมา “เหอะๆ ในตอนนั้นเปิ่นหวางมองเ้าไม่ผิด ปากของเ้าปิดสนิทดั่งที่คาดคิดเอาไว้จริงๆ ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ต่อให้กูเฟยเยี่ยนโง่เขลาเพียงใดก็เข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางร้องออกมาด้วยความใ “เตี้ยนเซี่ย พระองค์ พระองค์ทราบถึงอาการประชวรของฝ่าาั้แ่แรกแล้ว? เป็…เป็ ซูไท่อี? ”
จากน้ำเสียงของจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยแสดงให้เห็นว่าเขารับรู้มาั้แ่แรกแล้ว และคนของเมื่อคืนนี้มีเพียงซูไท่อีที่จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยสามารถติดสินบนได้! ”
จวินจิ่วเฉินลุกขึ้นแล้วโน้มตัวเข้ามากระซิบใกล้ๆ “เ้าน่าจะรู้ว่าเปิ่นหวางนั้นไม่เก็บคนที่ไม่จงรักภักดี เปิ่นหวางให้โอกาสเ้าหนึ่งครั้ง พูดให้ชัดเจนว่าเหตุใดฝ่าาจึงไม่สังหารเ้า? และเหตุใดเ้าจึงปิดบังเปิ่นหวาง? ”