ลั่วชีเหนียงที่หมดสติเหมือนมาถึงยังดินแดนหิมะอันหนาวเหน็บ นางตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง จวบจนมีมือคู่หนึ่งมาโอบกอดตนเอง จึงรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นอันน้อยนิด เพียงแต่ในเวลาอันรวดเร็ว ความอบอุ่นนี้ก็หายไป เหมือนหญิงผู้นี้ได้นำบางสิ่งบางอย่างของตนเองไปด้วย
พริบตาเดียวผ่านไป ตนเองเหมือนยืนอยู่กลางบ้านที่ทรุดโทรม บนร่างมีรอยแผลฟกช้ำ รอยเฆี่ยนตี ร่างกายหิวโหยจนไม่มีแรงเหลือ หญิงสาวหน้าตาดุร้ายเดินออกจากบ้าน ด้านหลังมีชายหนุ่มหน้าตาชั่วร้าย นางถูกจิกศีรษะอย่างแรงหลายที จนกระทั่งศีรษะแนบพื้น มือนั้นถึงปล่อยนางไป
จากนั้นภาพก็แปรเปลี่ยนเป็ห้องหอและเทียนมงคลอย่างรวดเร็ว นางสามารถรับรู้ได้ว่าหัวใจทั้งดวงช่างอบอุ่น เพียงแต่เ้าบ่าวที่ผลักประตูเข้ามากลับไม่ได้ยินดีนักเวลาที่มองนาง กลับกันคือมีใบหน้าชิงชัง รอจนนางหันไปมองกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จวบจนเทียนเล่มแดงดับลง ท่ามกลางความมืดนั้น นางรับรู้ถึงความเยือกเย็น จากนั้นก็เป็มือใหญ่ที่เย็นเฉียบคู่หนึ่ง และแล้วทั้งหมดก็เปลี่ยนจากข้าวดิบเป็ข้าวสุก รอจนนางได้สติอีกครั้ง ข้างกายก็มีเด็กน้อยสองคนที่ร้องไห้งอแง
ชีเหนียงรู้ว่า ตอนนี้ตนกำลังเผชิญกับความทรงจำในอดีตของร่างเดิม แต่นางไม่รู้ว่าเหตุใดร่างเดิมจึงให้ตนดูสิ่งเหล่านี้ นางอยากถาม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เอ่ยปากไม่ได้
กระทั่งเด็กทั้งสอง คนหนึ่งอายุห้าหนาว จี้ฉงเหวินก็ออกไปทัศนาจรศึกษา อันที่จริงแม้จะบอกว่าทัศนาจรศึกษา แต่เขาแค่อาศัยอยู่สถานศึกษาในอำเภอไม่ยอมกลับบ้าน จนกระทั่งปีที่ลั่วจิ่งเฉินอายุสิบปี เขามุ่งหน้าไปสอบจอหงวนที่เมืองหลวง จนเมื่อกลับมา ร่างเดิมก็ได้เปลี่ยนแปลงตนเองโดยเริ่มจากนิสัยขี้กลัว
กลับกลายเป็แต่งตัวสวยงามและพยายามย้อนไปยังวันวานที่อบอุ่นของสองเรากับจี้ฉงเหวิน แต่ใครจะรู้ว่าแม้จี้ฉงเหวินจะให้ความหวังนาง แต่กลับให้นางเข้านอนก่อน จากนั้นเงาหนึ่งก็เข้ามาจู่โจมและใช้วิธีเดียวกับค่ำคืนยามเข้าหอ ท้ายที่สุดจี้ฉงเหวินก็ทิ้งจดหมายหย่าร้างไว้ ส่วนลั่วจิ่งเฉินก็หลงเหลือแต่เพียงความพิการ
......
ชีเหนียงตกอยู่ในภาพฝันร้าย นางะโไปเรื่อยๆ หลิงชางไห่เห็นเข้าก็รู้ว่านางฝันร้าย จึงได้แต่ช่วยนางฝังเข็มยังจุดชีพจร
เพียงแต่เสียงดิ้นรนของชีเหนียงดึงดูดลูกๆ เข้าไปในห้อง ไหลไหลน้อยมองดูมารดาที่ใบหน้ามีแต่เข็ม จึงมองด้วยความเป็ห่วงอย่างเต็มเปี่ยม
หลิงชางไห่ไม่รู้ว่าชีเหนียงเป็อะไรไป นางดูเหมือนไม่เป็อะไรมาก แต่ชีพจรกลับดูไม่มั่นคง และสถานการณ์แลดูอันตรายกว่าจ้าวจือชิงมากนัก
“ข้าไม่ไป ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
ที่แท้ลั่วจิ่งซีกลัวว่าลั่วจิ่งไหลอยู่ที่นี่จะรบกวนการรักษาของหลิงชางไห่ จึงจะอุ้มเขาออกไป หากแต่ไม่รู้ว่าลั่วจิ่งไหลกำลังนึกถึงภาพของชีเหนียงตอนที่ศีรษะกระแทกครั้งนั้น เขาเอาแต่โอบคอของชีเหนียงไว้ไม่ยอมปล่อยมือ
“ข้าไม่ไป! ข้าไม่ไป! ครั้งที่แล้วท่านแม่หมดสติก็มีข้าอยู่ด้วย ท่านแม่ถึงฟื้นขึ้นมา ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป!”
“ท่านแม่ ท่านรีบฟื้นเร็วเข้า พี่รองจะตีข้าตายแล้ว! ท่านรักไหลไหลที่สุด ท่านรีบลืมตาดูข้าสิ!”
ไหลไหลน้อยร้องไห้แทบเป็แทบตายไม่ยอมจากไป
จ้าวจือชิงที่อยู่บนเตียงในห้องตะวันตกได้ยินเสียงร้องจึงฟื้นจากความเ็ป สิ่งที่ทำให้ลั่วจิ่งไหลร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด มีเพียงอย่างเดียวคือเกิดเื่กับชีเหนียง
ไม่ได้! เขาจะปล่อยให้ชีเหนียงเป็อะไรไม่ได้!
เพียงแต่ตอนนี้เขาาเ็หนัก การจะลงจากเตียงยังเป็เื่ยาก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเื่การช่วยคน
เขากำหมัดแน่น เมื่อนึกถึงความอดสูที่แบกรับมาหลายปี เขาแอบตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องให้คนเหล่านี้ชดใช้ บางทีคงถึงเวลาที่ตนต้องลงมือได้แล้ว
......
คนสกุลจ้าวด้านนอกใกับเสียงร้องไห้ของลั่วจิ่งไหล ฟังจากเสียงแทบขาดใจของเด็กน้อย หลี่ชุนฮัวแทบอยากให้ลั่วชีเหนียงรีบตายไปให้พ้นๆ
หากลั่วชีเหนียงกับจ้าวจือชิงตายหมด ตนเองก็นับว่าทำภารกิจสำเร็จเกินความคาดหมาย ต่อไปอนาคตของจุ่นเอ๋อร์ ภายใต้การสนับสนุนจากคนสูงศักดิ์จะต้องก้าวหน้าสูงส่งแน่
เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้นางได้ดีใจ เสียงร้องไห้ก็หายไป แทนที่ด้วยเสียงตื่นเต้นดีใจ
“ร้องอะไรกัน เสียงของเ้าทำแม่ปวดหัว…”
ชีเหนียงมองดูลั่วจิ่งไหลอย่างอ่อนแรง ท่ามกลางความสับสน ลั่วชีเหนียงก็ตื่นขึ้นด้วยเสียงร้องไห้นี้
“ท่านแม่…ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านแม่รักข้าที่สุด ไม่อยากเห็นข้าร้องไห้!”
ลั่วชีเหนียงฟื้นขึ้นก่อนสลบไสลอีกครั้ง หลิงชางไห่ตรวจชีพจรให้นาง “ไม่เป็ไรแล้ว นางแค่เหนื่อย วันรุ่งขึ้นฟื้นมาก็หายดีแล้ว”
......
หลังจากวุ่นวายกันทั้งคืน ทุกคนเริ่มทนไม่ไหว ลั่วจิ่งไหลจับมือชีเหนียงไม่ยอมปล่อย พี่หลิวให้พวกเขาไปพักก่อน ส่วนตนเองจะดูแลชีเหนียงกับไหลไหลน้อยที่นี่
จนกระทั่งสายของวันรุ่งขึ้น หลิงชางไห่และคนที่เหลือก็ได้กลิ่นข้าวต้มหมูแสนหอมที่คุ้นเคย ถึงกับวิ่งออกมาโดยไม่ทันได้ใส่รองเท้าและมองดูชีเหนียงที่ตักข้าวให้ทหารที่เข้าเวรด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กระทั่งข้างกายคนสกุลจ้าวก็มีชามเปล่าสองถ้วยเช่นกัน
เมื่อคืนนางเหมือนรู้สึกอย่างเลือนรางว่าร่างเดิมอยากพูดอะไรบางอย่างกับนาง แต่พอตื่นเช้ามา สมองกลับไม่มีอะไรหลงเหลือไว้ สิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือ รู้สึกว่าร่างกายเบาสบาย หลังจากใคร่ครวญ นางก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงอย่างไรก็นอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า
ถึงแม้ชีเหนียงจะโกรธเคืองคนสกุลจ้าวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คนเขาอยู่บ้านตนเอง ฉะนั้นต้องห้ามเกิดเื่
......
“ตาเฒ่าตื่นแล้วหรือ รีบทานข้าวเร็ว!” เมื่อเห็นหลิงชางไห่กึ่งหิ้วรองเท้าค้างไว้ ชีเหนียงก็ะโเรียกเขา โตปูนนี้แล้วยังทำตัวซุ่มซ่ามเหมือนเด็ก
หลิงชางไห่ตอบรับพร้อมรอยยิ้ม “ได้ได้ มาเดี๋ยวนี้ล่ะ” จากนั้นสวมรองเท้าและพุ่งตัวไปยังโต๊ะกินข้าว
บนโต๊ะอาหาร ลั่วจิ่งซีมองดูมารดาที่มีชีวิตกำลังเคลื่อนไหว เ้าหนุ่มวัยกำลังโตถึงกับอดอยากร้องไห้ไม่ได้ แต่ก็รู้สึกขายหน้า จึงก้มหน้าซุกกับชามขาว
ชีเหนียงเห็นดังนั้นก็เพียงแค่ยิ้ม จากนั้นมองดูใต้ตาดำคล้ำของลั่วจิ่งเฉิน จึงรู้ว่าเมื่อคืนเขาคงไม่ได้หลับดี นางจึงนำไข่ไก่ต้มสุกมาแนบใต้ตาให้เขาอย่างแ่เบา
ลั่วจิ่งเฉินอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นแววตารักใคร่ของนางจึงปฏิเสธไม่ลง
ไหลไหลน้อยยกผักดองเข้ามา ใบหน้ายิ้มแย้มสดใส นับั้แ่ชีเหนียงตื่นมา เขาก็ตามติดไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว รั้นจะขอทำอาหารกับนาง เกาะติดไม่ยอมปล่อยแม้สักก้าว
ชีเหนียงก็รู้ว่าเขาคงกลัวจะเกิดอะไรกับตนเองจึงได้เป็เช่นนี้ จึงตามใจเด็กน้อย
“ส่งไปให้เ้าหนุ่มนั่นหรือยัง?” หลิงชางไห่มองไปทางห้องตะวันตก เมื่อวานหลังจากดูแลชีเหนียงจบ ร่างของเขาก็แทบแหลก จึงไม่ทันได้ไปเยี่ยมจ้าวจือชิง
“ยังเลย ไม่รู้ว่าต้องระวังของกินอะไรหรือไม่ ไม่มีคำสั่งจากท่าน จึงไม่กล้าให้อาหารแก่เขา” ชีเหนียงไปเยี่ยมแต่เช้าแล้ว แม้ว่าเขาจะยังดูอ่อนแรง แต่สีหน้านอกจากซีดขาวแล้วนอกนั้นก็ยังดูปกติดี เพียงแต่ป้อนน้ำอุ่นให้เขาเล็กน้อย ยังไม่กล้าให้ของกินอื่นใด
หลิงชางไห่พยักหน้า “ตอนนี้เขาทานของมันเลี่ยนเกินไปไม่ได้ อีกเดี๋ยวต้มข้าวต้มใสให้เขาก็พอ ต้องมีอาหารรองท้องสักหน่อย ยาถึงจะออกฤทธิ์ได้ดี”
ชีเหนียงพยักหน้ารับรู้ เพียงแต่หันมองคนสกุลจ้าวที่กระทืบเท้าอยู่ด้านนอก
“ถึงอย่างไรจะปล่อยพวกเขาอยู่ที่นี่ตลอดคงไม่ได้หรอกนะ?” ชีเหนียงรู้ว่า การที่คนสกุลจ้าวอยู่ที่นี่ คงเป็ความคิดของหยางหนิงกับใต้เท้าเฉียนอะไรนั่น อาจจะ้าระบายแค้นแทนจ้าวจือชิง
“อีกเดี๋ยวพวกหยางหนิงมาถึง ก็ถามเื่นี้ให้ชัดเจน จะได้จบเื่เสียที”
เพราะถึงอย่างไรหน้าที่ของตนก็หมดลงแล้ว ส่วนเื่ที่เหลือไม่เกี่ยวกับตนอีก หลิงชางไห่คิดถึงแผนลับที่เ้าหนุ่มนั่นวิ่งโร่มาบอกกับตนเองในคืนก่อนหน้า ตอนนี้เขาเริ่มเป็ห่วงว่าชีเหนียงที่ถูกเ้าหนุ่มนั่นหมายปอง ตกลงว่าเป็เื่ดีหรือเื่ร้ายกันแน่
ดั่งที่คาด หยางหนิงกับเฉียนจี้หวั่งมาถึงบ้านสกุลลั่วตอนยามอู่สามเค่อ [1] คนทั้งหมดเข้าไปเยี่ยมจ้าวจือชิง จากนั้นก็นำตัวคนสกุลจ้าวเข้าไปสอบถามด้านในห้อง
-----
[1] ยามอู่ เริ่มนับั้แ่เวลา 11.00 – 13.00 น. ส่วนหนึ่งเค่อ เท่ากับ 15 นาที ดังนั้นสามเค่อประมาณ 45 นาที